ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ตำนาน พระราหู ( ผมสงสัยคือว่ามีจริงหรือไม่ )


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ตาล

ตาล
  • Members
  • 69 โพสต์
  • Location:ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ เขตของบรมโพธิสัตว์

โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 04:53 AM

พระราหู ( เป็นเพียงแค่ความชื่อหรือความจริง อ่านแล้วพี่ๆคิดอย่างไร )


พระราหูเป็นพญาอสูรแต่เพียงผู้เดียวที่มีความเป็นอมรหรืออมตะในบรรดาหมู่ อสูรทั้งหมด จึงได้รับการยกย่องจากพระพรหมให้เป็นเทพองค์หนึ่งด้วย อสูรราหูเป็นบุตรของพระ กัศยปเทพบิดรกับนางสิงหิกา แต่กลับมีร่างกายเป็นยักษ์ร้าย
เมื่อทวยเทพกับอสูรได้ทำสงครามกันครั้งใด อสูรราหูก็จะเป็นตัวตั้งตัวตีในการ นำทัพอสูรเข้าบุกแดน ดาวดึงสาพิภพของพระอินทร์ทุกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะพระอินทร์ได้ ต้องถอยทัพกลับมาทุกครั้งไปเช่นกัน แต่เมื่อพระอินทร์ถูกฤาษีสาปให้ถอยฤทธิ์ลง พระอินทร์และ เทวดาบริวารก็พ่ายแพ้แก่พวกอสูรตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พวกเทวดาจึงถูกพวกอสูรฆ่าตายลงไป จนเกือบหมด พระอินทร์ก็หมดปัญญาที่จะต่อสู้อีกต่อไป จึงได้พาเทวดาบริวารไปกราบทูลขอ ความช่วยเหลือจากพระนารายณ์ผู้เป็นเจ้า ในทะเลน้ำนมอันเป็นที่สิ่งสถิตของพระองค์
พระนารายณ์ก็แนะนำให้ทำพิธีกวนน้ำทิพย์ เมื่อกินแล้วจะได้มีความเป็นอมตะ คือไม่รู้จักตาย แต่ทรงเห็นว่าลำพังเฉพาะพวกเทวดาแล้วคงทำงานใหญ่ครั้งนี้ไม่สำเร็จ จำเป็น ต้องอาศัยแรงและฤทธิ์ของพวกอสูรด้วยจึงจะทำได้ จึงทรงบอกให้พระอินทร์และบรรดาเทวดาไป ขอร้องให้พวกอสูรมาช่วยด้วย ให้แกล้งหลอกทำสัญญากับพวกอสูรว่าถ้ากวนน้ำทิพย์สำเร็จแล้วก็ จะแบ่งให้พวกอสูรครึ่งหนึ่งของน้ำทิพย์ที่ได้ทั้งหมด แต่พอได้น้ำทิพย์แล้วก็ค่อยหาทางหลีกเลี่ยง กันทีหลัง คือไม่ยอมให้พวกอสูรได้กินน้ำทิพย์นั้นกันเสียเลย พระนารายณ์ทรงรับรองว่าถึงตอน นั้นพระองค์จะทรงจัดการกับพวกมันด้วยพระองค์เอง
เมื่อพวกเทวดาไปทำสัญญากวนน้ำทิพย์ร่วมกันกับพวกอสูรเป็นผลสำเร็จแล้ว พิธีกวนน้ำทิพย์จึงได้เริ่มขึ้น ณ ทะเลน้ำนมนั่นเอง ด้วยการยกเอาภูเขามันทรมาเป็นเครื่องกวนน้ำ ในทะเลน้ำนมนั้น บรรดาเทวดาและอสูรตางก็ออกไประดมกันเก็บเกี่ยวเครื่องยาสมุนไพรที่มีอยู่ทั้ง สามโลกนานาชนิดเป็นจำนวนมหาศาลมาทุ่มทิ้งลงไปในทะเลแห่งนั้นแล้วเอาพญานาควาสุกรีมา พันรอบเขามันทรต่างสายเชือกสำหรับให้เทวดาและอสูรช่วยกันดึงไปมาปั่นภูเขาให้หมุน เพื่อให้ เครื่องยากับน้ำในมหาสมุทรเข้ากันจนเกิดเป็นน้ำทิพย์ที่ต้องการ เมื่อถึงเวลาของการดึงเชือกหรือ พญานาคพวกเทวดาก็เริ่มเอาเปรียบตั้งแต่เริ่มแรกกันทีเดียว ด้วยการพากันไปดึงส่วนที่เป็นหาง ของนาค พวกอสูรจึงจำต้องไปดึงที่ส่วนหัวของพญานาค พวกเทวดาและอสูรต่างก็ช่วยกันปั่น ช่วยกันกวนน้ำทิพย์จนเป็นเวลาช้านาน พญานาควาสุกรีได้รับความทุกข์ทรมานิ่งจึงพ่นพิษออก