เรื่อง: เขียนลงบนทราย
เป็นเรื่องราวของเพื่อน 2 คนที่กำลังเดินทางอยู่กลางทะเลทราย
เมื่อเดินทางถึงจุดหนึ่ง ก็เกิดการโต้เถียงกัน เพื่อนคนหนึ่งก็ตบหน้าเพื่อนอีกคนหนึ่ง
เพื่อนคนที่ถูกตบหน้า ไม่ว่าอะไรสักคำ แต่กลับเขียนข้อความไว้ที่พื้นทรายว่า
"วันนี้เพื่อนรักของฉัน ตบหน้าฉัน"
พวกเขาเดินทางกันต่อไป จนกระทั่งพบแหล่งน้ำกลางทะเลทราย
พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำที่นั่น เพื่อนคนที่ถูกตบหน้าก็เกิดจมน้ำ
แต่ก็โชคดีที่เพื่อนอีกคนช่วยชีวิตไว้ได้
เมื่อเขาหายตกใจจากการจมน้ำ เขาก็จารึกข้อความไว้ที่ก้อนหินว่า
"วันนี้เพื่อนรักของฉัน ช่วยชีวิตฉันไว้"
เพื่อนคนที่ช่วยชีวิตเขาและตบหน้าเขารู้สึกแปลกใจในการกระทำของเขา
จึงเอ่ยปากถามว่า
"ทำไมตอนที่ฉันทำร้ายเธอ เธอเขียนลงบนพื้นทราย แต่ตอนนี้เธอเขียนลงบนหิน"
เพื่อนอีกคนยิ้มและตอบว่า
"เมื่อเพื่อนทำร้ายเรา เราควรจะเขียนลงบนทราย เพื่อให้สายลมแห่งอโหสิพัดมาและลบมันทิ้งไป
และเมื่อมีความประทับใจเกิดขึ้น เราควรจะจารึกไว้ในศิลาแห่งความทรงจำจากใจ ซึ่งสายลมจะมิอาจทำให้มันเลือนลางได้"
จงเรียนรู้ที่จะเขียนลงบนพื้นทราย
ก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระราชาผู้ปราดเปรื่ององค์หนึ่ง ต้องการจะออกเดินทางท่องเที่ยวไป เยี่ยมประชาชนของพระองค์ เมื่อมาถึงที่กลางตลาดพระองค์ก็เกิดความคิดที่แยบคายอย่างหนึ่งขึ้น พระองค์นำหินก้อนใหญ่ มาวางกลางถนนกีดขวางทางเดินของชาวบ้าน และพระองค์ก็ไปซ่อนตัวและ คอยสังเกตอยู่ห่างๆ
ชาวนาคนแรกเดินผ่านมาพร้อมทั้งบ่นอย่างไม่พอใจว่าใครกันที่เป็นผู้ที่นำหิน นี้มากีดขวางทางเดินของเขาแต่แล้วเขาก็เดินอ้อมหินนั้นไปพระราชาก็มองดูด้วยความสนใจ
ต่อมามีหญิงเลี้ยงวัวคนหนึ่งเดินจูงวัวของตนมา เมื่อมองเห็นหินก่อนนั้นเธอก็พูดว่าทำไมหินก่อนนี้จึงมาอยู่ที่นี่ แล้วอย่างนี้เธอจะข้ามมันไปได้อย่างไร พูดจบหญิงคนนั้นก็จูงวัวของเธอเดินหันหลังกลับไปโดยไม่สนใจที่จะเดินอ้อมมันไปเหมือนชาวนาคนแรก
เวลาผ่านไปไม่นานก็มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าก้อนหินก้อนใหญ่นั้น เค้าพยายามที่จะผลักหินไปให้พ้นทางแต่เพียงลำพังตัวเขาก็ไม่สามารถทำได้เขาจึงเดินหันหลังกลับไป แต่เพียงไม่กี่อึดใจเด็กน้อย คนนั้นก็เดินกลับมาพร้อมกับเพื่อน ๆ ของเขาหลายคน แล้วเด็ก ๆ ก็ช่วยกันผลักหินก้อนนั้นออกไปให้พ้นทางเดิน
เมื่อพวกเขาเดินกลับมาที่ถนน พวกเขาก็พบถุงใส่เหรียญทองของพระราชาวางอยู่แทนที่หินก้อนนั้น
หินก้อนนั้นได้ให้ข้อคิดที่มีค่าอย่างหนึ่งนั่นก็คือ อุปสรรคในชีวิตของพวกเรานั้นมีไว้เพื่อพิสูจน์ความกล้าของเราที่จะเผชิญหน้ากับมัน
หากเราหนีปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องหนีมันไปเรื่อย หากปัญหานั้นหนักหนาเกินกว่าเราจะฝ่าฟันไปได้ ลองมองไปรอบ ๆ ตัวแล้วเราจะพบว่ายังมีผู้ที่สามารถช่วยเรามาก เท่ากับผู้ที่เราสามารถจะช่วยให้เขาฝ่าฟันอุปสรรคของเขาไปได้ และอุปสรรคที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ ความอ่อนแอและความหวาดกลัวของตัวเราเองที่จะเอาชนะปัญหาที่เกิดขึ้นนั่นเอง
รวมเรื่องสั้นให้กำลังใจกัน, ใครมีบทความหรือข้อคิดอะไรดีๆส่งมาปันกัน
เริ่มโดย นักท่องเที่ยว, Oct 08 2006 12:21 PM
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 12:21 PM
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#2
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 06:21 PM
น่าจะมีคอลัม ให้นักเขียนมือใหม่นะครับ^^
---------------
---------------
เพียง. . .เพื่อดำรงชีวิตอยู่ให้มีคุณค่า
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
เพียงพอ
#3
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 08:01 PM
บอร์ดนี้คงมีนักเขียนเยอะเลยนะค่ะเนี๋ย
เมื่อรุ้เช่นนี้แล้ว ยังมีคนรอบข้างคอยที่จะช่วยคุนอยุ่นะคะ ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ใช่หนี โอ้ปลื้มจัง จบ
เมื่อรุ้เช่นนี้แล้ว ยังมีคนรอบข้างคอยที่จะช่วยคุนอยุ่นะคะ ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ใช่หนี โอ้ปลื้มจัง จบ
"ด้วยใจกล้าอาสา พัฒนาไม่หยุดยั้ง"
น้ำฝนลูกพระธัมฯ
#4
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 10:03 PM
ก็อปมาเขาอะป่าว อิอิ
จงสู้และอย่าท้อ ลูกเอย
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง
สุนทรพ่อ
มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ
ต้องถึงธรรมอย่างเสบย แน่แท้
ให้ทำอย่างที่เคย สอนสั่ง
นั่ง บ่ มีข้อแม้ จักได้ธรรมครอง
สุนทรพ่อ
มาร่วมกันสร้างสันติสุขให้กับโลกกันเถอะ
#5
โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 08:41 AM
คำถามจากแม่
แม่ของผมเคยถามผมว่า ส่วนไหนของร่างกายที่สำคัญที่สุด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมได้ทายสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นคำตอบที่ถูก
เมื่อตอนผมยังเป็นเด็กเล็ก
ผมเคยคิดว่าเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเราในฐานะที่เป็นมนุษย์
ดังนั้น ผมจึงบอกแม่ว่า "มันคือ หู ผมไง"
แต่แม่บอกว่า "ไม่ใช่จ้ะ คนจำนวนมาก หูหนวก แต่ก็ยังอยู่ได้"
ลูกลองคิดดูไปก่อนนะ แล้วเร็วๆนี้แม่จะถามลูกใหม่
