ไปที่เนื้อหา


เนื้อหาจาก ธาตุล้วนธรรมล้วน

ค้นพบทั้งสิ้น 266 รายการโดย ธาตุล้วนธรรมล้วน (จำกัดการค้นหาจาก 29-April 23)



#184900 จิตตภาวันวิทยาลัย กับ...อุโบสถกลางทะเลที่ยังรอศรัทธา

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 15 November 2010 - 09:54 PM ใน ข่าวประชาสัมพันธ์

ท่านกิตติวุฑโฒ เป็นลูกหม้อวัดปากน้ำ ถึงแม้ท่านจะออกไปแนวพระอภิธรรมมาก แต่ท่านก็ช่วยเหลือกันในส่วนวิชชาธรรมกายมาโดยตลอดของชีวิตท่าน ขออนุโมทนาสาธุครับ



#184860 อะไรคือองค์ประกอบของการทำบุญที่ประกอบด้วยปัญญา

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 13 November 2010 - 11:25 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

สาธุ สาธุ สาธุ rolleyes.gif



#184758 อะไรคือองค์ประกอบของการทำบุญที่ประกอบด้วยปัญญา

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 12 November 2010 - 02:08 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

เพิ่มเติมในส่วน ทานคือ กำลังกาย สติปัญญา ความสามารถ กำลังทรัพย์

ให้ถูกกาล ถูกเนื้อนาบุญ ถูกเป้าหมาย
...........

เช่น

วัตถุทานบริสุทธิ์ ศีลของเราบริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์

เจตนาบริสุทธิ์ จิตใจผ่องใส ทั้งก่อน ขณะ และหลังให้

พยายามทำตนให้ถึงพร้อมแก่การทำทาน และให้เหมาะสมแก่กาละเทศะ ไม่มีผู้ใดเดือดร้อน

หากตนเองเดือดร้อนแต่ใจผ่องใสมุ่งสู่ธรรม แบบนี้ได้ ใจเป็นใหญ่ แต่การที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดจนตำหนิติเตียนเป็นวิบากกรรมก็พึงระวังทำให้รอบคอบ

หากทำแล้วคนอื่นเดือดร้อนก็พึงระวัง

ทำบุญกับสำนักที่มีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกายเพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์

ทำบุญกับพระสงฆ์ที่มีศีลธรรมดีเป็นเนื้อนาบุุญ

มีเป้าหมายเพื่อการสร้างบารมีไปสู่ที่สุดแห่งธรรมอย่างชัดเจน มิใช่เพื่อหวังผลตามกิเลศ หรือไม่ทำบุญแล้วนอนรอคอยปาฏิหาริย์แห่งบุญอย่างเดียว ทำบุญแล้วกิเลศต้องลดละ มิใช่เพิ่มพูนกิเลศ

สร้างบุญกิริยาวัตถุ 10 ให้ครบ บารมี 10 ให้ครบ เป็นต้น



#184754 อะไรคือองค์ประกอบของการทำบุญที่ประกอบด้วยปัญญา

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 12 November 2010 - 01:56 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

ปัญญาที่เหลือ บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีปัญญา
มากแม้ทั้งหมดซึ่งมีบารมีเต็มแล้ว.

อธิบายสุตมยปัญญา
ในคำว่า ปรโต สุตฺวา ปฏิลภติ นี้ บัณฑิตพึงทราบว่า ปัญญา
ทั้งหมดที่บุคคลได้แล้ว เพราะเห็นบ่อเกิดแห่งการงานเป็นต้นอันบุคคลอื่นกำลัง
ทำอยู่ หรือทำเสร็จแล้วก็ดี พึงถ้อยคำของใคร ๆ ผู้บอกอยู่ก็ดี เรียนเอาใน
สำนักของอาจารย์ก็ดี ชื่อว่า บุคคลฟังจากผู้อื่นแล้วนั่นแหละ.

อธิบายภาวนามยปัญญา
คำว่า สมาปนฺนสฺส (แปลว่า ผู้เข้าสมาบัติ) อธิบายว่า ปัญญา
ในภายในสมาบัติของบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยสมาบัติ ชื่อว่า ภาวนามยปัญญา.

อธิบายทานมยปัญญา
คำว่า ทานํ อารพฺภ (แปลว่า ปรารภทาน) ได้แก่ อาศัยทาน
อธิบายว่า มีเจตนาในทานเป็นปัจจัย. คำว่า ทานาธิคจฺฉ (แปลว่า บุคคล
ผู้ให้ทาน) อธิบายว่า บุคคลผู้กำลังน้อมเข้าไปให้อยู่ซึ่งทาน ชื่อว่า ผู้ให้ทาน.
คำว่า ยา อุปฺปชฺชติ (แปลว่า ย่อมเกิดขึ้น) ได้แก่ ปัญญาใด อันสัมปยุต
ด้วยเจตนาในทาน ย่อมเกิดขึ้นอย่างนี้ ปัญญานี้ ชื่อว่า ทานมยปัญญา. ก็
เมื่อบุคคลคิดว่า เราจักให้ทานดังนี้ ก็ให้ทานอยู่ ครั้นให้ทานแล้ว ก็พิจารณา
อยู่ซึ่งทานนั้น.
ทานมยปัญญานั้น ย่อมเกิดขึ้นโดยอาการ ๓ อย่าง คือ
ปุพพเจตนา
มุญจนเจตนา
อปรเจตนา

หน้าที่ 652



--------------------------------------------------------------------------------

อธิบายสีลมยปัญญา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์เอาปัญญาอันสัมปยุตด้วยเจตนาในศีล
แม้ในคำว่า สีลํ อารพฺภ สีลาธิคจฺฉ นี้ว่า เป็น สีลมยปัญญา. ก็เมื่อคิดว่า
เราจักยังศีลให้บริบูรณ์ ดังนี้ แล้วก็ยังศีลนั้นให้บริบูรณ์อยู่ ครั้นยังศีลให้
บริบูรณ์แล้ว ก็พิจารณาศีลนั้นอยู่ สีลมยปัญญานี้จึงเกิดขึ้นโดยอาการ ๓ อย่าง
คือ ปุพพเจตนา มุญจนเจตนา อปรเจตนา. สำหรับภาวนามยปัญญา ข้าพเจ้า
กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแหละ.