มาเป็นไฟถูกพวกอสูรบาดเจ็บและอ่อนแรงลง อสูรราหูก็เป็นผู้หนึ่งที่ต้องการแรงฉุดอยู่ทางหัวนาค จึงต้องได้รับทุกข์ทรมานและเจ็บปวดไปด้วยพิษนาคด้วย แต่ก็จำต้องอดทนเพื่อความสำเร็จจึง ต้องทนทำต่อไป แต่ก็ให้รู้สึกคิดแค้นพวกเทวดาอยู่ไม่หาย อสูรราหูจึงมุ่งมั่นที่จะเป็นอมตะให้ได้ แต่…เมื่อนานเข้า ๆ พญานาคก็ยิ่งได้รับความทุกข์ทรมานยิ่งขึ้นกว่าใคร ๆ จึงได้พ่นพิษเป็นไฟกรด ออกมาเป็นจำนวนมาก เกิดความร้อนแรงจนสุดที่ทนทานกันได้ พวกเทวดาและพวกอสูรต่างก็ ผละออกวิ่งหนีเอาตัวรอดกันด้วยความตกใจกลัวและไฟกรดนั้นก็มีทีท่าที่จะลุกลามไหม้ออกไปได้ หมดทั้งสามโลก จนกระทั่งพระอิศวรผู้เป็นเจ้าทรงทนดูอยู่ไม่ได้ จึงได้ทรงปรากฏพระวรกายขึ้น ณ ที่นั่นแล้วอ้าพระโอษฐ์ออกดูดกลืนไฟกรดและพิษร้ายของพญสนาคไว้หมดแต่เพียงพระองค์เดียว ก่อนที่โลกจะถูกทำลายลง ไฟกรดอันเป็นพิษร้ายแรงก็ได้เผาผลาญพระศอของพระองค์จนไหม้ เกรียมเป็นสีดำประดุงดั่งสีนิล เมื่อความวุ่นวายโกลาหลถูกยุติด้วยเทวานุภาพของพระอิศวรลง แล้ว ความเป็นอมตะแห่งทะเลน้ำนมก็บังเกิดขึ้น ของวิเศษต่าง ๆ ได้ผุดขึ้นจากเกษียรสมุทรหลาย อย่าง เช่น พระลักษมี เทพีแห่งเหล้า ช้างเอราวัณ และอื่น ๆ รวมทั้งนางอัปสรอีกมากมาย จน… กระทั่งถึงอันดับสุดท้ายก็มีเทพบุตรทูนหม้อน้ำทิพย์ผุดขึ้นมาแล้ววางไว้ ณ ฝั่งแห่งเกษียรสมุทรนั้น เทวดาและอสูรต่างก็วุ่นวายกันเข้ายื้อแย่งของวิเศษหลบหนีไปเสียทันที แต่พระนารายณ์ก็ได้ทรง เห็นเสียก่อนจึงเสด็จตามเอาหม้อน้ำทิพย์นั้นกลับมาได้ แล้วพระนารายณ์จึงทรงประกาศให้พวก เทวดามาดื่มกินน้ำทิพย์กันโดยทั่วหน้า ส่วนอสูรราหูก็ไม่ลดละจึงได้ลอบเข้ามาแล้วแปลงกายเป็น พราหมณ์เข้าไปขอแบ่งน้ำทิพย์ดื่มกินด้วย พวกเทวดาก็ไม่ระแวงสงสัยเมื่อเห็นเป็นพราหมณ์เช่น นั้นก็ตักน้ำทิพย์ส่งให้ด้วยความยินดี อสูรราหูในรูปกายของพราหมณ์แปลงก็ได้ดื่มกินน้ำทิพย์นั้น สมความตั้งใจของตน
พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เห็นการกระทำของอสูรราหูเช่นนั้นเข้าก็เอะอะ โวยวายขึ้น จนความทราบถึงพระนารายณ์ ๆ จึงทรงขว้างอสูรราหูด้วยจักรอันเป็นเทพศัสตราของ พระองค์ จักรของพระนารายณ์ได้ตัดร่างของอสูรราหูออกเป็นสองท่อน แต่ด้วยอานุภาพแห่งน้ำ ทิพย์ที่อสูรราหูได้ดื่มกินเข้าไปจึงทำให้ไม่ตาย
ด้วยที่ถูกพระนารายณ์ทำร้ายเอาจนถึงกับร่างกายขาดกันเป็นสองท่องนี่เอง ก็ เพราะพระอาทิตย์และพระจันทร์เป็นต้นเหตุ พระราหูจึงได้อาฆาตแค้นพระอาทิตย์และพระจันทร์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระราหูจึงได้หาโอกาสจับพระอาทิตย์และพระจันทร์กลืนกินอยู่เรื่อยมา แต่ พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็หลุดล่วงพ้นไปได้ในชั่วเวลาที่ไม่นานนัก ทั้งนี้ก็เพราะพระราหูมีร่าง กายอยู่เพียงครึ่งท่อนนั่นเอง
การกระทำของพระราหูต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์อันเป็นการจองเวรนั้นจึง ทำให้เกิดสุริยคราสและจันทรคราสขึ้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้

