คนดีเผลอทำชั่ว
#1
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 06:22 AM
ตัวอย่าง
ที่ผมเคยเห็นคือ เคยเอาซองไปให้ หัวหน้าหน่วยงานหนึ่ง ใส่เสื้อขาวกางเกงดำด้วยมาทำงาน ในห้อง
ทำงานมีพระพุทธรูป ถังผ้าป่า และเครื่องอัฐบริขารพระ ประมาณว่าเป็นคนดี เข้าวัดเป็นประจำเขา
ยื่นมือมารับแล้วทำหน้ายิ้มแบบเกรงใจ แต่ใจผมอดคิดไม่ได้ว่าเขากำลังรับซองก็คือมีส่วน
ทุจริต นั่นคือคนดีแต่ใจยังแพ้ความโลภ
เลยมีคำถามฝากถามว่า ถ้าหากว่าคนได้เผลอทำชั่วไปแล้วครบองค์ประกอบ ผลคือต้องไปอบายแน่นอน
เมื่อถึงเวลา และถ้าหากว่าถ้าเป็นท่าน เมื่อรู้ตัวและเกิดความกลัวแล้ว
- เมื่อทำกรรมชั่วโดยเผลอไปแล้วและเป็นกรรมที่ครบองค์ประกอบเช่นนี้ ท่านจะแก้ไขอย่างไร เพราะอดีต
ที่ผิดพลาดนี้ท่านลืมไม่ลงแน่ ๆ
- เป็นไปได้หรือไม่ที่ ท่านจะรีบอธิษฐานหนีกรรมนี้โดย ขอบรรลุในสมัยพระศรีอาร์ย โดยพยายามสร้างความดี
เพื่อให้พอบรรลุธรรมในสมัยพระศรีอาร์ยก็พอ เป็นพระอรหันต์ สุขวิปัสโกก็พอ
- พยายามไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรมต่อไป โดยไม่กลัวภัยนรก ซึ่งอาจจะในภพชาติต่อจากนี้ไป
- พยายามเข้าถึงพระธรรมกายภายใน แต่อาจจะไม่สำเร็จก็ได้
ช่วงนี้งานยุ่งมากไม่มีเวลาจริง ๆ เลยตอบกระทู้น้อยไปหน่อย แต่อดเข้ามาไม่ได้ ฝากคำถามครับเพราะทุกคนมี
โอกาศพลาดได้ครับ เมื่อพละทั้ง 5 ยังไม่เข้มแข็งพอ
#2
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 08:02 AM
#3
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 08:20 AM
ได้ยินมาว่าที่สุดแห่งธรรมนั้นต้อง สร้างบารมีอีกนาน ถ้าเป็นอย่างนี้ต้องตกนรกเสียก่อน
ที่หมาย โดยมากเราจะติดบ่วงกิเลสเช่น กามคุณ ๕ โดยง่าย ถูกไหม
#4
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 10:22 AM
ตั้งแต่ปฐมชาติที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ พวกเราทุกคนต่างก็ได้ทำกรรมชั่วมากันทั้งนั้น และไม่มีใครที่จะหลีกหนีกรรมเหล่านั้นพ้น แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น มันก็แล้วแต่ความปรารถนาของแต่ละคน ที่จะรีบหนีกฎแห่งกรรมไปให้พ้นด้วยการรีบสั่งสมความดี (แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทันยุคพระศรีอาริย์หรือไม่นะคะ) เพราะการจะไปเกิดยุคเดียวกันท่านได้ ต้องสร้างบารมีมาแล้วไม่น้อยเลยทีเดียว
หรือการจะไปปราบมารประหารกิเลส ให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ยกตนและสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากกองทุกข์ (ไม่ได้ไปเฉพาะตน)
