ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

รบกวนหน่อยครับ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 8 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Defilement Destroyer

Defilement Destroyer
  • Members
  • 274 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 24 December 2008 - 08:03 PM

คือว่า ผมอยากได้ข้อมูลของบุคคลในพุทธกาล ที่เกิดแบบโอปปาติกะ ข้อมูลตอนเกิดอ่ะครับ ว่าเกิดอย่างไร ที่ไหน เป็นต้น หรืออาจเป็นแบบสังเสทชะก็ได้นะครับ ถ้ามีแหล่งอ้างอิงด้วยจะดีมากเลย ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ภูเขาศิลาล้วนย่อมตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวเพราะแรงลมฉันใด
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)

#2 *innerspot*

*innerspot*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 24 December 2008 - 08:35 PM

เท่าที่ทราบมีท่านเดียวครับ

คือ โปกขรสาติพราหมณ์ ผู้เป็นพระอาจารย์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นสังเสทชะสัตว์ เกิดในโพรงดอกบัว แรกเกิดมีขนาดหัวแม่มือ ฤาษีไปพบเข้ากํนำมาเลี้ยงไว้ พร้อมทั้งสอนศิลปวิทยาทั้งหลายให้จนเติบใหญ่ ....

อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ สีหนาทวรรค
มหาสีหนาทสูตร ว่าด้วยเหตุแห่งการบันลือสีหนาท


ส่วนพระอรหันตเถรี พระนางอุบลวรรณาเถรี ที่เป็นอัครสาวิกาเบื้องซ้าย อดีตชาติเคยเกิดแบบสังเสทชะครับ
ชื่อนางปทุมวดี เกิดจากดอกบัว

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔


ข้อความบางตอนจากอดีตประวัติของนางอุบลวรรณา

...ด้วยผลานิสงส์ของดอกปทุม ขอดอกปทุมจงผุดทุกย่างก้าวของดิฉัน
ในสถานที่เกิดแล้ว. ทั้งที่นางเห็นอยู่นั่นแล พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ไป
สู่เขาคันธ-มาทน์ทางอากาศ วางดอกปทุมนั้นไว้สำหรับเช็ดเท้า ใกล้บันได
ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเหยียบ ณ เงื้อมเขานันทมูลกะ ด้วยผลทานนั้น
นางถือปฏิสนธิในเทวโลก. จำเดิมแต่เวลาที่นางเกิด. ดอกปทุมขนาดใหญ่
ก็ผุดขึ้นทุก ๆ ย่างก้าวของนาง.

นางจุติจากเทวโลกนั้นแล้ว ก็บังเกิดในห้องของดอกปทุม ในสระ
ปทุมแห่งหนึ่งใกล้เชิงเขาที่ดาบสองค์หนึ่งอาศัยเชิงเขาอยู่. ดาบสนั้นไปสระ
แต่เช้าตรู่ เพื่อล้างหน้า เห็นดอกไม้นั่นแล้วก็คิดว่า ดอกนี้ใหญ่กว่าดอก
อื่น ๆ ดอกอื่น ๆ บาน ดอกนี้ยังตูมอยู่ คงจะมีเหตุในดอกนั้น แล้วจึงลง
น้ำ จับดอกนั้น. พอดาบสนั้นจับเท่านั้น มันก็บาน. ดาบสเห็นเด็กหญิง
นอนอยู่ภายในห้องปทุม ได้ความสิเนหาดังธิดา นับแต่พบเข้า จึงนำไป
บรรณศาลาพร้อมทั้งดอกปทุม ให้นอนบนเตียง. ขณะนั้นด้วยบุญญานุภาพ
ของนาง น้ำนมก็บังเกิดที่นิ้วหัวแม่มือ. ดาบสนั้นเมื่อดอกปทุมนั้นเหี่ยว
ก็นำดอกปทุมดอกอื่นมาแทน ให้เด็กหญิงนั้นหลับนอน. นับตั้งแต่เด็ก
หญิงนั้นสามารถเล่นวิ่งมาวิ่งไปได้ ดอกปทุมก็ผุดทุก ๆ ย่างก้าว.