อธิบาย อธิสีลปัญญา เป็นต้น
ใน อธิสีลปัญญา เป็นต้น บัณฑิตพึงทราบศีลเป็นต้น โดยเป็น
ไปอย่างละ ๒ คือ ศีล อธิศีล, จิต อธิจิต, ปัญญา อธิปัญญา. ในคำเหล่านั้น
ศีล ๕ ก็ดี ศีล ๑๐ ก็ดี ชื่อว่า ศีล ด้วยสามารถแห่งการสงเคราะห์ลงในแบบ
แผนนี้ว่า ความอุบัติขึ้นแห่งพระตถาคตทั้งหลาย หรือไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตามที
ธาตุ ธัมมฐิติ ธัมมนิยามเหล่านั้นก็ดำรงอยู่แล้วเทียว. จริงอยู่ เมื่อพระตถาคต
ทรงอุบัติขึ้นก็ดี ยังไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ดี ศีลนั้นก็มีอยู่.
ถามว่า เมื่อพระตถาคตยังมิได้ทรงอุบัติขึ้น ใครเล่า ย่อมบัญญัติ
ศีล (คือย่อมประกาศให้รู้).
ตอบว่า ดาบส ปริพาชก สัพพัญญูโพธิสัตว์ และพระเจ้าจักร-
พรรดิราชย่อมบัญญัติศีล.
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว ภิกษุสงฆ์ ภิกษุณี-
สงฆ์ อุบาสก และอุบาสิกา ย่อมประกาศให้รู้ซึ่งศีลนั้น. อนึ่ง
เมื่อพระตถาคตทรงอุบัติขึ้นแล้วนั้นแหละ ปาฏิโมกขสังวรศีลอัน


รวบรวมมาจากเวปพลังจิตดอทคอม



#184734 จำเป็นไหมต้องทำบุญเยอะถึงจะรวย

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 11 November 2010 - 10:28 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

สาธุครับ

เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม ก็อำนวยผลตามเหตุปัจจัย และสมบัตินั้นก็ไม่ควรนำมาเสวยตามใจกิเลศ แต่ให้นำมาต่อบุญเพื่อการสร้างบารมีโดยเฉพาะเป็นกองเสบียงให้ภาคปราบ

หากท่านใดอยากจะสร้างทานบารมีแบบพระโพธิสัตว์เจ้า หรือพระอริยเจ้า ที่เป็นต้นบุญต้นแบบมา ก็เป็นสิ่งดี แต่ควรใช้ปัญญาและดูบริบทด้วยนะครับ

ผู้นำบุญ ผู้บอกบุญ ก็ควรบอกด้วยความระวัง มิฉะนั้นจะเกิดการเข้าใจผิดว่าวัดเราต้องทำบุญจนหมดตัวเท่านั้น
...............................................

ผมเองก็อยากจะทำทานขั้นปรมัตถ์ แบบว่าสละชีวิตเลย แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงกาละเทศะที่สมควรครับ อิอิ ส่วนทานบารมีก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุดครับ
...............................................

คำว่า ทำบุญ มีตั้งแต่ บุญกิริยาวัตถุ 10 และเข้มข้นไปจนถึงบารมีทั้ง 10 แต่สิ่งที่อำนวยผลเป็นสมบัติจะเกี่ยวกับเรื่อง ทาน ครับ

...............................................

อีกสิ่งที่สำคัญ หากเราสร้างปัญญาบารมีมากๆ รู้จักใช้ปัญญาในการทำมาหากิน ก็รวยได้ครับ เป็นมหาเศรษฐีรวยโคตรได้เหมือนกัน บวกกับทานบารมีด้วย ช่วยๆกันหนุนครับ

สำคัญคือ ต้องเข้าใจว่า สิ่งที่ทำไปนั้นเป็นการสร้างบุญบารมี แล้วเราก็จะได้บุญบารมีมาอำนวยผลตามเหตุปัจจัยครับ



#184436 ทำไมพระเจ้าอโศกมหาราช ถึงไปเกิดเป็นเดรฉานครับ

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 06 November 2010 - 10:04 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

QUOTE
........ทำปิตุฆาต......ไงครับ


อย่าสับสนนะครับ พระเจ้าอชาตศัตรูต่างหากที่ทำปิตุฆาต พระเจ้าอโศกไม่ได้ทำ

แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทหารทำเกินหน้าที่ไปฆ่าพระมหาเถระพระอรหันต์ โดยที่พระเจ้าอโศกไม่ได้สั่งเลย

........................................

ก็ จิตก่อนตายเศร้าหมองไงครับ ทุคติเป็นที่หวัง เป็นพุทธพจน์นะครับ

ครับเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วพึงมีสตินะครับ อย่าให้อกุศลได้ช่อง

พระนางมัลลิกามเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล สร้างอสทิสทานไว้ แต่ก่อนตายดันไปนึกเศร้าหมองในกรรม ในเรื่องที่เคยก้มในซุ้มอาบน้ำแล้วมีสุนัขมาทำสันถวะจนเกิดความยินดี ก่อนตายดันไปนึกถึงกรรมนั้น ตายไปเกิดในอเวจีนับได้ 7 วันมนุษย์ครับ หลังหมดกรรมก็ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต

หากพระเจ้าอโศกเป็นงูเหลือมก็บุญส่งแล้วไงครับ ที่มีลูกชายพระอรหันต์มาโปรดให้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ได้ครับ

ในทางกลับกัน ถึงแม้ทำบาปกรรมมามาก หากก่อนตาย จิตระลึกถึงบุญกุศลได้ ก็ไปสุคติได้

จุติจิต และจิตก่อนตาย สำคัญมากๆ นั่นคือ ศาสนาพุทธเน้นปัจจุบันธรรม อาสันนกรรม คตินิมิต ก็มักจะปรากฏกันตอนนี้

ส่วนเรื่องทำบุญหรือบาปมากน้อยกว่ากัน ก็สำคัญมากๆเช่นกัน อันนั้นจะส่งผลในเรื่องของวิบาก และมีส่วนต่อจิตก่อนตายมากเช่นกัน เพราะถ้าไม่ได้สร้างบาปไว้จิตก็คงไม่ระลึกถึง ถ้าไม่สร้างบุญไว้จิตก็คงไม่ระลึกถึงเช่นกัน

แต่อารมณ์ปัจจุบันธรรมที่ระลึกขึ้นได้ขณะนั้นเป็นตัวนำพา
.......................................

เพิ่มเติม ศาสนาพุทธไม่ได้สอนว่ามีดวงวิญญาณแบบพรามณ์หรือศาสนาอื่นๆ ที่ตายแล้วก็ล่องลอยไปๆมาๆได้ แบบนั้นเข้าข่ายสัสสตทิฏฐิ

มีแต่จิต และการสืบเนื่องของจิต (สันตติ) ..... การตายเรียกว่า จุติจิต การเกิดเรียกว่า ปฏิสนธิจิต

พระอริยะเจ้าระดับโสดาบันขึ้นไป อกุศลกรรมจะไม่ส่งผลใน ปฏิสนธิกาล เพราะจิตท่านสว่างไสวด้วยพระธรรมกาย แต่อกุศลกรรมสามารถส่งผลได้ในปวัตติกาล หลังจากการปฏิสนธิสำเร็จไปแล้ว

......................................

ภัยในวัฏฏะ น่าสะพรึงกลัว

ความจริง อาจจะไม่ถูกใจ ความถูกใจอาจจะไม่ใช่ความจริง


หากบางท่านถูกหลอกอ้างว่า ทำบาปแค่ไหนก็ตาม หากอ้อนวอนพระเจ้าช่วย ก็จะได้ขึ้นสวรรค์ แบบนี้อาจจะถูกใจท่าน สบายใจท่าน แต่มันไม่ประกอบด้วยเหตุผล เหตุปัจจัย และที่สำคัญ มันไม่ใช่ความจริงครับ



#184340 ทำบุญให้มารกิน คือ อะไร???