---------------------------------------------------------------------------------


พระราหูทรงเป็นอสูรเทพ คือเป็นเทพที่มีรูปกายเป็นยักษ์นั่นเอง มีพระวรกายสีดำสนิทและทรงอาภรณ์สีดำสนิทบ้างก็สีทองแดง


พาหนะ ตามตำราชาวฮินดู คือสิงห์ สำหรับโหราศาสตร์ไทย ทรงครุฑเป็นพาหนะ


ตำนานเล่ากำเนิดของพระราหูมีมากมาย ดังนี้


พระราหู เป็นโอรสของพระวิประจิตติ และพระนางสิหิกา เมื่อแรกเกิดขึ้นพระราหูมีหางเป็นนาค และสถิตอยู่ในวิมานสีนิชลหรือสีดำขลับโดยมีพาหนะเป็นพญาครุฑ พระราหูถือเป็นเทวะองค์ที่ 8 ในบรรดาเทพแห่งนพเคราะห์


ในคัมภีร์อินเดียโบราณ บันทึกว่าพระศิวะได้นิรมิตผีโขมด 12 ตน และร่ายพระเวทป่นให้ผีนั้นแหลกละเอียดเป็นผุยผงจากนั้นนำผ้าสีดำสนิทมาห่อ และประพรม ด้วยน้ำอมฤตเสกสรรบันดาลให้กลายเป็นเทวะองค์ที่ 8 นาม พระราหู

พระราหูทรงเป็นอสูรเทพ คือเป็นเทพที่มีรูปกายเป็นยักษ์นั่นเอง มีพระวรกายสีดำสนิทและทรงอาภรณ์สีดำสนิทบ้างก็สีทองแดง


พาหนะ ตามตำราชาวฮินดู คือสิงห์ สำหรับโหราศาสตร์ไทย ทรงครุฑเป็นพาหนะ


ตำนานเล่ากำเนิดของพระราหูมีมากมาย ดังนี้


พระราหู เป็นโอรสของพระวิประจิตติ และพระนางสิหิกา เมื่อแรกเกิดขึ้นพระราหูมีหางเป็นนาค และสถิตอยู่ในวิมานสีนิชลหรือสีดำขลับโดยมีพาหนะเป็นพญาครุฑ พระราหูถือเป็นเทวะองค์ที่ 8 ในบรรดาเทพแห่งนพเคราะห์


ในคัมภีร์อินเดียโบราณ บันทึกว่าพระศิวะได้นิรมิตผีโขมด 12 ตน และร่ายพระเวทป่นให้ผีนั้นแหลกละเอียดเป็นผุยผงจากนั้นนำผ้าสีดำสนิทมาห่อ และประพรม ด้วยน้ำอมฤตเสกสรรบันดาลให้กลายเป็นเทวะองค์ที่ 8 นาม พระราหู


คัมภีร์โบราณฮินดูกล่าวว่าพระราหูทรงเป็นโอรสของพระพฤหัสบดีกับนางสิงหิกา


บางคัมภีร์กล่าวว่าทรงเป็นพี่น้องกับพระอาทิตย์และพระจันทร์ก่อนมากำเนิดบนสวรรค์ เรื่องเล่าอดีตชาติเรื่องราวเกิดขึ้นที่บ้านเศรษฐีผู้มั่งคั่งผู้หนึ่งมีบุตรชาย 3 คน คนโต อดีตชาติคือพระอาทิตย์ คนรอง อดีตชาติคือพระจันทร์ และคนสุดท้อง อดีตชาติคือพระราหู ต่อมาเมื่อเศรษฐีได้ถึงแก่กรรมลงทั้ง 3 พี่น้องได้นิมนต์พระมาทำบุญโดยการใส่บาตร พี่คนโตได้คว้าขันทองคำพร้อมอธิษฐานด้วยเสียงดังว่าผลบุญที่กระทำจงส่งผลให้เกิดเป็นพระอาทิตย์เพื่อส่องแสงในยามกลางวัน พี่คนรองคว้าได้ขันเงินเมื่อใส่บาตรเสร็จจึงอธิฐานดังๆ ว่าขอให้เกิดเป็นพระจันทร์ทำหน้าที่ส่องแสงยามค่ำคืนด้วย ส่วนคนสุดท้องเมื่อได้ฟังพี่ชายทั้ง 2 ของตนอธิฐานก็โกรธเป็นอย่างมากจึงคว้ากระบุงใส่ข้าวมาใส่บาตรอธิฐานดังๆ ว่าขอให้เกิดเป็นพี่ชายใหญ่ของพระอาทิตย์และพระจันทร์ มีร่างกายใหญ่โตจนสามารถบดบังแสงแห่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้


