พระราหูเป็นพญาอสูรแต่เพียงผู้เดียวที่มีความเป็นอมรหรืออมตะในบรรดาหมู่ อสูรทั้งหมด จึงได้รับการยกย่องจากพระพรหมให้เป็นเทพองค์หนึ่งด้วย อสูรราหูเป็นบุตรของพระ กัศยปเทพบิดรกับนางสิงหิกา แต่กลับมีร่างกายเป็นยักษ์ร้าย
เมื่อทวยเทพกับอสูรได้ทำสงครามกันครั้งใด อสูรราหูก็จะเป็นตัวตั้งตัวตีในการ นำทัพอสูรเข้าบุกแดน ดาวดึงสาพิภพของพระอินทร์ทุกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะพระอินทร์ได้ ต้องถอยทัพกลับมาทุกครั้งไปเช่นกัน แต่เมื่อพระอินทร์ถูกฤาษีสาปให้ถอยฤทธิ์ลง พระอินทร์และ เทวดาบริวารก็พ่ายแพ้แก่พวกอสูรตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พวกเทวดาจึงถูกพวกอสูรฆ่าตายลงไป จนเกือบหมด พระอินทร์ก็หมดปัญญาที่จะต่อสู้อีกต่อไป จึงได้พาเทวดาบริวารไปกราบทูลขอ ความช่วยเหลือจากพระนารายณ์ผู้เป็นเจ้า ในทะเลน้ำนมอันเป็นที่สิ่งสถิตของพระองค์
พระนารายณ์ก็แนะนำให้ทำพิธีกวนน้ำทิพย์ เมื่อกินแล้วจะได้มีความเป็นอมตะ คือไม่รู้จักตาย แต่ทรงเห็นว่าลำพังเฉพาะพวกเทวดาแล้วคงทำงานใหญ่ครั้งนี้ไม่สำเร็จ จำเป็น ต้องอาศัยแรงและฤทธิ์ของพวกอสูรด้วยจึงจะทำได้ จึงทรงบอกให้พระอินทร์และบรรดาเทวดาไป ขอร้องให้พวกอสูรมาช่วยด้วย ให้แกล้งหลอกทำสัญญากับพวกอสูรว่าถ้ากวนน้ำทิพย์สำเร็จแล้วก็ จะแบ่งให้พวกอสูรครึ่งหนึ่งของน้ำทิพย์ที่ได้ทั้งหมด แต่พอได้น้ำทิพย์แล้วก็ค่อยหาทางหลีกเลี่ยง กันทีหลัง คือไม่ยอมให้พวกอสูรได้กินน้ำทิพย์นั้นกันเสียเลย พระนารายณ์ทรงรับรองว่าถึงตอน นั้นพระองค์จะทรงจัดการกับพวกมันด้วยพระองค์เอง
เมื่อพวกเทวดาไปทำสัญญากวนน้ำทิพย์ร่วมกันกับพวกอสูรเป็นผลสำเร็จแล้ว พิธีกวนน้ำทิพย์จึงได้เริ่มขึ้น ณ ทะเลน้ำนมนั่นเอง ด้วยการยกเอาภูเขามันทรมาเป็นเครื่องกวนน้ำ ในทะเลน้ำนมนั้น บรรดาเทวดาและอสูรตางก็ออกไประดมกันเก็บเกี่ยวเครื่องยาสมุนไพรที่มีอยู่ทั้ง สามโลกนานาชนิดเป็นจำนวนมหาศาลมาทุ่มทิ้งลงไปในทะเลแห่งนั้นแล้วเอาพญานาควาสุกรีมา พันรอบเขามันทรต่างสายเชือกสำหรับให้เทวดาและอสูรช่วยกันดึงไปมาปั่นภูเขาให้หมุน เพื่อให้ เครื่องยากับน้ำในมหาสมุทรเข้ากันจนเกิดเป็นน้ำทิพย์ที่ต้องการ เมื่อถึงเวลาของการดึงเชือกหรือ พญานาคพวกเทวดาก็เริ่มเอาเปรียบตั้งแต่เริ่มแรกกันทีเดียว ด้วยการพากันไปดึงส่วนที่เป็นหาง ของนาค พวกอสูรจึงจำต้องไปดึงที่ส่วนหัวของพญานาค พวกเทวดาและอสูรต่างก็ช่วยกันปั่น