#3 Defilement Destroyer

Defilement Destroyer
  • Members
  • 274 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 24 December 2008 - 08:43 PM

ขอบคุณมากๆครับ ข้อมูลเแน่นดีครับ มีอ้างอิงด้วย ใครมีคนอื่นอีก รบกวนโพสต์บอกด้วยนะครับ
ภูเขาศิลาล้วนย่อมตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวเพราะแรงลมฉันใด
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)

#4 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 December 2008 - 10:51 PM

QUOTE
บุคคลในพุทธกาล ที่เกิดแบบโอปปาติกะ
- ไม่พบข้อมูลในพุทธกาล มีกล่าวเฉพาะมนุษย์ในสมัยต้นกัปป์เท่านั้น
QUOTE
แบบสังเสทชะ
- นางจิญจมาณวิกา เกิดจากต้นมะขาม
- นางเวฬุวดี เกิดจากต้นไผ่
- นางปทุมวดี เกิดจากดอกบัว
- โอรสของนางปทุมวดี รวม ๔๙๙ องค์ เกิดจากโลหิต

อ้างอิง...พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่5 วิถีมุตตสังคหวิภาค หน้า 31-40
หมวดที่ ๒ ปฏิสนธิจตุกะ ง. อรูปาวจรปฏิสนธิ nerd_smile.gif

ไฟล์แนบ


ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#5 ตะกร้าอีกใบ072

ตะกร้าอีกใบ072
  • Members
  • 152 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 17 August 2014 - 11:06 PM

"การอยุ่ในครรภ์มารดา เป็นสิ่งลำบาก ขอให้ได้เกิดในดอกปทุม ไม่ต้องไปอาศัยอยุ่ในครรภ์มารดาอีก"

มีท่านหนึ่งในยุคหนึ่ง เกิดในดอกบัวใหญ่ ณ สระโบกขรณีของพระเจ้ากรุงพาราณสี ได้รับการยกขึ้นเป็นพระราชโอรส 
ท่านชื่อว่า ปทุมกุมาร สุดท้ายท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

http://www.youtube.c...h?v=Y7KnIVO2AR0

 



#6 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 August 2014 - 07:15 AM

ใน ๖๙ กัณฑ์ ของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ กัณฑ์ที่ ๑๗ เรื่อง ศีลเบื้องต่ำ และ ศีลเบื้องสูง กล่าวถึง นางอัมพปาลี ผุดเป็นโอปปาติกะขึ้นในคาคบมะม่วง ราชกุมาร ๕๐๐พระองค์ ทะเลาะแย่งชิงกัน สุดท้ายพราหมณ์ตัดสินให้ราชกุมารแต่ละพระองค์อยู่กับนางคนละ ๗วัน ในปราสาทในสวนมะม่วง จะได้ไม่ทะเลาะกัน


ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#7 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 18 August 2014 - 08:46 AM

กราบขออนุญาติพระอาจารย์  ขอขยายความตามนี้ครับ

 

อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรีคาถา วิสตินิบาต ๑. อัมพปาลีเถรีคาถา

 

               อรรถกถาเถรีคาถา วิสตินิบาต               
               ๑. อรรถกถาอัมพปาลีเถรีคาถา               