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 05 November 2010 - 01:33 AM ใน ธรรมกถึก

การสร้างทานบารมีมีทั้ง ฝ่ายรับ และ ฝ่ายละ ตามนัยพระพุทธพจน์

ฝ่ายรับคือ อานิสงส์แห่งบุญ ตามที่มีปรากฏเป็นพุทธพจน์ เช่นมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และเป็นฐานพละไปสู่นิพพานสมบัติ

ฝ่ายละ คือ กุศล ที่กำจัดความตระหนี่ขี้เหนียว ขจัดความโลภ ขจัดขัดเกลากิเลศในใจตนเอง ให้หมดไป
........................

ฝ่ายรับ นั้นต้องคอยมีสติโดยธรรมไม่ให้เผลอหลงใหลไปกับสมบัติจนลืมตัวกลายเป็นการสั่งสมกิเลศ นั่นคือต้องเข้าใจว่ามีสมบัติไว้สร้างบารมีและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเชิงรุก โดยเฉพาะเป็นกองเสบียงให้ภาคปราบ

การที่ทำทานอย่างทุ่มสุดตัวโดยธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ดี มีตัวอย่างจากพระอริยะเจ้าและพุทธศาสนิกชนที่ดีมากมายในพระพุทธศาสนา แต่ต้องให้เหมาะสมแก่กาละเทศะต่อตนเองและผู้อื่นไม่เดือดร้อน ประกอบด้วยธรรมะและปัญญา ทำเพื่อปราถนาผลบุญ ให้ผลบุญช่วยเรื่องโลกิยะ และชีวิต เป็นพละที่จะสร้างผังที่ดีๆจากภายใน ไปจนถึงเป็นกุศลเป็นพละในระดับโลกุตตระเพื่อพระนิพพาน

คนเหล่านี้เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง แม้ตัวตายก็ยังปลื้มอยู่ในบุญ โดยไม่มีมัวหมองใจแม้เพียงนิดเดียว เพราะหวังแต่ผลบุญบารมี และเป็นอิสระจากพันธนาการของกิเลศ

แต่บางท่านอาจจะเข้าใจผิด ว่าต้องลงทุนทุ่มทำทานเยอะๆจะได้กลับมาเยอะๆ ทำบุญไม่หวังผลบุญบารมี แต่ทำบุญหวังผลตามใจกิเลศ แบบนี้เป็นการสะสมกิเลศ ความโลภ โกรธ หลง ไม่ลด แต่ยิ่งมากขึ้นเข้าใจผิดอย่างมากมาย บางคนทำจนหมดตัวชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้น ลูกเมียเดือดร้อน เป็นเป้าให้คนโจมตีวัด พอชีวิตแย่ลงเรื่อยๆก็เลยพาลด่าวัดด่าบุญด่าพาลไปจนถึงด่าศาสนาไปซะฉิบ

แบบนี้ไงครับ เข้าทางธาตุธรรมภาคมารเขาเลย อร่อยเหาะ...



#184202 ขอคำแนะนำครับ

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 03 November 2010 - 01:28 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

สาธุนะครับ ที่อย่างไรก็ยังเข้าวัดอยู่ ยังอยู่กับหมู่คณะ ยังมีอุดมคติในทางธรรม อย่างที่เพื่อน นรอ. ณ 072 กล่าวไว้ ให้เรามองเป้าหมายเป็นหลัก ใช้สติปัญญาด้วยคุณธรรมให้เราได้สร้างบารมีอย่างเต็มกำลังนะครับ

เพราะมีบางท่านสติปัญญาอาจจะไม่พอก็น้อยใจท้อแท้หายไปจากหมู่คณะเพียงเพราะแค่เรื่องราวไม่กี่เรื่องราว บางคนเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่วัด พอพบเจอปัญญาหาก็ท้อแท้น้อยใจออกจากหมู่คณะไป ทั้งๆที่แรกๆไฟแรงมากทีเดียว

สุดท้ายสร้างบารมีไว้ นั่งสมาธิบ่อยๆให้ใจสงบสว่าง แล้วบอกกับตนเองเกี่ยวกับปัญหาทั้งปวงว่า "ช่างมันเถิดๆ" มันเป็นเช่นนั้นเอง อดีตให้เรียนรู้ตามความเป็นจริง อยู่กับปัจจุบันคือเป้าหมายในชีวิตวิถีแห่งธรรม

ผมเองก็ผ่านเรื่องราวมามากทั้งกับหมู่คณะและชีวิตส่วนตัว แต่ตอนนี้ลืมๆมันไปหมดแล้ว แต่ก็ได้ประสบการณ์มาพัฒนากาย วาจา ใจ ตนเองให้สูงขึ้น มั่นคงและเข็มแข็งขึ้น และยังสร้างบารมีอยู่อย่างชุ่มชื่นหัวใจ ชีวิตสดใส เป็นกำลังใจให้นะครับ อย่าไปใจหมองกับอดีตมากนักเลยครับ

การแคร์โลกนี้บ้างก็ดีในบางครั้ง แต่หลักๆเราต้องสร้างบารมีทำเพื่อตัวเองให้ดีๆ โดยไม่ต้องไปแคร์ใคร

หวังว่าท่านได้ระบาย ได้ปรึกษาหารือแล้วคงจะสบายใจ ได้เรียนรู้กับอดีต แล้วก็ปล่อยมันไปนะครับ



#184047 ปัญหาสติปัฏฐาน

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 31 October 2010 - 09:56 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

สวัสดีครับ

อยากทราบ ภูมิหลังและความเข้าใจ ในการปฏิบัติธรรมของท่าน usr37290 ด้วยนะครับ
....................................................

และไม่ทราบว่าท่านได้ฝึกปฏิบัติแบบวิชชาธรรมกายหรือไม่เพียงใดครับ
....................................................

ท่านเข้าใจในหลักสมถะวิปัสสนา สติปัฏฐาน บารมี 10 มากน้อยเพียงใดครับ
...................................................

สาธุกับการเสวนาธรรมนะครับ คือแบบว่าจะได้แนะนำการปฏิบัติกันได้ดีขึ้นครับ



#184044 ทำไมต้องรวมเด็กล้าน

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 31 October 2010 - 09:46 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

สาธุ อนุโมทนาครับ

หนุนสุดตัวเห็นด้วยทุกประการ ผมก็คอยสนับสนุนงานนี้อยู่ด้วยตามสถานศึกษาต่างๆ

......................

ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วย เพราะเขามีอคติ ลบล้างได้ยาก

ผมเรียกว่าพวกหน่อมแน้ม แต่กลับไม่เคยไปว่าพลังมวลชนของศาสนิกอื่นๆเลย ไม่ได้มีปัญหากับศาสนาอื่นๆหรอกนะครับ แต่คนพุทธในไทยเราเอง กลับไปชื่นชมแรงศรัทธาสามัคคีของศาสนาอื่นๆ

เช่นชาวมุสลิมไปเมกกะ จัดงานให้ใหญ่โต อำนวยความสะดวกทุกอย่าง ชาวคริตส์ไปวาติกันดูดีหรูหราไฮโซ ชาวคริตส์เช่าสนามกีฬาจัดงานเทสนาปลุกความเชื่อ ชาวมุสลิมเข้าร่วมละหมาดกันที แค่หลายๆร้อยหลายพัน โอ้โห ชาวมุสลิมดูมีแรงศรัทธากันจริงๆ กราบก็พร้อมกัน สวดก็พร้อมกัน ชาวคริตส์ร้องเพลงประสานเสียงฟังแล้วดูน่าขนลุกน้ำตาจะไหล ขอชื่นชมในศรัทธาชองศาสนานิกอื่นๆมากมาย อิอิ

แต่คนเหล่านี้ไม่เคยเลยที่จะชื่นชมหรือทำอะไรให้เป็นการสร้างพลังสามัคคีอันยิ่งใหญ่ให้ศาสนาพุทธ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างวิจารณ์ แล้วก็กลับเข้าที่อยู่ของใครของมัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน วันดีคืนดีก็ออกมาพูดว่า ศาสนาพุทธเสื่อม วิกฤตศรัทธา สถานการณ์เลวร้าย วัยรุ่นเสื่อม ศีลธรรมวิบัติ บ้านเมืองยุคมิคสัญญี ...เอากันเข้าไป ไม่รู้ว่ากืจกรรมระดับอินเตอร์ที่วัดพระธรรมกายทำ และได้รับคำชื่นชมจากทั่วโลก ไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับผู้คนหน่อมแน้มเหล่านั้น กุ้มคับกุ้ม



#183782 หนังสือรู้ทันวิบากกรรม

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 26 October 2010 - 07:30 PM ใน กฎแห่งกรรม

สาธุมากมายครับ

ได้สื่อดีๆเอาไว้เผยแผ่อีกแล้วครับ



#183661 "คนซ่อมปล่องไฟ" ข้อคิดจากเรื่องราวของ "ไอสไตน

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 24 October 2010 - 10:13 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

QUOTE
ทำไมถึงสำคัญ
เพราะผมถูกนำมาเรียนใน MBA ที่ญี่ปุ่น โดยใช้เวลาเกือบหกเดือน และเป็นวิชาบังคับที่ต้องเรียน เพราะปรัชญาดังกล่าว นำมาใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น และเป็นแม่แบบวิธีการคิดของผู้คนในองค์กร แฝงแม้แต่การทำงานในวัฒนธรรมขององค์กร เช่น ฮอนด้า เป็นต้น

โดยมีปรากฎสิ่งที่วัดได้ในเชิงธุรกิจ เช่นสินค้าและบริการของฮอนด้า เช่นแอร์แบค ซึ่งถือกำเนิดในโลก โดยเกิดจากคนเล็ก ๆ ในฮอนด้า (ซึ่งถ้าผมมีโอกาสต่อไปจะขยายความให้ฟังครับว่า ทำไมปรัชญาถึงเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในธุรกิจเช่น ฮอนด้า)


สตีปจ๊อบ เป็นชาวพุทธนิกายเซน

เขาได้สร้างความสำเร็จให้กับองค์กรณ์และสินค้าของเขาด้วยปรัชญาและแนวคิดวิถีพุทธแนวเซนนั่นเอง

หนึ่งในสินค้านั้นก็คือ สินค้าตระกูลแอ๊ปเปิ้ลนั่นเอง

สุดยอดไหมล่ะครับ ลองดูสิว่าพวกเครือง I-Pod, I-Phone, I-Pad นั่น แฟงไปด้วยปรัชญาและสัจจะของศาสนาพุทธแนวเซนอย่างไร



#183657 "คนซ่อมปล่องไฟ" ข้อคิดจากเรื่องราวของ "ไอสไตน

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 24 October 2010 - 09:52 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

ขออนุญาตแจมบ้างนะครับ
..........................

ประมาณว่า ควรรู้จักการคิดนอกกรอบ แล้วก็ไม่ควรถูกครอบงำด้วยการชี้นำหรือตรรกะเป็นตัววิถีนำปัญญาเพื่อพบสัจจะ..........................

ส่วนทางวิถีพุทธ ตรรกะเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือหรืออุปกรณ์เพื่อค้นพบสัจจะ แต่มิใช่ปรมัตถ์ วิถีพุทธค้นพบและสอนเรื่องเหตุปัจจัยว่าเป็นสัจจะในตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธตรรกะในเบื้องต้น

เพราะเหตุปัจจัยเป็นสัจจะ แต่ตรรกะไม่เป็นสัจจะ ไม่ถูกต้องเสมอไป

ปรมัตถ์และพระนิพพาน เป็นสิ่งที่พ้นไปจากตรรกะ ไม่อาจหยั่งลงด้วยตรรกะ และเหตุปัจจัย ทั้งปวง
........................

ศาสนาของชาวตะวันออก โดยเฉพาะศาสนาพุทธ เป็นเลิศเป็นที่สุดและเป็นวิวัฒนาการอย่างสูงสุด ของปรัชญาและศรัทธา ที่ควบคู่ไปด้วยกัน เป็นอริยสัจจ

ต่างกับปรัชญาในความหมายของซีกโลกตะวันตกที่มักจะเข้ากันไม่ได้กับศรัทธาและศาสนา ถึงแม้ในยุคหลังๆจะมีการนำปรัชญาไปสนับสนุนศาสนาเพื่อให้ศาสนาดูดีขึ้น แต่นั้นก็เป็นเพียงการพยายามทำให้ศาสนาดูดีขึ้นเท่านั้นเองมิใช่ว่าศาสนาจะดีด้วยตัวเอง
........................

ปรัชญาตะวันออกก็สูงส่งและมีการศึกษาเรียนรู้มาอย่างยาวนานเช่นกัน แต่คนโดยมากก็ถูกชี้นำไปก่อนแล้วว่าปรัชญาตะวันตกนั้นสูงยิ่ง.......................