หลายปีผ่านไปก่อนที่ แม่จะถามผมเรื่องนี้อีกครั้ง
ตั้งแต่ที่ผมทายผิดครั้งแรก ผมก็พยายามครุ่นคิดหาคำตอบที่ถูกต้องตลอดมา
และในตอนนี้ผมบอกกับแม่ว่า "การมองเห็น สำคัญมากสำหรับทุกๆ
คนดังนั้นมันต้องเป็นตาของเราแน่เลย ที่สำคัญที่สุด"
แม่มองมาที่ผม และบอกกับผมว่า
"ลูกเรียนรู้ได้เร็วมากแต่ว่าคำตอบก็ยังไม่ถูกจ้ะ
เพราะว่า ยังมีคนอีกมากมายที่ตาบอดแต่ก็ยังอยู่ได้"
อึ้งไปอีกครั้ง แต่ผมก็ยังคงพยายามค้นคว้า หาความรู้ต่อมาอีกหลายปี
และแม่ก็ยังคงถามผมอีก หลายครั้ง และทุกครั้ง คำตอบของแม่ก็คือ "ไม่ใช่จ้ะ
แต่ลูกก็ฉลาดขึ้นทุกๆครั้ง นะจ๊ะ ลูกรัก"
จนเมื่อปีที่แล้ว ปู่ของผมตายลง ทุกคนในบ้านเศร้าใจกันมาก ทุกคนร้องไห้
แม้แต่พ่อของผมก็ร้องด้วย ผมจำได้ดีเพราะว่ามันเป็นเพียงครั้งที่สอง
ที่ผมเห็นพ่อร้องไห้ แม่มองมาที่ผม
ตอนที่เรากล่าวคำอำลาครั้งสุดท้ายต่อคุณปู่
แล้วแม่ก็ถามผมว่า "ลูกรู้หรือยังส่วนไหนของร่างกายเราสำคัญที่สุดลูกรัก"
ผมรู้สึกงุนงง ที่แม่ถามผมตอนนี้ ผมคิดตลอดมาว่าคำถามนี้เป็นเกมส์
ระหว่าผมกับแม่ แม่มองเห็นสีหน้ามึนของผม และก็บอกว่าคำถามนี้สำคัญมากลูก
มันแสดงให้เห็นความจริง ในชีวิตของเรา
สำหรับอวัยวะต่างๆที่ลูกเคยบอกกับแม่ว่าสำคัญ ในอดีตที่ผ่านมา
และแม่ได้บอกกับลูกว่า มันผิดมาตลอด
พร้อมกันนั้นแม่ก็ได้ยกตัวอย่างให้ลูกฟังว่าทำไมมันถึงผิด
แต่ว่าวันนี้เป็นวันที่ลูกจะได้เรียนบทเรียนที่สำคัญที่สุด
แม่ ก้มลงมองมาที่ผม
ด้วยความรู้สึกลึกซึ้งอย่างที่แม่คนหนึ่งจะทำได้
ผมเห็นตาแม่เอ่อด้วยน้ำตา และแม่ก็พูดว่า "ลูกรัก
ส่วนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกก็คือ บ่า จ้ะ"
ผมถามแม่ว่า "เป็นเพราะว่ามันคอยรองรับหัวของเราไว้ ใช่มั้ยครับ"
แม่ตอบว่า "ไม่ใช่จ้ะ แต่เป็นเพราะว่ามันสามารถรองรับ ศีรษะของเพื่อนของเรา
หรือคนที่เรารัก เมื่อยามที่เค้าร้องไห้
คนเราทุกคนต้องการบ่าใครซักคนไว้คอยซบยามร้องให้ในบางช่วงเวลาของชีวิต”
ลูกรัก แม่เพียงแต่หวังว่า
ลูกจะมีเพื่อนและคนรักที่จะมีบ่าพร้อมที่จะให้ลูกซบตอนร้องไห้ยามเมื่อลูกต้องการ
ตรงนั้นเองที่ผมได้รู้ว่า
สิ่งสำคัญที่สุดของร่างกายเรา
คือการไม่เห็นแก่ตัว และมันคือความรู้สึกร่วมรับรู้กับความเจ็บปวดของคนอื่น
คนเราอาจจะลืม สิ่งที่คุณพูด.......
คนเราอาจจะลืมสิ่งทีคุณทำ.........
แต่ไม่มีใครลืม สิ่งที่ทำให้เค้า "รู้สึก" ได้......
เพื่อนที่ดีก็เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า....
คุณไม่ได้เห็นมันตลอดเวลาหรอก
แต่คุณรู้ว่า พวกเค้าอยู่ที่ตรงนั้นกับคุณ ตลอดเวลา ............................