ช่วยกันกวนน้ำทิพย์จนเป็นเวลาช้านาน พญานาควาสุกรีได้รับความทุกข์ทรมานิ่งจึงพ่นพิษออก มาเป็นไฟถูกพวกอสูรบาดเจ็บและอ่อนแรงลง อสูรราหูก็เป็นผู้หนึ่งที่ต้องการแรงฉุดอยู่ทางหัวนาค จึงต้องได้รับทุกข์ทรมานและเจ็บปวดไปด้วยพิษนาคด้วย แต่ก็จำต้องอดทนเพื่อความสำเร็จจึง ต้องทนทำต่อไป แต่ก็ให้รู้สึกคิดแค้นพวกเทวดาอยู่ไม่หาย อสูรราหูจึงมุ่งมั่นที่จะเป็นอมตะให้ได้ แต่ เมื่อนานเข้า ๆ พญานาคก็ยิ่งได้รับความทุกข์ทรมานยิ่งขึ้นกว่าใคร ๆ จึงได้พ่นพิษเป็นไฟกรด ออกมาเป็นจำนวนมาก เกิดความร้อนแรงจนสุดที่ทนทานกันได้ พวกเทวดาและพวกอสูรต่างก็ ผละออกวิ่งหนีเอาตัวรอดกันด้วยความตกใจกลัวและไฟกรดนั้นก็มีทีท่าที่จะลุกลามไหม้ออกไปได้ หมดทั้งสามโลก จนกระทั่งพระอิศวรผู้เป็นเจ้าทรงทนดูอยู่ไม่ได้ จึงได้ทรงปรากฏพระวรกายขึ้น ณ ที่นั่นแล้วอ้าพระโอษฐ์ออกดูดกลืนไฟกรดและพิษร้ายของพญสนาคไว้หมดแต่เพียงพระองค์เดียว ก่อนที่โลกจะถูกทำลายลง ไฟกรดอันเป็นพิษร้ายแรงก็ได้เผาผลาญพระศอของพระองค์จนไหม้ เกรียมเป็นสีดำประดุงดั่งสีนิล เมื่อความวุ่นวายโกลาหลถูกยุติด้วยเทวานุภาพของพระอิศวรลง แล้ว ความเป็นอมตะแห่งทะเลน้ำนมก็บังเกิดขึ้น ของวิเศษต่าง ๆ ได้ผุดขึ้นจากเกษียรสมุทรหลาย อย่าง เช่น พระลักษมี เทพีแห่งเหล้า ช้างเอราวัณ และอื่น ๆ รวมทั้งนางอัปสรอีกมากมาย จน กระทั่งถึงอันดับสุดท้ายก็มีเทพบุตรทูนหม้อน้ำทิพย์ผุดขึ้นมาแล้ววางไว้ ณ ฝั่งแห่งเกษียรสมุทรนั้น เทวดาและอสูรต่างก็วุ่นวายกันเข้ายื้อแย่งของวิเศษหลบหนีไปเสียทันที แต่พระนารายณ์ก็ได้ทรง เห็นเสียก่อนจึงเสด็จตามเอาหม้อน้ำทิพย์นั้นกลับมาได้ แล้วพระนารายณ์จึงทรงประกาศให้พวก เทวดามาดื่มกินน้ำทิพย์กันโดยทั่วหน้า ส่วนอสูรราหูก็ไม่ลดละจึงได้ลอบเข้ามาแล้วแปลงกายเป็น พราหมณ์เข้าไปขอแบ่งน้ำทิพย์ดื่มกินด้วย พวกเทวดาก็ไม่ระแวงสงสัยเมื่อเห็นเป็นพราหมณ์เช่น นั้นก็ตักน้ำทิพย์ส่งให้ด้วยความยินดี อสูรราหูในรูปกายของพราหมณ์แปลงก็ได้ดื่มกินน้ำทิพย์นั้น สมความตั้งใจของตน
พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เห็นการกระทำของอสูรราหูเช่นนั้นเข้าก็เอะอะ โวยวายขึ้น จนความทราบถึงพระนารายณ์ ๆ จึงทรงขว้างอสูรราหูด้วยจักรอันเป็นเทพศัสตราของ พระองค์ จักรของพระนารายณ์ได้ตัดร่างของอสูรราหูออกเป็นสองท่อน แต่ด้วยอานุภาพแห่งน้ำ ทิพย์ที่อสูรราหูได้ดื่มกินเข้าไปจึงทำให้ไม่ตาย