กาลต่อมาเมื่อทั้ง 3 คนสิ้นอายุลงคำอธิฐานก็เป็นดังที่ขอไว้ทั้งสิ้น


เวลากลางวัน เมื่อพระราหูโคจรพบพระอาทิตย์ก็บดบังแสงไว้มิให้ส่องมายังโลก เหตุนี้จึงเรียกว่าการเกิดสุริยุปราคา


เวลากลางคืน เมื่อพระราหูก็จะเข้าบดบังอมพระจันทร์ไว้ให้มืดมิด เหตุนี้จึงเรียกกันว่า จันทรุปราคา หรือจันทรคราส


ซึ่งเกิดจากความโกรธพี่ชายทั้ง 2 ของตนที่ได้อธิฐานไว้จึงเกิดเป็นความพยาบาทสืบเนื่องกันมา


เหตุที่พระราหูร่างขาดเป็น 2 ท่อน มีตำนานเล่าไว้ 2 ประเด็นคือ

เล่ากันว่าพระราหูได้แปลงตัวเป็นเทวะองค์หนึ่งเข้ารวมในการชุมนุมของทวยเทพ และได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไป แต่ทว่า พระสุริยาทิตย์ และพระจันทร์ได้สังเกตเห็น เข้าจึงนำความไปบอกพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ว่าพระราหูผู้เป็นแทตย์ได้แปลงร่างไปเป็นเทวะและลอบดื่มน้ำอมฤตนั้น พระนารายณ์ทรงกริ้วนักจึงขว้างด้วยจักรถูกพระราหูจนวรกายขาดไปครึ่งองค์ แต่ทรงมิสิ้นชีพเนื่องจากได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปแล้วจึงมีฤทธานุภาพสูงเทียมเท่ากับ เทวะทั้งมวล พระราหูจึงเหลือแต่เพียงท่อนหัวล่องลอยไปมาในชั้นสวรรค์คอยจับพระอาทิตย์และพระจันทร์มากินเพื่อแก้แค้นดังเช่นเดิม


ส่วนท่อนตัวหรือท่อนล่างของพระราหูที่กระเด็นขาดหายไปได้กลายไปเป็นพระเกตุเป็นเทวะแห่งนพเคราะห์องค์ที่ 9 ซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นดาวหางหรือ ดาวผีพุ่งไต้ เกิดขึ้นนานๆ ครั้งในชั้นบรรยากาศนั่นเอง


อีกตำนานเล่าไว้ว่าเหตุเกิดจากพญาครุฑ (พระอาทิตย์) อยากกินพญานาค (พระเสาร์) จึงเข้าไล่จับมาทำอาหาร พญานาคหนีไปหาพระราหูเพื่อขอให้ช่วยเหลือ จึงต่อสู้กันสุดท้ายพญาครุฑพ่ายแพ้จึงเข้าเฝ้าพระอินทร์ (พระพฤหัส) สุดท้ายพระอินทร์ก็ไม่สามารถจับพญาครุฑได้ ส่วนพระราหูเหลือบไปเห็นน้ำอมฤตด้วยความเหนื่อยล้าจึงยกน้ำอมฤตขึ้นดื่ม เมื่อพระอินทร์เห็นดังนั้นก็บรรดาลโทสะขว้างจักรเพชรเข้าใส่ร่างพระราหูขาดออก 2 อ่อน แต่ก็ไม่ตายด้วยดื่มน้ำอมฤตก่อนแล้ว


----------------


การบูชาพระราหู
ตามหลักของชาวฮินดูโบราณจะประกอพิธีในช่วงคืนวันพุธของเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี หรือจะบูชาเดือนใดก็ได้


เครื่องบวงสรวง


ผ้าแพรสีดำหรือสีม่วง


พวงมาลัยดาวเรือง ดอกบัว ดอกไม้สีม่วง


สุรา ข้าวตอก ของคาวของหวาน ผลไม้รสเปรี้ยว ใช้สีดำหรือสีคล้ำ


ธูปเทียนสีดำ


ตั้งเครื่องบวงสรวงไว้นอกชายคาบ้านตั้งไว้ทิศพายัพ การบูชาจุดธูปเทียน



คาถาบูชา


ตั้งนะโม 3 จบ



กินนุ สันตะระมาโน วะราหุ สุริยัง ปะมุญจะสิ


สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ


สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ


พุทธะคาถาภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ สุริยันติ


กินนิ สันตะระมาโน วะราหุ จันทัง ปะมุญจะสิ


สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ


สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ


พุทธคาถาภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ จันทิมันติ



สวดวันละ 12 จบ

การบูชาพระราหู

เครื่องบวงสรวง

ผ้าแพรสีดำหรือสีม่วง

พวงมาลัยดาวเรือง ดอกบัว ดอกไม้สีม่วง

สุรา ข้าวตอก ของคาวของหวาน ผลไม้รสเปรี้ยว ใช้สีดำหรือสีคล้ำ

ธูปเทียนสีดำ


ตั้งเครื่องบวงสรวงไว้นอกชายคาบ้านตั้งไว้ทิศพายัพ การบูชาจุดธูปเทียน

คาถาบูชา
ตั้งนะโม 3 จบ
กินนุ สันตะระมาโน วะราหุ สุริยัง ปะมุญจะสิ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธะคาถาภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ สุริยันติ