วิถีพุทธ มิใช่เป็นแค่เพียงที่พึ่งทางใจหรือทางใดทางหนึ่ง แต่เป็นมากกว่านั้น เป็นการพัฒนา กาย วาจา และ ใจ ไปสู่ความเป็นอริยะสัจ

หากจะเผยแผ่และสร้างวัฒนธรรมสมาธิ ก็ต้องเป็นสัมมาสมาธิที่มีการเจริญปัญญา นั่นก็คือการเจริญไตรสิกขา เป็นสัมมาสมาธิที่ศีลอบรมแล้ว เป็นปัญญาที่สัมมาสมาธิอบรมแล้ว นั่นเอง


สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส
สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา
ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ

สมาธิที่เจริญไว้ด้วยสีล ย่อมมีกำลังมากและมีผลานิสงส์มาก ปัญญาที่ได้เจริญไว้ด้วยสมาธินั้น ย่อม
มีกำลังมาก มีอานิสงส์มาก จิตใจที่ได้เจริญไว้ด้วยปัญญานั้น ย่อมหลุดพ้นจาก อาสวะ


และแน่นอนว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อแสวงบุญสร้างบารมี ดังนั้นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรณ์และการวางแผนชีวิตก็ย่อมสมควรที่จะเป็นไปตามวิถีพุทธ เพราะเป็นแก่นสารที่แท้จริง ไม่ใช่มายา ไม่ถูกชี้นำ ไม่ถูกหลอกด้วยความอยาก และไม่ถูกลวงด้วยการหยอก



#183642 เต้าฮวยถือเป็นปานะไหม

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 24 October 2010 - 08:43 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

น้ำปานะที่พระวินัยบัญญัติมี 8 น้ำอัฏฐบาล นั่นแหละครับ แต่ก็มีอยู่สองชุดใหญ่ๆ เป็นน้ำผลไม้

และน้ำปานะที่เกิดมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เช่นน้ำมะพร้าว แต่ตัวเนื้อมะพร้าวห้ามทำน้ำปานะเช่นน้ำกะทิ

.....................

ส่วนที่ห้ามเช่นมหาผล 10 ได้แก่

มหาผล ๑๐ ชนิด ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ใช้ทำน้ำอัฏฐบาน เพราะเป็นมหาผล (ผลใหญ่) ดังนี้

๑. มะพร้าว ๒. ทุเรียน ๓. ฟักเขียว ๔. แตงโม ๕. น้ำเต้า

๑. ลูกตาล ๒. ขนุน ๓. ฟักทอง ๔. แตงไทย ๕. ข้าวสาลี

ผลไม้และผลของพืชเหล่านี้ หรือผลอื่นใดที่มีลักษณะเดียวกันนี้ ใช้ทำน้ำอัฏฐบานไม่ได้ เพราะเป็นมหาผล คือ ผลใหญ่ พระภิกษุสามเณรจะฉันได้ก็เฉพาะในกาล คือ เวลาเช้าถึงเที่ยงเท่านั้น.

.........................

น้ำที่ทำจากถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้ ก็นับเนื่องในธัญญพืช ทานไม่ได้ครับ โกโก้ ไมโล โอวัลติน ก็มักมีส่วนผสมที่เป็นธัญญพืชที่ทานไม่ได้ครับ ตามที่สำนักปฏิบัติเคร่งครัดอื่นๆท่านกล่าวไว้ถูกแล้วครับ

ถาม.....อ้าว แล้วก็เห็นทำน้ำเต้าหู้ถั่วเหลืองเลี้ยงคนถือศีลแปดกันทั่วประเทศ ไวตามิล แล๊คตาซอยก็ขายดี ไมโล โอวัลตินเป็นหม้อๆ???

ตอบ....ถามผู้เชี่ยวชาญพระวินัยแล้ว ท่านไม่ให้พิจารณาเป็นน้ำปานะ ให้พิจารณาเป็นเภสัชชะครับ เพื่อสกัดน้ำย่อยไม่ให้กัดกระเพาะ ซึ่งพระพุทธเจ้าอนุญาติไว้อย่างมากคือ น้ำต้มเนื้อ และน้ำข้าว ครับ มีในพระไตรปิฎก ลองหาเพิ่มเติมนะครับ

ย้ำ เวลาทานให้พิจารณาเป็นเภสัชชะ ครับผม มิใช่พิจารณาเป็นน้ำปานะ


และใช้หลักมหาปเทศ 4 อย่างเข้าเทียบเคียงด้วยครับ



#183501 เรื่องส่วนตัวจากคริสกลายเป็นพระ

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 21 October 2010 - 10:41 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากเห็นในวงการพระพุทธศาสนาเมืองไทย (เป็นมุมมองของคนที่เคยเป็นชาวต่างศาสนามาก่อนเช่นผม เพราะศาสนาอื่นๆเขาจัดงานศพได้ค่อนข้างดีกว่าศาสนาพุทธของเรามาก มิใช่ว่างานศพสำคัญอะไรนักหนา เพียงแค่อยากเห็นงานศพดีๆบ้าง)

คืองานศพที่มีประสิทธิภาพ วันๆหนึ่งคนเข้าวัดเป็นแสนๆทั่วไทย แต่ไปงานศพ ทำไมพระไทยไม่ฉวยโอกาศทองนี้จัดงานศพเพื่อการเผยแผ่ธรรมะ

เพราะรูปแบบงานศพที่เห็นๆกันอยู่ทุกวันนี้ ผมบอกตรงๆว่า อายศาสนาอื่นๆมากมาย ยกเว้นบางวัดที่เขาทำได้ดีแต่มีน้อยมากๆ

หากชาวพุทธไทยสามารถจัดงานศพได้ดีกว่านี้ จะสามารถเผยแผ่ธรรมะได้อย่างมีประโยชน์มากมายสูงสุดได้อีกช่องทางหนึ่ง

เช่น

จัดสถานที่ให้ดูสว่างสวยงามเน้นพระพุทธรูปมากกว่าเน้นศพ ส่วนศพจัดให้เหมาะสม

นิมนต์พระสวดไม่ต้องนาน และให้มีการแปล หรือเทศนาซักเล็กน้อย เป็นประโยชน์แก่การเผยแผ่มาก ไม่ต้องเทศน์แค่เรื่องตายๆ เทสน์ได้ทุกๆเรื่องที่เห็นว่าเหมาะสม

ให้ผู้มาร่วมงานมีส่วนร่วมเช่นสวดมนต์สั้นๆ หรือทำนองสรภัญญะสั้นๆ (แต่คนไทยพุทธนี่อะไร ศีลยังไม่รับกันเลย กำ เพราะไม่มีระบบนำให้เขาทำไง)

ให้กล่าวบทแผ่เมตตาร่วมกัน พิธีกรก็ควรสุภาพๆ และเป็นผู้นำ พระก็นำได้

มีการนั่งสมาธิซัก 5 ถึง 10 นาที

มีดนตรีร่วมสมัยมาบรรเลงเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ และเป็นการสนับสนุนเยาชนให้หันมาเล่นดนตรีธรรมะได้ด้วย

เปลี่ยนของชำร่วยไร้สาระเป็นสิ่งที่ใช้ในการเผยแผ่ธรรมะ เช่นหนังสือธรรมะฉบับทันสมัย cd vcd นั่งสมาธิ หรือเผยแผ่ธรรมะ

เลี้ยงอาหารหลังจากเสร็จงานก็ได้ ไม่ต้องเลี้ยงไปให้พระท่านนั่งดมกลิ่นข้าวต้มไป (หิวนะ อิอิ)

ฯลฯ

อย่างวัดเรา มีพระอาจารย์ที่อยู่สายงานต่างประเทศท่านเคยเล่าว่าได้รับเชิญไปเทศน์และสอนสมาธิในโบสถ์คริตส์มาแล้ว มันสุดยอดมากมาย เอามาประยุกต์ได้นะครับ