ด้วยที่ถูกพระนารายณ์ทำร้ายเอาจนถึงกับร่างกายขาดกันเป็นสองท่องนี่เอง ก็ เพราะพระอาทิตย์และพระจันทร์เป็นต้นเหตุ พระราหูจึงได้อาฆาตแค้นพระอาทิตย์และพระจันทร์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระราหูจึงได้หาโอกาสจับพระอาทิตย์และพระจันทร์กลืนกินอยู่เรื่อยมา แต่ พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็หลุดล่วงพ้นไปได้ในชั่วเวลาที่ไม่นานนัก ทั้งนี้ก็เพราะพระราหูมีร่าง กายอยู่เพียงครึ่งท่อนนั่นเอง
การกระทำของพระราหูต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์อันเป็นการจองเวรนั้นจึง ทำให้เกิดสุริยคราสและจันทรคราสขึ้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้
---------------------------------------------------------------------------------
พระราหูทรงเป็นอสูรเทพ คือเป็นเทพที่มีรูปกายเป็นยักษ์นั่นเอง มีพระวรกายสีดำสนิทและทรงอาภรณ์สีดำสนิทบ้างก็สีทองแดง
พาหนะ ตามตำราชาวฮินดู คือสิงห์ สำหรับโหราศาสตร์ไทย ทรงครุฑเป็นพาหนะ
ตำนานเล่ากำเนิดของพระราหูมีมากมาย ดังนี้
พระราหู เป็นโอรสของพระวิประจิตติ และพระนางสิหิกา เมื่อแรกเกิดขึ้นพระราหูมีหางเป็นนาค และสถิตอยู่ในวิมานสีนิชลหรือสีดำขลับโดยมีพาหนะเป็นพญาครุฑ พระราหูถือเป็นเทวะองค์ที่ 8 ในบรรดาเทพแห่งนพเคราะห์
ในคัมภีร์อินเดียโบราณ บันทึกว่าพระศิวะได้นิรมิตผีโขมด 12 ตน และร่ายพระเวทป่นให้ผีนั้นแหลกละเอียดเป็นผุยผงจากนั้นนำผ้าสีดำสนิทมาห่อ และประพรม ด้วยน้ำอมฤตเสกสรรบันดาลให้กลายเป็นเทวะองค์ที่ 8 นาม พระราหู
พระราหูทรงเป็นอสูรเทพ คือเป็นเทพที่มีรูปกายเป็นยักษ์นั่นเอง มีพระวรกายสีดำสนิทและทรงอาภรณ์สีดำสนิทบ้างก็สีทองแดง
พาหนะ ตามตำราชาวฮินดู คือสิงห์ สำหรับโหราศาสตร์ไทย ทรงครุฑเป็นพาหนะ
ตำนานเล่ากำเนิดของพระราหูมีมากมาย ดังนี้
พระราหู เป็นโอรสของพระวิประจิตติ และพระนางสิหิกา เมื่อแรกเกิดขึ้นพระราหูมีหางเป็นนาค และสถิตอยู่ในวิมานสีนิชลหรือสีดำขลับโดยมีพาหนะเป็นพญาครุฑ พระราหูถือเป็นเทวะองค์ที่ 8 ในบรรดาเทพแห่งนพเคราะห์
ในคัมภีร์อินเดียโบราณ บันทึกว่าพระศิวะได้นิรมิตผีโขมด 12 ตน และร่ายพระเวทป่นให้ผีนั้นแหลกละเอียดเป็นผุยผงจากนั้นนำผ้าสีดำสนิทมาห่อ และประพรม ด้วยน้ำอมฤตเสกสรรบันดาลให้กลายเป็นเทวะองค์ที่ 8 นาม พระราหู
คัมภีร์โบราณฮินดูกล่าวว่าพระราหูทรงเป็นโอรสของพระพฤหัสบดีกับนางสิงหิกา