กินนุ สันตะระมาโน วะราหุ จันทัง ปะมุญจะสิ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธคาถาภิคีโตมหิ โน เจย มุญเจยยะ จันทิมาติ

คาถาบูชาพระราหู
นะโม 3 จบ
โอม

เอกะจักขุ นาฬิเกลา สุริยะจันทระ ประภา ราหูคาหาสัตตะระตะนะ สัมปันโนมณีโชติ ระโสยะถา สุวัณณะ รัชชะตะ สะมิทธา อะหังวันทามิ เมสะทาฯ

สวด 12 จบ (ทำน้ำมนต์ ใช้ธูป 12 ดอก เทียน 12 เล่ม)

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  rahu.jpg   6.2K   11 ดาวน์โหลด


#2 ohh1210

ohh1210
  • Members
  • 1 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 08:36 AM

now i am in tokyo ,i always visit this webboard,i feel appreciate you ,mr.tarn ,you have always new thing fos us ,you always write long message,very good .my english is not quite well ,sorry

#3 เป็นหนึ่ง

เป็นหนึ่ง
  • Members
  • 354 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 09:48 AM

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค


จันทิมสูตรที่ ๙
[๒๔๑] พระผู้มีพระภาคประทับ ... เขตพระนครสาวัตถี ก็โดยสมัย
นั้น จันทิมเทวบุตรถูกอสุรินทราหูเข้าจับแล้ว ครั้งนั้นจันทิมเทวบุตรระลึกถึงพระ
ผู้มีพระภาค ได้ภาษิตคาถานี้ในเวลานั้นว่า
ข้าแต่พระพุทธเจ้า ผู้แกล้วกล้า ขอความนอบน้อมจงมีแด่
พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง ข้าพระ-
องค์ถึงเฉพาะแล้ว ซึ่งฐานะอันคับขัน ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่ง
แห่งข้าพระองค์นั้น ฯ
[๒๔๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงปรารภจันทิมเทวบุตรได้ตรัส
กะอสุรินทราหูด้วยพระคาถาว่า
จันทิมเทวบุตร ถึงตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ ว่าเป็นที่พึ่ง
ดูกรราหู ท่านจงปล่อยจันทิมเทวบุตร พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
เป็นผู้อนุเคราะห์แก่โลก ฯ
[๒๔๓] ลำดับนั้นอสุรินทราหู ปล่อยจันทิมเทวบุตรแล้ว มีรูปอันกระ-
*หืดกระหอบ เข้าไปหาอสุรินทเวปจิตติถึงที่อยู่ ครั้นแล้วก็เป็นผู้เศร้าสลด เกิด
ขนพอง ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๒๔๔] อสุรินทเวปจิตติ ได้กล่าวกะอสุรินทราหู ผู้ยืนอยู่ ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ด้วยคาถาว่า
ดูกรราหู ทำไมหนอ ท่านจึงกระหืดกระหอบปล่อยพระจันทร์
เสีย ทำไมหนอ ท่านจึงมีรูปสลด มายืนกลัวอยู่ ฯ
[๒๔๕] อสุรินทราหูกล่าวว่า
ข้าพเจ้าถูกขับด้วยคาถาของพระพุทธเจ้า หากข้าพเจ้าไม่พึง
ปล่อยจันทิมเทวบุตร ศีรษะของข้าพเจ้าพึงแตกเจ็ดเสี่ยง
มีชีวิตอยู่ ก็ไม่พึงได้รับความสุข ฯ

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ บรรทัดที่ ๑๕๕๓ - ๑๕๗๖. หน้าที่ ๗๑.
http://84000.org/tip...576&pagebreak=0