อยากเห็นภาพงานศพที่มีประสิทธิภาพประมาณนี้ในประเทศไทยพุทธบ้าง หรือต่างประเทศด้วย เพราะตอนนี้ลองไปงานศพตามวัดต่างๆดูสิครับ วัยรุ่นเซ็งจริง



#183500 เรื่องส่วนตัวจากคริสกลายเป็นพระ

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 21 October 2010 - 10:29 PM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

สาธุครับ

ผมเองเป็นคาทอลิกมาก่อน จนถึงขั้นที่เตรียมตัวจะไปเป็นนักบวชฝึกหัดแล้ว

แต่เป็นเพราะบุญเก่ามีผู้ชวนมาบวชสามเณรธรรมทายาทเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว เมื่อผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา จึงเข้าใจได้ว่า ......ศาสนาอื่นๆนั้นก็สอนดี แต่ศาสนาพุทธสมบูรณ์และเป็นวิวัฒนาการสูงสุดทางศาสนาและศรัทธาเหตุผลเหตุปัจจัยอย่างสมบูรณ์ที่สุด

ทุกอย่างที่ผมแสวงหา ผมเจอได้ในพระไตรปิฎก เจอได้ในพระพุทธศาสนา

และอีกอย่างซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ถูกจริตผมมากก็คือ รูปแบบและแนวทางของวัดพระธรรมกายและของสายวิชชาธรรมกายต่างๆ ซึ่งถูกใจผมมาก

พระอาจารย์ทุกรูปดูสวยงามน่าเลื่อมใสแถมมีความรู้ทางโลกด้วยทางธรรมด้วย ผิดกับพระโดยมากที่เคยเห็นมาดูแล้วไม่ค่อยน่าศรัทธา

ศาสนสถานดูสวยงามเรียบง่าย สงบ สะอาด บรรยากาศดี

พระพุทธรูปและปูชนียวัตถุของวัดดูงดงามศักดิ์สิทธิ์

พระธรรมปฏิบัติอัศจรรย์ เข้าใจง่าย เข้าถึงได้ง่าย เป็นขั้นตอนมีระบบระเบียบ น่าสนใจ

บุคคลากรและระบบระเบียบต่างๆถืว่าสุดยอดมาก

เหมาะกับคนยุคใหม่ทันสมัยแต่เรียบง่ายและทรงภูมิธรรมไปในตัว มันโดนใจจริตผมอย่างมาก ทำให้ผมเปลี่ยนศาสนาทันทีทันใด

และหวังว่าภาพลักษณ์ที่สำคัญของวัดนี้ และวิชชาธรรมกาย จักขยายกว้างออกไปเรื่อยๆให้ผู้ที่ศรัทธาแม้เป็นชาวต่างศาสนาได้สนใจกันมากยิ่งๆขึ้น

สาธุครับ



#183374 บวชอีกได้ไหมครับ?

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 19 October 2010 - 09:14 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

ขอรายละเอียดชัดๆกว่านี้นะครับ เหล่ากัลยาณมิตร จะได้ช่วยกันวินิจฉัยครับ

เช่นว่าเป็นของประเภทไหน ราคาเท่าใด ตอนเป็นพระแล้วถือครองยินดีหรือไม่ครับ



#183373 โปรดช่วยกันดูแลคนดี

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 19 October 2010 - 09:11 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

สาธุพระอาจารย์ ภาพชัดมากครับ ยอดเยี่ยมครับ

ช่วยกันดูแลคนดีเถอะ อย่าอคติจนกลายเป็นมาทำลายกันเอง



#183348 ขอรายการย้อนหลังแบบเก่ากลับมาได้ไหมเจ้าคะ

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 19 October 2010 - 01:47 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เป็นธรรมดานะครับ

โดยมากแล้วไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่อาจจะมีบ้างเวลาอยู่ต่างประเทศ

ลองอัพเกรดวินโดวส์ อัพเกรดโปรแกรมแฟชล หรือเปลี่ยนมาใช้บร้าวเซอร์ของ OPERA ก็รองรับได้ดีครับ
........................

รอเจ้าหน้าที่มาให้คำแนะนำครับ



#183316 คำคมจาก Net

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 18 October 2010 - 09:56 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

สาธุครับพระอาจารย์ ขอเก็บเป็นข้อมูลเอาไว้ใช้งานฝึกอบรมต่อครับ ได้บุญต่อเนื่องนะครับ สาธุ



#183249 หลวงพ่อตอบปัญหา

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 17 October 2010 - 07:06 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

ชอบธรรมะบรรยายของหลวงพ่อคุณครูไม่เล็กมากครับ หลากหลายครบทุกรสชาติ ฟังเพลิน ขอบพระคุณหลวงพี่มากมายครับ



#183244 ปกติเค้านั่งกันนานไหมครับถึงจะเข้าถึงดวงปฐมมรรค

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 17 October 2010 - 06:38 PM ใน การปฏิบัติธรรม-นั่งสมาธิ

สาธุกับคำถามคำตอบครับ

อย่าลืมว่านั่งสมาธิเพื่อการลด ละ เลิก กิเลศ ควบคุมจิตใจ รู้จักปล่อยวาง และมีสติโดยธรรมะนะครับ

คนที่ยังไม่เห็น.....
เพราะเจอมาเยอะผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมปฏิบัติ จะเอาแต่นั่งให้เห็นอย่างเดียว ธรรมะอะไรข้าไม่สนใจทั้งนั้น กลายเป็นคนเคร่งเครียส ขี้หงุดหงิด ท้อแท้สิ้นหวัง ไปๆมาๆ เลิกปฏิบัติธรรม หรือไม่ก็ไปฝึกสายอื่นเพราะเห็นว่าง่ายดี สบายใจจัง

คนที่เห็นแล้ว.....
แม้ผู้ที่เห็นดวงเห็นกายในกายเห็นพระธรรมกายแล้วก็พึงเจริญสมถะวิปัสสนาเจริญศีลสมาธิปัญญาเต็มกำลังสืบต่อไป มิใช่วันๆเอาแต่นั่งแช่อิ่มเป็นสิบๆชั่วโมง ข้าวไม่กิน น้ำไม่ดื่ม ไม่หลับนอน แล้วก็ภูมิใจกันแค่นั้น แต่ไม่ทำให้ก้าวหน้าไปกว่านี้ (แต่ทำได้ขนาดนี้ก็เยี่ยมแล้วนะครับ)

ต้องเรียนรู้ธรรมะปฏิบัติให้ดีนะครับ วิชชาธรรมกายเบื้องต้นเน้นการปล่อยวาง ให้ใจหยุด สงบ สบายใจ แล้วอย่าลืมพิจารณาธรรมะด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัณหา อุปาทาน สร้างบารมี 10 ไปเรื่อยๆ เมื่อทุกอย่างถึงพร้อม ทิพย์จักษุทำหน้าที่ได้ดี ก็สามารถเห็นและเข้าถึงธรรมได้เองครับ
ถึงตอนนั้นก็เจริญวิปัสสนาแท้ๆได้ผลดี เป็นสามัญญผล ตามธรรมดา
........................