บางคัมภีร์กล่าวว่าทรงเป็นพี่น้องกับพระอาทิตย์และพระจันทร์ก่อนมากำเนิดบนสวรรค์ เรื่องเล่าอดีตชาติเรื่องราวเกิดขึ้นที่บ้านเศรษฐีผู้มั่งคั่งผู้หนึ่งมีบุตรชาย 3 คน คนโต อดีตชาติคือพระอาทิตย์ คนรอง อดีตชาติคือพระจันทร์ และคนสุดท้อง อดีตชาติคือพระราหู ต่อมาเมื่อเศรษฐีได้ถึงแก่กรรมลงทั้ง 3 พี่น้องได้นิมนต์พระมาทำบุญโดยการใส่บาตร พี่คนโตได้คว้าขันทองคำพร้อมอธิษฐานด้วยเสียงดังว่าผลบุญที่กระทำจงส่งผลให้เกิดเป็นพระอาทิตย์เพื่อส่องแสงในยามกลางวัน พี่คนรองคว้าได้ขันเงินเมื่อใส่บาตรเสร็จจึงอธิฐานดังๆ ว่าขอให้เกิดเป็นพระจันทร์ทำหน้าที่ส่องแสงยามค่ำคืนด้วย ส่วนคนสุดท้องเมื่อได้ฟังพี่ชายทั้ง 2 ของตนอธิฐานก็โกรธเป็นอย่างมากจึงคว้ากระบุงใส่ข้าวมาใส่บาตรอธิฐานดังๆ ว่าขอให้เกิดเป็นพี่ชายใหญ่ของพระอาทิตย์และพระจันทร์ มีร่างกายใหญ่โตจนสามารถบดบังแสงแห่งพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้
กาลต่อมาเมื่อทั้ง 3 คนสิ้นอายุลงคำอธิฐานก็เป็นดังที่ขอไว้ทั้งสิ้น
เวลากลางวัน เมื่อพระราหูโคจรพบพระอาทิตย์ก็บดบังแสงไว้มิให้ส่องมายังโลก เหตุนี้จึงเรียกว่าการเกิดสุริยุปราคา
เวลากลางคืน เมื่อพระราหูก็จะเข้าบดบังอมพระจันทร์ไว้ให้มืดมิด เหตุนี้จึงเรียกกันว่า จันทรุปราคา หรือจันทรคราส
ซึ่งเกิดจากความโกรธพี่ชายทั้ง 2 ของตนที่ได้อธิฐานไว้จึงเกิดเป็นความพยาบาทสืบเนื่องกันมา
เหตุที่พระราหูร่างขาดเป็น 2 ท่อน มีตำนานเล่าไว้ 2 ประเด็นคือ
เล่ากันว่าพระราหูได้แปลงตัวเป็นเทวะองค์หนึ่งเข้ารวมในการชุมนุมของทวยเทพ และได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไป แต่ทว่า พระสุริยาทิตย์ และพระจันทร์ได้สังเกตเห็น เข้าจึงนำความไปบอกพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ว่าพระราหูผู้เป็นแทตย์ได้แปลงร่างไปเป็นเทวะและลอบดื่มน้ำอมฤตนั้น พระนารายณ์ทรงกริ้วนักจึงขว้างด้วยจักรถูกพระราหูจนวรกายขาดไปครึ่งองค์ แต่ทรงมิสิ้นชีพเนื่องจากได้ดื่มน้ำอมฤตเข้าไปแล้วจึงมีฤทธานุภาพสูงเทียมเท่ากับ เทวะทั้งมวล พระราหูจึงเหลือแต่เพียงท่อนหัวล่องลอยไปมาในชั้นสวรรค์คอยจับพระอาทิตย์และพระจันทร์มากินเพื่อแก้แค้นดังเช่นเดิม
ส่วนท่อนตัวหรือท่อนล่างของพระราหูที่กระเด็นขาดหายไปได้กลายไปเป็นพระเกตุเป็นเทวะแห่งนพเคราะห์องค์ที่ 9 ซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นดาวหางหรือ ดาวผีพุ่งไต้ เกิดขึ้นนานๆ ครั้งในชั้นบรรยากาศนั่นเอง