สุริยสูตรที่ ๑๐
[๒๔๖] ก็โดยสมัยนั้น สุริยเทวบุตร ถูกอสุรินทราหูเข้าจับแล้ว ครั้ง
นั้น สุริยเทวบุตร ระลึกถึงพระผู้มีพระภาค ได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า
ข้าแต่พระพุทธเจ้า ผู้แกล้วกล้า ขอความนอบน้อมจงมีแด่
พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง ข้า-
พระองค์ถึงเฉพาะแล้วซึ่งฐานะอันคับขัน ขอพระองค์จงเป็น
ที่พึ่งแห่งข้าพระองค์นั้น ฯ
[๒๔๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงปรารภสุริยเทวบุตรได้ตรัสกะ-
*อสุรินทราหูด้วยพระคาถาว่า
สุริยเทวบุตร ถึงตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ ว่าเป็นที่พึง ดูกร
ราหู ท่านจงปล่อยสุริยะ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้
อนุเคราะห์แก่โลก สุริยะใดเป็นผู้ส่องแสง กระทำความสว่าง
ในที่มืดมิด มีสัณฐานเป็นวงกลม มีเดชสูง ดูกรราหู ท่าน
อย่ากลืนกินสุริยะนั้น ผู้เที่ยวไปในอากาศ ดูกรราหู ท่าน
จงปล่อยสุริยะ ผู้เป็นบุตรของเรา ฯ
[๒๔๘] ลำดับนั้น อสุรินทราหู ปล่อยสุริยเทวบุตรแล้ว มีรูปอัน
กระหืดกระหอบ เข้าไปหาอสุรินทเวปจิตติถึงที่อยู่ ครั้นแล้วก็เป็นผู้เศร้าสลด เกิด
ขนพอง ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๒๔๙] อสุรินทเวปจิตติ ได้กล่าวกะอสุรินทราหู ผู้ยืนอยู่ ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง ด้วยคาถาว่า
ดูกรราหู ทำไมหนอ ท่านจึงกระหืดกระหอบ ปล่อยพระ-
สุริยะเสีย ทำไมหนอ ท่านจึงมีรูปเศร้าสลด มายืนกลัวอยู่ ฯ
[๒๕๐] อสุรินทราหู กล่าวว่า
ข้าพเจ้าถูกขับด้วยคาถาของพระพุทธเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่พึง
ปล่อยพระสุริยะ ศีรษะของข้าพเจ้าพึงแตกเจ็ดเสี่ยง มีชีวิต
อยู่ ก็ไม่พึงได้รับความสุข ฯ
จบ วรรคที่ ๑
-----------------------------------------------------
รวมพระสูตรในวรรคที่ ๑ นี้ มี ๑๐ สูตร คือ ปฐมกัสสปสูตรที่ ๑
ทุติยกัสสปสูตรที่ ๒ มาฆสูตรที่ ๓ มาคธสูตรที่ ๔ ทามลิสูตรที่ ๕ กามทสูตร
ที่ ๖ ปัญจาลจัณฑสูตรที่ ๗ ตายนสูตรที่ ๘ จันทิมสูตรที่ ๙ และ
สุริยสูตรที่ ๑๐ ฯ
-----------------------------------------------------
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ บรรทัดที่ ๑๕๗๗ - ๑๖๐๙. หน้าที่ ๗๒ - ๗๓.
http://84000.org/tip...609&pagebreak=0

___________________________________________________________________________________________

บอกเสริมนิดนึงครับ ยักษ์ กับ อสูร ไม่เหมือนกันนะครับ ยักษ์ก็ยักษ์ อสูรก็อสูร ยักษ์เป็นเทวดาประเภทหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้น จตุมหาราชิกา ส่วนอสูร เป็นเทวดาชั้น ดาวดึงส์ แต่เมาเหล้าสวรรค์ จึงถูกสักกเทวราช(พระอินทร์)จับเหวี่ยงลงมาที่ภพอสูร ซึ่งอยู่ในหุบเขาสามยอด(ตรีกูฏ)ใต้เขาสิเนรุ จากพระไตรปิฎก ราหูเป็นอสูรครับ ไม่ใช่ยักษ์ และเนื่องจากก็เป็นเทวดา ดังนั้นไม่เป็นอมตะหรอกครับ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรบูชาด้วย ไปบูชามากๆ ใจผูกพัน ได้ไปเกิดเป็นอสูรอยู่ในหุบเขานะครับ

ลองอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับเขาสิเนรุที่นี่
http://www.dmc.tv/fo...indpost&p=21250
I just gotta get out of this prison cell.
Someday I'm gonna be free.

#4 ideal

ideal
  • Members
  • 605 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:TRANG
  • Interests:-

โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 11:27 AM



- - - -


[attachmentid=4341]
ฉากการกวนเกษียรสมุทรระหว่างเทวดากับอสูร

กูรมาวตาร ตำนานพระราหู

เรื่องย่อการแสดงปัจจุบัน : กูรมาวตาร ตำนานพระราหู
ปางเมื่อเหล่าเทวดาต้องคำสาปของฤษีทุรวาสให้กำลังฤทธาเสื่อมถอย เป็นเหตุให้เหล่าอสูรขึ้นมาอาละวาดสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว เหล่าเทวาขึ้นเฝ้าทูลฟ้องพระนารายณ์ พระองค์จึงได้วางอุบายทำพิธีกวนน้ำอมฤต และให้เทวดาไปเจรจายุติศึกชั่วคราวกับเหล่าอสูร โดยชักชวนกันมาร่วมทำพิธี อสุรินทร์ราหู ครั้นได้ทราบข่าวจึงเดินทางติดตามเฝ้าดูการกวนน้ำอมฤตอยู่ห่าง ๆ ด้วยหมายมุ่งจะดื่มน้ำอมฤตเพื่อความเป็นอมตะ เหล่าเทวาและอสูรเริ่มพิธีการโดยนำมันทรคีรีมาตั้งแทนไม้กวน ณ เกษียรสมุทร แล้วนำพญาวาสุกรี มาทบรอบเขาต่างเชือก ให้อสูรถือทางหัวและฝ่ายเทวดาถือทางหาง พร้อมใจกันยื้อยุดฉุดพญาวาสุกรี ให้หมุนมันทรคีรีกวนน้ำ จนป่วนปั่นทั้งเกษียรสมุทร ครั้นพญาวาสุกรีถูกดึงจึงพ่นไฟอันมีพิษถูกเหล่าอสูร จนต่างท้อถอยเกือบจะล้มเลิกพิธีเสียกลางครัน พระอิศวร จึงทรงเสด็จมากลืนกินพิษนั้นไว้ พระศอจึงไหม้กลายเป็นสีดำ ครั้นพิธีดำเนินต่อไปจนพื้นโลกจวนเจียนจะแตกทะลุไป พระนารายณ์จึงอวตารลงมาเป็นเต่ารองเขานั้นไว้มิให้ดันทะลุพื้นโลก จากนั้นจึงบังเกิด สิ่งวิเศษผุดขึ้นตามลำดับเป็น ๑.โคสุรภี ๒.สุราฤทธิ์แรงชื่อวารุณี ๓.ต้นปาริชาติ ๔.นางอัปสร ๕.พระจันทร์ ๖.พิษซึ่งเหล่างูและนาครับไว้ ๗.พระลักษมี ๘.เทวะแพทย์ธันวันตรีชูผะอบใส่น้ำอมฤต เมื่อน้ำอมฤตปรากฏพระนารายณ์จึงได้รีบแปลงเป็นสาวงามไปลวงล่อเหล่าอสูรให้หลงใหล จนลืม เรื่องน้ำอมฤต เหล่าเทวดาสบโอกาสจึงพากันดื่มน้ำอมฤตจนทั่วถ้วน เหล่าอสูรเมื่อรู้ว่าหลงกล จึงเข้ารบกับเหล่าเทวา แต่ต้องพ่ายแพ้กลับไปคงเหลือแต่ราหูที่เฝ้าแอบดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น จึงเข้าไปลักลอบดื่มน้ำอมฤต พระจันทร์เห็นเข้าก็ทูลฟ้องพระนารายณ์ พระนารายณ์จึงใช้จักรขว้างไปถูกราหูขาดครึ่งตัว ราหูจึงอาฆาตพระจันทร์ไว้ เมื่อวิถีโคจรให้ต้องพบกันปีละครั้งราหูซึ่งมีร่างกายเหลือเพียงครึ่งจึงอม พระจันทร์ไว้ต่อเมื่อเวลาเคลื่อนคล้อย จึงคายจันทราออกและโคจรตามวิถีต่อไป







บทความจาก โจหลุยส์ เธียเตอร์

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  samut.jpg   38.98K   49 ดาวน์โหลด


#5 รักดวงแก้ว

รักดวงแก้ว
  • Members
  • 74 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 11:40 AM

มีผู้คนมากมายต่างนับถือและสะเดาะห์เคราะห์ตามวัดต่าง ๆ ไม่ทราบว่า
เราควรจะเชื่อและปฎิบัติตามหรือไม่ ?ขอความคิดเห็นและแนวทางปฎิบัติของท่านค่ะ

#6 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 04:35 PM

ก่อนจะตอบคำถามว่า เราควรจะเชื่อและปฏิบัติตามคำสอนเรื่องการสะเดาะห์ของที่วัดนั้นวัดนี้หรือไม่ อยากจะสมมุติเหตุการณ์อย่างหนึ่ง แล้วให้คุณลองตอบคำถามในเหตุการณ์นี้ก่อนนะครับ

สมมุติ ตัวคุณเอง ถูกจับไปขังในคุกแห่งหนึ่ง อยู่มาระหว่างที่คุณเคาะฝังผนังในคุก คุณบังเอิญไปเจอกลไกล (คล้ายหนังจีน ผมชอบแต่งนิยาย) ทำให้ผนังคุกเปิดออก คุณวิ่งออกไปตามทางเดินหลังผนังนั้น คุณวิ่งไปเรื่อยๆ คุณวิ่งมานานเท่าไหร่ มีได้สังเกตุ จนทางเปิดออกไปสู่ที่โล่ง แต่กลับมืดมิดไปหมด มองไม่เห็นทางที่จะต้องวิ่งต่อไป ขณะเดียวกันก็มองไม่เห็นทางที่วิ่งผ่านมาทั้งสิ้น ฉับพลันก็มีเสียงร้องบอกทางทิศเหนือว่า มาทางนี้สิ มาทางนี้จะเจอทางออก คุณดีใจมาก แต่ระหว่างที่คุณกำลังจะก้าวไปตามเสียง ฉับพลันก็มีเสียงมาจากทางตะวันออกว่า อย่าไปทางนั้นนะ มาทางนี้สิ ทางนี้ต่างหากทางออก คุณสับสนแล้ว มีเสียงมาจาก 2 ทิศ