ก็แล้วแต่ความปรารถนานะคะ แต่โดยส่วนตัวแล้วก็เคยทำผิดพลาดมาเยอะแยะมากมาย แต่ก็เลือกที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ มุ่งปราบมารไปที่สุดแห่งธรรม ไม่กลัวที่จะต้องเกิดซ้ำๆ ซากๆ เพราะตอนนี้เป็นนักเรียนอนุบาลฯเต็มตัว รู้วิธีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เพื่อแก้ไขสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ก็กำลังทำอยู่ เลยไม่กลัวว่าตัวเองจะตกนรกค่ะ และถ้าหากว่าเราได้พบประสบคนแบบที่คุณเล่ามา ก็คงจะต้องไปช่วยชี้ทางสว่างให้ โดยให้ดู www.dmc.tv ในเบื้องต้น ชวนติดจาน และชวนมาวัด ชวนสร้างความดี ให้เขาได้เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต และวิธีดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง อย่าไปกลัวกับอดีตที่ผิดพลาด แต่หาทางแก้ไขตัวเองดีที่สุด
ซึ่งก็มีหลายคนเช่นกัน ที่มาสร้างบารมีกับหมู่คณะที่จะไปสู่ที่สุดแห่งธรรม แต่ตัวเองนั้นปรารถนาที่จะไปเกิดเจอพระศรีอาริย์ เพื่อได้พบโอกาสแห่งการเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกค่ะ บอกแล้วว่าความคิดใครความคิดของคนนั้น คิดแทนกันไม่ได้
ส่วนที่บอกว่าวิบากกรรมที่ทำมา ให้ลืมไปให้หมด ก็เพราะว่า ถ้าหากยิ่งไปจำ ดวงบาปก็จะยิ่งโต มันไม่มีทางเลือกที่ดีไปกว่าการพยายามลืมค่ะ ทำบุญให้มากๆ มันจะไปกลบทีละนิดๆ เองค่ะ
อันที่จริง ต่างคนก็ต่างมีความปรารถนาต่างกันไป ดิฉันไม่ใช่ชายคนนั้น ก็เลยไม่สามารถเปรียบเทียบได้ เลยไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเป็นเขาจะทำยังไงค่ะ
#5
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 10:42 AM
ที่ผมไปพบนั้น ไม่ได้เข้าวัดธรรมกาย และได้เรียนกฏแห่งกรรม จึงยังไม่สามารถสะกดความ
โลภได้คนเราก็มักนึกถึงผลในปัจจุบันมากกว่าผลในชาติหน้า จึงมีสิทธิผิดพลาดได้
การที่เขาพลาดพลั้งไปแล้วเกิดสำนึกภายหลังนั้น เช่น สมมุติมาติด DMC และได้เรียน
กฏแห่งกรรมจึงเกิดกลัวขึ้นมา เพราะการกระทำนั้นเป็นบาป ซึ่งมีนรกขุมที่ 2 รองรับเมื่อสิ้น
ชีวิตไปแล้ว
แล้วถ้าเป็นท่านหรือสมมุติ ว่าท่านเป็นชายคนนี้ ท่านจะมีวิธีแก้อย่างไร หรือคิดอย่างไร
เพราะว่า รู้ว่าท่านอาจจะต้องตกนรก ( อาจจะในชาติต่อไป ) ท่านยังปารถนา สร้างบารมีปราบ
มารต่อไปประหารกิเลสไปถึงที่สุดแห่งธรรมต่อไป หรือว่าท่านจะอธิษฐานเพื่อรีบเข้านิพพาน
โดยเร็วที่สุดเพื่อหนีกฏแห่งกรรม นั่นคืออยากทราบว่า พระโพธิสัตว์นั้นกลัวที่จะตกนรกหรือไม่
ลองสมมุติดูครับ
#6
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 10:54 AM
แล้วสำหรับผู้มีกรรมติดมา
#7
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 11:11 AM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#8
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 11:17 AM
อ่า อันนี้ต้องระวังนะครับ ไม่งั้นคนเขาจะเข้าใจผิดว่า ดุสิตบุรีเป็นที่ล้างบาป อย่างนี้ก็เหมือนศาสนาเทวนิยมน่ะสิ...