               ในวีสตินิบาต คาถาว่า กาฬกา ภมรวณฺณสทิสา เป็นต้นเป็นคาถาของพระอัมพปาลีเถรี มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. 
               พระเถรีแม้รูปนี้ก็ได้บำเพ็ญบารมีมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สร้างสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานมาในภพนั้นๆ บรรพชาอุปสมบทในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี สมาทานสิกขาบทของภิกษุณีอยู่. 
               วันหนึ่ง ไหว้พระเจดีย์ ทำประทักษิณเวียนขวา เมื่อพระขีณาสวเถรีเดินไปก่อน พลันถ่มน้ำลาย ก้อนน้ำลายก็ตกไปที่ลานพระเจดีย์ พระขีณาสวเถรีไม่เห็นก็เดินไป ภิกษุณีรูปนี้เดินไปข้างหลังเห็นก้อนน้ำลายนั้นก็ด่าว่า อีแพศยาชื่อไรนะ ถ่มน้ำลายลงที่ตรงนี้. 
               ภิกษุณีรูปนี้ รักษาศีลในเวลาเป็นภิกษุณี เกลียดการเข้าอยู่ในครรภ์ ก็ตั้งจิตไว้ให้อยู่ในอัตภาพเป็นอุปปาติกะ. ด้วยการตั้งจิตนั้น ในอัตภาพสุดท้าย ภิกษุณีรูปนั้นก็บังเกิดเป็นอุปปาติกะ ที่โคนต้นมะม่วง ในพระราชอุทยาน กรุงเวสาลี. 
               พนักงานเฝ้าอุทยานเห็นเด็กหญิงนั้นก็นำเข้าพระนคร เพราะบังเกิดที่โคนต้นมะม่วง นางจึงถูกเรียกว่าอัมพปาลี
               ครั้งนั้น พวกพระราชกุมาร [เจ้าชาย] มากพระองค์ เห็นนางสะสวยน่าชมน่าเลื่อมใส ทั้งแสดงคุณพิเศษมีเสน่ห์น่ารักน่าใคร่เป็นต้น ต่างก็ปรารถนาจะทำให้เป็นหม่อมห้ามของตนๆ จึงเกิดทะเลาะวิวาทกัน. 
               คณะผู้พิพากษาได้รับคำฟ้องของนาง เพื่อระงับการทะเลาะวิวาทของพวกราชกุมารเหล่านั้น จึงตั้งนางไว้ในตำแหน่งคณิกาหญิงแพศยา ว่าจงเป็นของทุกๆ คน. 
               นางได้ศรัทธาในพระศาสดา สร้างวิหารไว้ในสวนของตน มอบถวายแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ภายหลังฟังธรรมในสำนักของพระวิมลโกณฑัญญเถระ บุตรของตน ก็บวชเจริญวิปัสสนา อาศัยความที่สรีระของตนคร่ำคร่าลงเพราะชรา ก็เกิดสังเวชใจ 

 

                                           พระเถรีนี้พิจารณาทบทวนอนิจจตาความไม่เที่ยงในธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด โดยมุขคือการกำหนดความไม่เที่ยงในอัตภาพของตนอย่างนี้แล้ว ยกขึ้นสู่ทุกขลักษณะและอนัตตลักษณะในอัตภาพตนนั้น ตามแนวอนิจจลักษณะนั้น ขมักเขม้นเจริญวิปัสสนาอยู่ ก็บรรลุพระอรหัต โดยลำดับมรรค. 