สมถปุพพังคมวิปัสสนา

เจริญสมถะนำปัญญา แบบนี้คือเน้นการทำใจให้สงบก่อนแล้วจึงเจริญปัญญา บางคนปัญญามากฟุ้งซ่านมาก มาแนวนี้ก็หักดิบไปเลยก็ดีครับ

วิปัสสนาปุพพังคมสมถะ

เจริญปัญญานำสมถะ แบบนี้คือเน้นการพิจารณาธรรมะหัวข้อต่างๆโดยเฉพาะไตรลักษณ์ไปเรื่อยๆใจจะสงบปล่อยวางเป็นสมาธิไปเอง แบบนี้คนปัญญามากฟุ้งซ่านก็ชอบทำกัน เพราะไม่ต้องไปบังคับจิตมากค่อยๆตะล่อมด้วยการพิจารณาธรรมะให้มันปล่อยวางสงบไปเอง

ยุคนัทธสมถวิปัสสนา

เจริญสมถะวิปัสสนาควบคู่กันไปอย่างพอเหมาะพอดี

ธัมมุทธัจจวิคคหิตมานัส

การถือเอาข้อผิดพลาดในการปฏิบัติธรรมมาเป็นประสบการณ์แนวทางให้ปฏิบัติได้ถูกต้องต่อไป

(องฺ.จตุกฺก.21/170/212 ขุ.ปฏิ.31/534/432)



#183221 นั่งเพลิน ๆแล้วถูกดูดมาที่กลางท้องอย่างแรง

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 17 October 2010 - 12:44 AM ใน การปฏิบัติธรรม-นั่งสมาธิ

สาธุกับพระอาจารย์ครับ ที่ได้ขยันมาโปรดตอนดึก พระอาจารย์ยังไม่จำวัตรเลย อิอิ นอนไวๆนะครับ เด๋วจะไม่สบาย ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง

.............

ขอแนะนำผู้ปฏิบัติเพิ่มเติมว่าให้

เพียรพยายามนั่งสมาธิบ่อยๆครับ

อาการที่เห็นนิมิตทั่วๆไป เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนเราฝันไปครับ แต่ถ้าเห็นขนาดนี้ได้แล้ว ให้กำหนดจุดเล็กใสตรงกลางของกลางนิมิตทั่วๆไปนั้น

สักพักหนึ่ง หากเล็งได้ถูก 072 หากวางใจได้ถูกศูนย์ถูกส่วนดี ก็จะเข้าสิบตกศูนย์ ถูกดูดๆๆๆๆๆ ไปฐานที่ 6 ทันทีครับ แล้วจะเห็นดวงปฐมมรรคขึ้นมาทันใจ

หากสติ มากกว่าสมาธิ

จะรู้สึกอาการถูกดึงดูดได้อย่างมาก และมักจะหายไป ไม่เห็นดวง เพราะว่าสติมากเกิน มันแข็งไปครับ ไม่ยอมปล่อยวางให้มันดึงดูดตกศูนย์ไป

หากสมาธิ มากกว่าสติ

โดยมากจะอาการคล้ายคนนอนหลับ หรือเกิดอาการวูบๆ บ่อยๆ และอาจจะมีอาการถูกดูดวูบๆ สักพักหนึ่งเหมือนคนเพิ่งจะฟื้นคืนสติ แต่กลับเห็นดวงสว่างแวววาวเสมือนกระจกส่องเงาหน้า (อาการแบบนี้คล้ายๆที่ผมเห็น แต่ไม่ได้ง่วงนะครับ อิอิ)

หากสติ และสมาธิ เสมอกัน

จะรู้สึกสงบสว่าง สดชื่น แล้วเมื่อหยุดใจถูกส่วนก็จะถูกดูดไปฐานที่ 6 เข้าสิบตกศูนย์เห็นดวงธรรมลอยเด่นที่ฐาน 7 ได้อย่างชัดเจน บางคนก็สดชื่น บางคนก็ตกใจ ดีใจเกินคาด หายไปอีกก็มีครับ แต่พวกนี้จะเห็นกระบวนการต่างๆชัดมากเลยทีเดียว

เมื่อเห็นชัดเจนดีแล้วเป็นอุคคหนิมิต ชัดมากขึ้นเป็นปฏิภาคนิมิต และเข้าสิบตกศูนย์เป็นระดับดวงปฐมมรรคที่แท้จริง คราวนี้ก็จะติดตาติดใจ แม้ไม่ต้องนึกก็เห็นได้ครับ สว่างไสวอยู่อย่างนั้นเลยทีเดียว

...........................

เล็งสิบ เล็งศูนย์ กันให้ดีๆนะครับ แต่มิใช่เล็งจนเกร็ง แค่วางใจง่ายๆเบาๆ ตรงกลางของกลาง ตรงจุดเล็กใส เป็นพอครับ

กดดูครับ กดเลย>>> จุดเล็กใสกลางดวงในดวง

...........................

แต่ว่าสิ่งที่อยากจะเเนะนำก็คือ ทุกท่านจะสงบหรือไม่สงบ จะเห็นดวงหรือไม่เห็นก็ตาม ต้องมีสติฝึกโยนิโสมนสิการบ่อยๆ เริ่มที่เรื่องไตรลักษณ์นี่แหละครับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และธรรมะอื่นๆด้วย

เพราะบางท่านนี่ จี้จะเอาให้เห็นอย่างเดียว แต่ไม่เคยเลยที่จะพิจารณาธรรมะ บางคนหนักเลยพอนั่งแล้วไม่สงบ นั่งมานานหลายปีก็ไม่เห็น เลยท้อแท้ พอกันทีวิชชาธรรมกาย เลิกนั่งเปลี่ยนไปนั่งแบบสายอื่นๆเลย บางคนก็ออกห่างธรรมะไปเลย

เพราะคนเหล่านี้ไม่เข้าใจธรรมปฏิบัติอย่างแท้จริงนะครับ เขารู้แค่ว่านั่งเพื่อเห็น จริงๆแล้วเป็นการนั่งเพื่อภาวนาธรรมครับ



#183164 เราทำถูกต้องหรือเปล่า

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 15 October 2010 - 09:31 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

ไม่รู้รายละเอียดและเบื้องหลังนะครับ แต่ขอแนะนำแบบคร่าวๆตามเรื่องดิบๆ ไม่ได้กลั่นกรอง
.............................................