เท่าีที่ผมเข้าใจ ชำระให้หมดเป็นอะไรที่ยากมาก แถมยังเปลืองบุญอีกด้วย และกรรมที่ชำระไม่หมด เหลือเป็นเศษติดมา แม้เศษกรรมแค่ 0.0001% (ตัวเลขนี้ผมติ๊ต่างขึ้นมากเอง...) ก็ยังสามารถโดนเอามาปรับคดีหรือที่เรียกว่า "วิบากมาร" ได้อีก
ฉะนั้นไม่ใช่ว่า เอาละวะ บุญก็ทำ บาปก็ทำ เพราะเดี๋ยวกลับดุสิตได้ ก็ชำระได้เองนะครับ :)
ป.ล. ถ้าผมเข้าใจผิดอะไร ขอความกรุณาช่วยให้แสงสว่างด้วยครับ
#9
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 11:19 AM
#10
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 11:43 AM
ส่วนคนชั่วนั้นทำชั่วได้ง่าย ทำความดีได้ยากครับ
ตราบใดที่เรายังไม่หมดกิเลส ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ตราบนั้นเราทุกคนคือคนเลวที่ยังมีกิเลสอยู่ครับ
เพียงแต่เราสะกดความเลวของใจเอาไว้ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลบ้าง ด้วยอำนาจแห่งสมาธิจิตบ้างเท่านั้นเองครับ
ที่ผิดพลาดนี้ท่านลืมไม่ลงแน่ ๆ
ตอบ ขึ้นอยู่กับกรรมที่กระทำครับว่าจะร้ายแรงเพียงใดถ้าเป็นลหุกรรมการทำทาน ศีล ภาวนา ธรรมดาก็อาจจะพอช่วยได้บ้าง
แต่ถ้าเป็นครุกรรมหนักๆ ก็ปิดประตูพระนิพพานไปเลยครับ แม้จะทำทาน รักษาศีล ก็ป่วยการเหมือนพระเจ้าอาชาตศัตรูที่เผลอทำกรรมชั่วฆ่าพ่อคือพระเจ้าพิมพิสารเป็นต้นครับ
เพื่อให้พอบรรลุธรรมในสมัยพระศรีอาร์ยก็พอ เป็นพระอรหันต์ สุขวิปัสโกก็พอ
ตอบ การหนีกรรมหรือหนีนรกนั้นมีเพียงวิธีเดียวครับคือ ต้องได้ฌาน 4 ทุกชาติไปพอจิตดับละโลกก็ไปบังเกิดพรหมโลก
ด้วยอำนาจของฌาน 4 แต่ถ้าชาติใดพลาดประมาทไม่สามารถประคองฌาน 4 ได้ก็มีหวังลงนรกใสๆ เลยเหมือนกันครับ
ตอบ สำหรับท่านที่มีความปรารถนาสูงเช่นนั้นผมก็คงได้แต่โมทนาสาธุกับท่านเหล่านั้นด้วยครับ ผู้ที่จะไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม
ได้แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ไม่ต้องแหวกว่ายในนรกนั้นมีเพียง 2 วิธีครับคือ ต้องบรรลุเป็นธรรมกายทุกภพทุกชาติ หรืออย่างน้อยต้องได้ฌาน 4 ทุกภพทุกชาติตลอดจนสิ้นอายุขัยครับ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วก็ตกนรกได้ง่ายๆ เช่นกันครับต่อให้ทำบุญให้ทาน
200-300 ล้านก็ลงไปทัวร์ในนรกได้สบายๆ ครับ
ตอบ การเข้าถึงพระธรรมภายในนั้นอย่าประมาทครับ แม้ผู้ที่ได้โคตรภูบุคคลก็ยังมีโอกาสตกนรกได้เสมอไม่แพ้คนธรรมดาครับ
ถ้าบุคคลใดแม้จะเห็นธรรมกายแล้วแต่กิเลสยังฟูในใจอยู่มาก ประมาทขาดสติ ดูเบาในการทำวิชชาไม่หมั่นพิจารณาอริยสัจ 4