               ด้วยเหตุนั้น ท่านพระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวไว้ในคัมภีร์อปทานว่า๑- 
               พระอัมพปาลีเถรีเปล่งอุทานเป็นคาถาพรรณนาอปทานของท่านว่า 
               ข้าพเจ้าเกิดในสกุลกษัตริย์ เป็นภคินีของพระมหามุนีพระนามว่าปุสสะ ผู้มีพระรัศมีงามดังมาลัยประดับศีรษะ ข้าพเจ้าฟังธรรมของพระองค์แล้วมีใจเลื่อมใส ถวายมหาทานแล้วปรารถนารูปสมบัติ. 
               นับแต่กัปนี้ไป ๓๑ กัป พระชินเจ้าพระนามว่าสิขี เป็นนายกเลิศของโลก ทรงส่องโลกให้สว่าง ทรงเป็นสรณะของ ๓ โลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว 
               ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในสกุลพราหมณ์ กรุงอมรปุระที่น่ารื่นรมย์ โกรธขึ้นมาก็ด่าภิกษุณีผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว [อริยุปวาท] ว่า ท่านเป็นหญิงแพศยาประพฤติอนาจาร ประทุษร้ายศาสนาของพระชินเจ้า ครั้นด่าอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ตกนรกอันร้ายกาจ เพียบพร้อมด้วยทุกข์ใหญ่หลวง เพราะบาปกรรมนั้น จุติจากนรกนั้นแล้ว มาเกิดในหมู่มนุษย์ มีลามกธรรมทำให้เดือดร้อน ครองความเป็นหญิงแพศยาอยู่ถึงหกหมื่นปี ก็ยังไม่หลุดพ้นจากบาปอันนั้น เหมือนอย่างกลืนพิษร้ายเข้าไป. 
               ข้าพเจ้าเสพเพศพรหมจรรย์ [บวชเป็นภิกษุณี] ในศาสนาพระชินเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ด้วยผลแห่งบุญนั้น ข้าพเจ้าก็บังเกิดในสวรรค์ชั้นไตรทศ [ดาวดึงส์] 
               เมื่อถึงภพสุดท้าย ข้าพเจ้าเกิดเป็นโอปปาติกะ ที่ระหว่างกิ่งมะม่วง ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงชื่อว่าอัมพปาลี ข้าพเจ้าอันหมู่สัตว์นับโกฏิห้อมล้อมแล้ว ก็บวชในศาสนาของพระชินเจ้า บรรลุฐานะอันมั่นคงไม่สั่นคลอน เป็นธิดาเกิดแต่พระอุระของพระผู้เป็นพุทธะ. 
               ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในฤทธิ์ทั้งหลาย ในความหมดจดแห่งโสตธาตุ [หูทิพย์] เป็นผู้เชี่ยวชาญเจโตปริยญาณ [รู้ใจผู้อื่น] ข้าพเจ้ารู้ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในภพก่อนๆ [ระลึกชาติได้] ชำระทิพยจักษุหมดจด [ตาทิพย์] หมดสิ้นอาสวะทุกอย่าง [อาสวักขยญาณ] บัดนี้จึงไม่มีภพใหม่ [ไม่ต้องเกิดอีก]. 
               ข้าพเจ้ามีญาณสะอาดหมดจด ในอรรถปฏิสัมภิทา ธรรมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทาและปฏิภาณปฏิสัมภิทา เพราะอำนาจของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด กิเลสทั้งหลาย ข้าพเจ้าก็เผาเสียแล้ว ภพทุกภพข้าพเจ้าก็ถอนเสียแล้ว ข้าพเจ้าตัดพันธะเหมือนกะช้างตัดเชือก ไม่มีอาสวะ อยู่ในสำนักพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ข้าพเจ้าก็มาดีแล้ว. 
               วิชชา ๓ ข้าพเจ้าก็บรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธะ ข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้ากระทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว. 

จบอรรถกถาอัมพปาลีเถรีคาถาที่ ๑               

               -----------------------------------------------------


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#8 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 18 August 2014 - 09:00 AM

ขอเสริมอีกนิด

 

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒

 

    [๗๗] นางอัมพปาลีหญิงงามเมืองได้ทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จมาโดยลำดับถึง