เอาใจเขามาใส่ใจเราดีกว่านะครับ สมมติว่าเรามีสามี แล้วสามีไปคุยกะหญิงอื่น เราก็คงหวงใช่ไหมครับ

ถ้าภรรยาเขาหึงหวงเอา เราก็ควรรู้ว่า ไม่ใช่เรื่องของเราแล้ว อย่าไปยุ่งดีกว่า ถึงแม้จะในฐานะเพื่อนก็เถอะ

ถ้าจะคุยในฐานะเพื่อนจริงๆ ก็คุยแค่สารทุกข์สุขดิบก็พอแล้วครับ ไม่ต้องอะไรมากมาย

เราต้องรู้สถานะตัวเองครับ เรื่องแบบนี้ต้องมีคุณธรรมส่วนตนให้มากๆ ถ้าเป็นครูก็ควรรู้ฐานะว่าไม่ควรยุ่งกับศิษย์ ถ้าเป็นพระก็ยิ่งไม่ควรยุ่งกับสตรี ถ้าคนอื่นเขามีเจ้าของเป็นเรื่องเป็นราวตามหลักธรรมแล้ว ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง

ควรวางตนให้เหมาะสมนะครับ จะได้ไม่เป็นวิบากกรรม

แล้วถ้าหากฝ่ายชายเขามีใจให้กับคุณขึ้นมาจริงๆ โดยที่คุณไม่ได้ไปยุ่งอะไรแล้ว ต่อมาเขาหย่าขาดจากภรรยา แล้วมาจีบคุณ มาขอแต่งงานด้วย ค่อยว่ากันอีกที แบบนี้ก็จะได้ไม่เป็นวิบากกรรม

รู้จักข่มใจเถิดครับ อย่าเอาแต่รักสนุก จะทุกข์ถนัด

ตามใจตนเองก็สบายแค่ชาตินี้ ชาติหน้าวิบากกรรมอื้อเลย

เผลอๆกรรมอาจะส่งผลชาตินี้ ให้ชีวิตรักไม่ราบรื่น แรกๆอาจจะรักกันดี ไปๆมาๆ ก็จบไม่สวย เพราะอำนาจวิบากกรรม

พูดตรงๆเลย มีมหาเศรษฐีแนวหน้าของเมืองไทย ใจบุญสุนทานเข้าขั้นอนาถปิณฑิกะ ชีวิตเขามีพร้อมสรรพ สุขสมบูรณ์บริบูรณ์ แต่ว่า.....ชีวิตรัก ทำให้ชีวิตจิตใจเขาวุ่นวาย หากเขาหยุดเรื่องเหล่านั้นได้ ผมว่า เขาจะเป็นอุบาสกที่สุดยอดกว่านี้ครับ และไม่มีวิบากกรรมติดตัวไปด้วย
.....................................

ไม่ได้สอนนะครับ แค่ช่วยคิดตามหลักธรรมะครับ อิอิ



#183072 อาตมันกับนิพพาน คือ ที่เดียวกันใช่หรือไม่ครับ

โพสต์เมื่อ โดย ธาตุล้วนธรรมล้วน บน 14 October 2010 - 09:49 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

ถ้ากล่าวว่า ศาสนาพุทธนั้นคือ ศาสนาพรามณ์กลายมาเป็นพุทธ แบบนี้ผิด

ถ้ากล่าว่า ศาสนาพุทธ อยู่ในกลุ่มศาสนาพรามณ์โบราณ กลุ่มศาสนาอินเดีย แบบนี้นักการศาสนาเขาพูดกันครับ

อย่าสับสนนะครับ กลุ่มศาสนา มิใช่เป็นศาสนานั้นๆซะเอง

กลุ่มศาสนาพรามณ์หรือกลุ่มศาสนาอินเดียนั้น นั้นมีอยู่หลายประเภท เช่นบูชาพระเจ้า เซ่นไหว้ นักคิดนักปรัชญาศาสนา นักปฏิบัติ บำเพ็ญตบะ นักเรียนไตรเพท ฯลฯ

ศาสนาพุทธอยู่ในกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อค้นพบสัจธรรม ศาสนาร่วมกลุ่มก็เช่นศาสนาเชน และพวกฤษี ดาบส

และมีศัพท์ทางศาสนาที่เหมือนกัน แต่ความหมายไม่เหมือนกัน เช่นคำว่า ธรรมะ บุญ บาป กุศล อกุศล จิต พรามณ์ โยคี สมณะ บรรพชิต อรหันต์ นิพพาน นิรวาน ฯลฯ ต้องศึกษากันให้ดี มิฉะนั้นอาจะสับสน
................

ศาสนาพุทธค้นพบอริยสัจธรรมอันสูงสุด เป็นวิวัฒนาการทางศาสนาและความจริงอย่างสูงสุด อะไรๆต่างหาได้ในพุทธธรรมนี้ทั้งนั้น

ศาสนาพุทธนั้นรวมทั้งเหตุผลปรัชญาและศรัทธาไว้อย่างครบสูตร และสมบูรณ์บริบูรณ์ ผู้เข้าถึงอริยสัจธรรมนี้ เรียกว่า พุทธะ

ไม่ว่าจะในยุคใดสมัยใด ผู้ที่ตรัสรู้อริยสัจธรรมนี้เองในยุคนั้นสมัยนั้นเรียกว่า สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ ส่วนผู้รู้ตามเรียก อนุพุทธะ
................

ภาคปฏิบัติ

ศาสนาพรามณ์ สายที่เน้นการบำเพ็ญเพียรนี้ เช่นสายอุปนิษัท สูงสุดบรรลุไปได้ถึงระดับอรูปฌาน อรูปพรหม แล้วเข้าใจว่าเป็นเอกภาวะ เป็นนิรวาน เป็นนิพพาน เป็นสุขนิรันดร์ เป็นสังขารอันอมตะ และเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งทั้งปวง

ศาสนาพุทธ ตรัสรู้ถึง นิพพาน ของจริง ที่พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดที่แท้จริง ด้วยการกำจัดอวิชชาด้วยวิชชา และวิมุตติหลุดพ้นไปจากสังขารทั้งปวง เป็นวิสังขาร ปล่อยขาดจากรูปฌาน และอรูปฌานทั้งสิ้น

พระนิพพานนี้ เป็นโลกุตตระ ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับโลกิยะทั้งสิ้น แต่จะถึงได้ก็ต้องอาศัยโลกิยะเป็นแพข้ามไป จนกระทั้งบรรลุเป็น "ตน" ที่แท้จริง คือเป็นธรรมกายที่บรรลุอรหัตผลนั่นเอง

ต่างจากพรามณ์อุปนิษัทที่เป็นการพัฒนา "ตน" ที่เรียกว่า "อาตมัน" แล้วเข้าไปรวมกับ "ปรมาตมัน" มีความเกี่ยวพันกันตลอดทั้งระดับโลกและพ้นโลกของเขา
................

ปล. ให้อ่านเรื่อง ทิฏฐิ 62 พรหมชาลสูตร ที่รวบรวมแนวคิดทุกประการทุกสำนัก ครอบคลุมความเชื่อทั่วโลกหมดสิ้นแล้วครับ สุดยอดมากมาย แล้วพระพุทธศาสนาก็ตรัสรู้สูงไปกว่านั้น

และศาสนศึกษาของ dou เพิ่มเติมด้วยนะครับ