ณ ภายในกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม อยู่เนืองๆ แล้วหากมีจิตประมาทมัวเมาหลงในอำนาจกิเลส
ทนงตนว่าดีกว่าแน่กว่าคนอื่นแล้วเผลอก่อกรรมชั่วเข้าก็สามารถลงนรกได้เช่นกันครับ ดูอย่างพระเทวทัตเป็นต้นครับ
#11
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 04:27 PM
ที่ผิดพลาดนี้ท่านลืมไม่ลงแน่ ๆ
ตอบในเมื่อเราแก้ไขความผิดพลาดอะไรไม่ได้ แล้วก็ลืมไม่ลง
แต่เราสามารถที่จะสร้างความดีขึ้นมาใหม่ได้ แล้วเลือกจำสิ่งดีๆได้ไม่ใช่หรอครับ
ในเมื่อเราแก้มันไม่ได้แล้วเราก็สร้างความดีบ่อยทดแทนสิครับ ถึงน้ำจะมีเกลือทำให้น้ำเค็ม
แต่ถ้าเราไม่เติมเกลือแต่เราเติมน้ำเปล่าลงไปเรื่อย ในที่สุดน้ำก็จะไม่เค็มครับ
เพื่อให้พอบรรลุธรรมในสมัยพระศรีอาร์ยก็พอ เป็นพระอรหันต์ สุขวิปัสโกก็พอ
ตอบ จะเป็นไปได้ไหม อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเรา ผลของอนาคต ขึ้นอยู่กับการประกอบเหตุในปัจจุบันครับ
ถ้าเราสร้างบุญบารมีพอ ทำบุญทั้งทาน ศีล ภาวนา แล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานไว้ มันก็สามารถที่จะเป็นไปได้ครับ
แต่ถ้าเราประกอบเหตุในปัจจุบันไม่ดี ไม่ถูก ไม่ทำดี ทำชั่ว อย่างงี้ ก็เป็นไปไม่ได้ครับ
ถ้าอยากจะหนีกรรมจริงๆแล้ว ถ้าเรากลัวบุญไม่พอที่จะบรรลุอรหัตผล ก็ตั้งจิตอธิษฐานว่าให้ได้บรรลุเป็นอริยะบุคคล
อย่างน้อยก็ขอให้เป็นพระโสดาบัน ก็รอดแล้วครับ แต่ บาปที่เราสร้างต้องไม่ใช่อนันตริยะกรรม 5 อย่างนะครับ
เพราะถ้าเป็นอนันตริยะกรรมก็คงไม่รอดครับ เฉกเช่น พระเจ้าอาชาตศัตรูครับ ถึงกลับใจได้ก็ไม่ทันแล้ว
เพราะเผลอ ฆ่าพ่อตัวเองไปแล้ว
ตอบ โดยปรกติวิสัยของหัวใจพระโพธิสัตว์แล้ว คงต้องเตรียมใจแล้วละครับ ว่าหนทางที่ท่านเลือกไป
ต้องมีผิดพลาดบ้างเป็นบางหน อาจจะต้องรับกรรมในนรกบ้างละ แต่พระโพธิสัตว์ที่ตั้งความปราถนาจะช่วยสรรพสัตว์อย่างตั้งใจจริงแล้ว โดยส่วนมากคงจะไม่กลัวครับเพราะพระโพธิสัตว์ทุกองค์ ท่านคงจะมีอุดมคติเหมือนกันประมาณว่า ตัวเองจะลำบากเพียงไร แต่ถ้าคนอื่นมีความสุข เท่านี้ ท่านก็พอใจครับ ถ้าหัวใจท่านคิดได้ขนาดนี้ตลอดทุกชาติ โดยไม่หวั่นไหว ก็จะได้ตรัสรู้สักชาติแน่นอน
ตอบ อย่าคิดว่าอาจจะไม่สำเร็จสิครับ
วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ คนล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร _/|\_
***********
ใ ค ร เ ชิ ด. . .ใ ค ร ชู. . .ช่ า ง เ ข า
ใ ค ร เ บื่ อ. . .ใ ค ร บ่ น. . .ท น เ อ า
ใ จ เ ร า. . .ร่ ม เ ย็ น. . .เ ป็ น พ อ
. . .|2@|<_|3( )( )|\| @ |-|()T/\/\@I|_.C()/\/\. . .