ตำบลบ้านโกฏิแล้ว จึงให้จัดยวดยานที่งามๆ แล้วขึ้นสู่ยวดยานที่งามๆ มียวดยานที่งามๆ ออก
ไปจากพระนครเวสาลี เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค ไปด้วยยวดยานตลอดพื้นที่ที่ยวดยานจะไปได้
แล้วลงจากยวดยานเดินด้วยเท้าเข้าไปถึงพุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้นั่งอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้นางเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วย
ธรรมีกถา ครั้นนางอัมพปาลีคณิกา อันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ
ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วย
พระสงฆ์ ทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของหม่อมฉันเพื่อเจริญบุญกุศลและปิติปราโมทย์ใน
วันพรุ่งนี้ พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาโดยดุษณีภาพ ครั้นนางทราบพระอาการที่ทรงรับอาราธนา
แล้ว ลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วกลับไป.
             พวกเจ้าลิจฉวีชาวพระนครเวสาลี ได้ทรงสดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จมาโดยลำดับ
ถึงตำบลบ้านโกฏิแล้ว จึงพากันจัดยวดยานที่งามๆ เสด็จขึ้นสู่ยวดยานที่งามๆ มียวดยานที่งามๆ
ออกไปจากพระนครเวสาลี เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค เจ้าลิจฉวีบางพวกเขียว คือ มีพระฉวีเขียว
ทรงวัตถาลังการเขียว บางพวกเหลือง คือ มีพระฉวีเหลือง ทรงวัตถาลังการเหลือง บางพวกแดง
คือ มีพระฉวีแดง ทรงวัตถาลังการแดง บางพวกขาว คือ มีพระฉวีขาว ทรงวัตถาลังการขาว
             ขณะนั้น นางอัมพปาลีคณิกา ทำให้งอนรถกระทบงอนรถ แอกกระทบแอก ล้อกระทบ
ล้อ เพลากระทบเพลา ของเจ้าลิจฉวีหนุ่มๆ จึงเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นได้ตรัสถามนางว่า แม่อัมพปาลี
เหตุไฉนเธอจึงได้ทำให้งอนรถกระทบงอนรถ แอกกระทบแอก ล้อกระทบล้อ เพลากระทบเพลา
ของเจ้าลิจฉวีหนุ่มๆ ของพวกเราเล่า?
             อัม. จริงอย่างนั้น พ่ะยะค่ะ เพราะหม่อมฉันได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
เพื่อเจริญบุญกุศลและปิติปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้.
             ลิจ. แม่อัมพปาลี เธอจงให้ภัตตาหารมื้อนี้แก่พวกฉัน ด้วยราคาแสนกษาปณ์เถิด.
             อัม. แม้ว่าฝ่าพระบาท จึงพึงประทาน พระนครเวสาลีพร้อมทั้งชนบทแก่หม่อมฉัน
หม่อมฉันก็ถวายภัตตาหารมื้อนั้นไม่ได้ พ่ะยะค่ะ.

                                                  ........................................................เฉพาะคัดย่อ....

 

 

สองประโยคสุดท้าย   แสดงถึงวิสัยการรักในการทำทานของคนในสมัยพุทธกาลอย่างมาก  ขนาดขอ "ซื้อโอกาศ"  ด้วยราคาแสนกษาปต์กันเลยทีเดียว   ขอให้ได้ทำทานเถอะ  เท่าไหร่ก็ทุ่มได้

 

ในขณะเดียวกันคนที่มองเห็นประโยชน์แห่งการให้ทาน  ก็ใจเด็ดขนาดที่ว่า  ยกบ้านเมืองให้ก็ไม่เอา  ขอทำทานดีกว่า

 

เพราะฉะนั้นใครที่ตักบาตรทุกวัน  ตักบาตรกับโครงการตักบาตรทั่วไทยฯ ทุกครั้ง  ไม่เคยพลาด  พึ่งภูมิใจ  ปลื้มใจไว้เถิดว่า  ศรัทธาเราหาได้ยิ่งหย่อนไปกว่าบุคคลในสมัยพุทธกาลต่อหน้าพระพักตร์องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยทีเดียว   สิ่งที่เราทำนั้นถูกต้องอย่างที่สุด  บุคคลในสมัยพุทธกาลพิสูจน์เอาไว้แล้ว

 

เพราะฉะนั้นมีงานตักบาตรที่ไหน  ของใครจัด  จะมากจะน้อย   ก็จงขวนขวายเพื่อประโยชน์แก่ตน  ประโยชน์แก่โลกกันเถิด   ไม่มีสูญเปล่าแน่นอน  ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#9 ตะกร้าอีกใบ072

ตะกร้าอีกใบ072
  • Members
  • 152 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 18 August 2014 - 01:08 PM

ขอบคุณมากๆเลยครับ ได้ความรู้ใหม่ๆ