อีกตำนานเล่าไว้ว่าเหตุเกิดจากพญาครุฑ (พระอาทิตย์) อยากกินพญานาค (พระเสาร์) จึงเข้าไล่จับมาทำอาหาร พญานาคหนีไปหาพระราหูเพื่อขอให้ช่วยเหลือ จึงต่อสู้กันสุดท้ายพญาครุฑพ่ายแพ้จึงเข้าเฝ้าพระอินทร์ (พระพฤหัส) สุดท้ายพระอินทร์ก็ไม่สามารถจับพญาครุฑได้ ส่วนพระราหูเหลือบไปเห็นน้ำอมฤตด้วยความเหนื่อยล้าจึงยกน้ำอมฤตขึ้นดื่ม เมื่อพระอินทร์เห็นดังนั้นก็บรรดาลโทสะขว้างจักรเพชรเข้าใส่ร่างพระราหูขาดออก 2 อ่อน แต่ก็ไม่ตายด้วยดื่มน้ำอมฤตก่อนแล้ว
----------------
การบูชาพระราหู
ตามหลักของชาวฮินดูโบราณจะประกอพิธีในช่วงคืนวันพุธของเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี หรือจะบูชาเดือนใดก็ได้
เครื่องบวงสรวง
ผ้าแพรสีดำหรือสีม่วง
พวงมาลัยดาวเรือง ดอกบัว ดอกไม้สีม่วง
สุรา ข้าวตอก ของคาวของหวาน ผลไม้รสเปรี้ยว ใช้สีดำหรือสีคล้ำ
ธูปเทียนสีดำ
ตั้งเครื่องบวงสรวงไว้นอกชายคาบ้านตั้งไว้ทิศพายัพ การบูชาจุดธูปเทียน
คาถาบูชา
ตั้งนะโม 3 จบ
กินนุ สันตะระมาโน วะราหุ สุริยัง ปะมุญจะสิ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธะคาถาภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ สุริยันติ
กินนิ สันตะระมาโน วะราหุ จันทัง ปะมุญจะสิ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธคาถาภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ จันทิมันติ
สวดวันละ 12 จบ
การบูชาพระราหู
เครื่องบวงสรวง
ผ้าแพรสีดำหรือสีม่วง
พวงมาลัยดาวเรือง ดอกบัว ดอกไม้สีม่วง
สุรา ข้าวตอก ของคาวของหวาน ผลไม้รสเปรี้ยว ใช้สีดำหรือสีคล้ำ
ธูปเทียนสีดำ
ตั้งเครื่องบวงสรวงไว้นอกชายคาบ้านตั้งไว้ทิศพายัพ การบูชาจุดธูปเทียน
คาถาบูชา
ตั้งนะโม 3 จบ
กินนุ สันตะระมาโน วะราหุ สุริยัง ปะมุญจะสิ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธะคาถาภิคีโตมหิ โน เจ มุญเจยยะ สุริยันติ
กินนุ สันตะระมาโน วะราหุ จันทัง ปะมุญจะสิ
สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ
สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ
พุทธคาถาภิคีโตมหิ โน เจย มุญเจยยะ จันทิมาติ
คาถาบูชาพระราหู
นะโม 3 จบ
โอม
เอกะจักขุ นาฬิเกลา สุริยะจันทระ ประภา ราหูคาหาสัตตะระตะนะ สัมปันโนมณีโชติ ระโสยะถา สุวัณณะ รัชชะตะ สะมิทธา อะหังวันทามิ เมสะทาฯ
สวด 12 จบ (ทำน้ำมนต์ ใช้ธูป 12 ดอก เทียน 12 เล่ม)