ขอบพระคุณ คุณ Jack Sparrow จาก web ranthong นะคะ
แม่ของผมเคยถามผมว่า ส่วนไหนของร่างกายที่สำคัญที่สุด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมได้ทายสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นคำตอบที่ถูก
เมื่อตอนผมยังเป็นเด็กเล็ก
ผมเคยคิดว่าเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเราในฐานะที่เป็นมนุษย์
ดังนั้น ผมจึงบอกแม่ว่า "มันคือ หู ผมไง"
แต่แม่บอกว่า "ไม่ใช่จ้ะ คนจำนวนมาก หูหนวก แต่ก็ยังอยู่ได้"
ลูกลองคิดดูไปก่อนนะ แล้วเร็วๆนี้แม่จะถามลูกใหม่
หลายปีผ่านไปก่อนที่ แม่จะถามผมเรื่องนี้อีกครั้ง
ตั้งแต่ที่ผมทายผิดครั้งแรก ผมก็พยายามครุ่นคิดหาคำตอบที่ถูกต้องตลอดมา
และในตอนนี้ผมบอกกับแม่ว่า "การมองเห็น สำคัญมากสำหรับทุกๆ
คนดังนั้นมันต้องเป็นตาของเราแน่เลย ที่สำคัญที่สุด"
แม่มองมาที่ผม และบอกกับผมว่า
"ลูกเรียนรู้ได้เร็วมากแต่ว่าคำตอบก็ยังไม่ถูกจ้ะ
เพราะว่า ยังมีคนอีกมากมายที่ตาบอดแต่ก็ยังอยู่ได้"
อึ้งไปอีกครั้ง แต่ผมก็ยังคงพยายามค้นคว้า หาความรู้ต่อมาอีกหลายปี
และแม่ก็ยังคงถามผมอีก หลายครั้ง และทุกครั้ง คำตอบของแม่ก็คือ "ไม่ใช่จ้ะ
แต่ลูกก็ฉลาดขึ้นทุกๆครั้ง นะจ๊ะ ลูกรัก"
จนเมื่อปีที่แล้ว ปู่ของผมตายลง ทุกคนในบ้านเศร้าใจกันมาก ทุกคนร้องไห้
แม้แต่พ่อของผมก็ร้องด้วย ผมจำได้ดีเพราะว่ามันเป็นเพียงครั้งที่สอง
ที่ผมเห็นพ่อร้องไห้ แม่มองมาที่ผม
ตอนที่เรากล่าวคำอำลาครั้งสุดท้ายต่อคุณปู่
แล้วแม่ก็ถามผมว่า "ลูกรู้หรือยังส่วนไหนของร่างกายเราสำคัญที่สุดลูกรัก"
ผมรู้สึกงุนงง ที่แม่ถามผมตอนนี้ ผมคิดตลอดมาว่าคำถามนี้เป็นเกมส์
ระหว่าผมกับแม่ แม่มองเห็นสีหน้ามึนของผม และก็บอกว่าคำถามนี้สำคัญมากลูก
มันแสดงให้เห็นความจริง ในชีวิตของเรา
สำหรับอวัยวะต่างๆที่ลูกเคยบอกกับแม่ว่าสำคัญ ในอดีตที่ผ่านมา
และแม่ได้บอกกับลูกว่า มันผิดมาตลอด
พร้อมกันนั้นแม่ก็ได้ยกตัวอย่างให้ลูกฟังว่าทำไมมันถึงผิด
แต่ว่าวันนี้เป็นวันที่ลูกจะได้เรียนบทเรียนที่สำคัญที่สุด
แม่ ก้มลงมองมาที่ผม
ด้วยความรู้สึกลึกซึ้งอย่างที่แม่คนหนึ่งจะทำได้
ผมเห็นตาแม่เอ่อด้วยน้ำตา และแม่ก็พูดว่า "ลูกรัก
ส่วนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกก็คือ บ่า จ้ะ"
ผมถามแม่ว่า "เป็นเพราะว่ามันคอยรองรับหัวของเราไว้ ใช่มั้ยครับ"
แม่ตอบว่า "ไม่ใช่จ้ะ แต่เป็นเพราะว่ามันสามารถรองรับ ศีรษะของเพื่อนของเรา
หรือคนที่เรารัก เมื่อยามที่เค้าร้องไห้
คนเราทุกคนต้องการบ่าใครซักคนไว้คอยซบยามร้องให้ในบางช่วงเวลาของชีวิต”
ลูกรัก แม่เพียงแต่หวังว่า
ลูกจะมีเพื่อนและคนรักที่จะมีบ่าพร้อมที่จะให้ลูกซบตอนร้องไห้ยามเมื่อลูกต้องการ
ตรงนั้นเองที่ผมได้รู้ว่า
สิ่งสำคัญที่สุดของร่างกายเรา
คือการไม่เห็นแก่ตัว และมันคือความรู้สึกร่วมรับรู้กับความเจ็บปวดของคนอื่น
คนเราอาจจะลืม สิ่งที่คุณพูด.......
คนเราอาจจะลืมสิ่งทีคุณทำ.........
แต่ไม่มีใครลืม สิ่งที่ทำให้เค้า "รู้สึก" ได้......
เพื่อนที่ดีก็เหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า....
คุณไม่ได้เห็นมันตลอดเวลาหรอก
แต่คุณรู้ว่า พวกเค้าอยู่ที่ตรงนั้นกับคุณ ตลอดเวลา ............................
ขอบพระคุณ คุณ Jack Sparrow จาก web ranthong นะคะ
จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#6
โพสต์เมื่อ 11 October 2006 - 08:44 PM
สาธุ
#7
โพสต์เมื่อ 15 October 2006 - 07:39 PM
ขอบคุณมากค่ะ...เป็นเรื่องสั้น ที่ดีมาก ๆ ค่ะ