คำตอบคือ คุณจะทำอย่างไรระหว่าง
1. เลือกเดินไปตามเสียงเรียกทางทิศเหนือ หรือ
2. เลือกเดินไปตามเสียงเรียกทางทิศตะวันออก หรือ
3. ไม่ไปทางไหนทั้งนั้น แต่หยิบชุดไฟที่เตรียมมา ก็จุดไฟให้สว่าง เพื่อจะได้เห็นว่า ทางไหนกันแน่คือ ทางออก
ใน 3 อย่างนี้คุณจะเลือกอย่างไหนครับ

ชีวิตคนเราในปัจจุบันก็เช่นเดียว เราเหมือนตกอยู่ในคุกที่มืดมิด มองไม่เห็นหนทางไปนรก สวรรค์ นิพพานเลย (ความสุขนิรันดร์) แต่มีหลักคำสอนในศาสนาต่างๆ ขึ้นแทน เช่น ศาสนาพุทธสอนว่า ทำอย่างนี้จะเป็นความสุข ศาสนาอื่นก็หลักว่า ต้องอ้อนวอนพระเจ้าจึงจะเป็นความสุข ศาสนาพราหมณ์(ปนมาในพุทธ) สอนว่าต้องสะเดาะเคราะห์ จึงจะมีความสุข
ซึ่งก็เปรียบเสมือน เสียงที่ดังมาจากทิศต่างๆ ในยามมืดมิดนั่นเอง

แล้วคุณจะเลือกเชื่อที่ไหน ซึ่งก็เหมือนการเดินไปตามเสียงเรียก ทั้งๆ ยังมืดๆ อยู่นั่นเอง หรือ คุณจะจุดไฟขึ้นมาก่อน ซึ่งเปรียบเสมือน การศึกษาหาความรู้ในแต่ละคำสอนให้ดีก่อน ที่จะเลือกเชื่อหรือปฏิบัติไปทางใดทางหนึ่งเลย

จุดไฟแห่งปัญญาขึ้นมาก่อน แล้วจะทราบว่า ควรจะเดินตามที่ผมเรียกมาหรือไม่ว่า อย่าไปสะเดาะห์เคราะห์เลย (อย่าไปทางนั้น) จงมาทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ตามหลักพุทธแท้ดักว่า (มาทางนี้ดีกว่า)
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#7 CEO

CEO
  • Members
  • 577 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:พระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย

โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 06:09 PM

ในความเป็นจริง
( พระ ) ราหู นั้นมีจริง
เล่ากันว่า
ร่างกายใหญ่มากที่สุดไม่มีเทวดาองค์ไหนใหญ่กว่า
แต่เมื่อมาทำบุญกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้เสกให้พระองค์ท่านใหญ่กว่า( พระ ) ราหู
ทำให้( พระ ) ราหูไม่ต้องอายพระพุทธเจ้าว่าตัวเองนั้นมีร่างกายใหญ่โต
ทำให้( พระ ) ราหูทำบุญได้มากขึ้น ง่ายขึ้น
สร้างบารมีทุกวินาที
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้

#8 แก้วประเสริฐ

แก้วประเสริฐ
  • Members
  • 513 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 May 2006 - 06:55 PM

ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันสูงสุดดีกว่า เอาเวลามาศึกษาธรรมะดีๆของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีกว่า
เรียนแล้วหลุดพ้นจริงๆ นะคุณ ข้ามชาติด้วย

#9 neoclassic

neoclassic
  • Members
  • 46 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 May 2006 - 08:34 PM

อ่านแล้วครับ

#10 Jengiskhan

Jengiskhan
  • Members
  • 560 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กุงเท่

โพสต์เมื่อ 17 August 2006 - 09:52 PM

เรามีพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด สิ่งอื่นที่จะเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกยิ่งไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

#11 หนานแตง

หนานแตง
  • Members
  • 1 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 July 2007 - 03:17 PM

ในอนาคตกาลหลังจากพระศรีอาริย์ พระพุทธเจ้า หมดกัปป์ลง ขึ้นกัปป์ใหม่ จากพระพุทธเจ้าต่อมาอีก 4 พระองค์ พระราหูนี้จะมาเป็นพระพุทธเจ้า องค์ที่เป็นพระพุทธเจ้า องค์สุดท้าย ถ้าจำไม่ผิด จะเป็นพญาช้างปาลิไลย์