#12
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 05:06 PM
ชายคนนั้นที่พูดถึงไม่ใช่ผมแน่ ๆ ไม่รู้ผมจะมีส่วนบาปหรือไม่ ที่เอาซองไปยื่นให้เขา
แต่คงเบากว่ามาก
ในกรณีนี้ผมรู้สึกกลัวและเย็นหลังพอควรเพราะเท้าหนึ่งของเขาได้ก้าวย่างลงในนรกขุมที่ ๒
โทษของนรกขุมนี้ตัดมือตัดเท้าที่กระทำผิด และจำไม่ได้แต่ทารุณมาก ๆ โดยเฉพาะ DMC
ฉายภาพของนรกชัดเจนมาก การที่ลงนรกแล้ว ยังไม่พ้นยังจะต้องไปเกิดเป็นเปรตอีกนาน มาก
และเมื่อมาเกิด อาจจะเกิดเป็นสัตว์อีก หรือไม่ก็เกิดเป็นคนแล้วเผลอย้อนกลับคืนสู่นรกอีก ถ้า
หากเมื่อมาเกิดแล้วไม่เจอพุทธศาสนา
#13
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 05:44 PM
แล้วสำหรับผู้มีกรรมติดมา
ชำระสะสางธาตุธรรมได้ แต่ไม่สามารถลบล้างวิบากกรรมที่พลาดพลั้งกระทำมาได้นะครับ ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า บุญก็ส่วนบุญ บาปก็ส่วนบาปครับ อีกอย่างก็คือ ณ เวลานี้ ยังไม่มีอะไรที่สามารถเอาชนะกฎแห่งกรรมและกฎแห่งพระไตรลักษณ์ได้เลยนะครับ
#14
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 07:51 PM
มี case study เรื่องหนึ่ง เจ้าของ case เคยขายยาบ้ามาก่อน และมาเข้าวัดหรือได้
ดู DMC แล้วรู้สึกกลัวมาก จึงตั้งใจฝึกสมาธิ ก่อนตายได้เข้าถึง องค์พระในตัวจึงตาย สุดท้าย
ก็ไปถึง ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ(กลับบ้านได้ ) ครูไม่ใหญ่บอกว่าได้ยินเทพบุตรใหม่พูดแต่ว่า
เราทำสำเร็จ แล้ว เราทำสำเร็จแล้ว ตอนนี้กำลังนั่งสมาธิกลั่นธาตุธรรมอยู่ที่วิมานของ ....
มหาสมณเทวบุตร และประมาทไม่ได้ต้องประคองใจอยู่เสมอ เผลอไม่ได้มีโอกาศวูบเหมือน
กัน ผมเข้าใจว่าการกลั่นธาตุธรรมนี้เป้นการป้องกันไม่บาปได้ช่อง บาปไม่ได้หายไปไหน
แบบนี้เข้าใจถูกไหม แต่เทพบุตรใหม่จะต้องหมั่นนั่งสมาธิเสมอจะหลุดไม่ได้เพราะใจอาจจะ
ตกได้ ใครจำ case นี้ได้ช่วยขยายเป็นธรรมทานด้วยก็ดีนะครับ
#15
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 07:54 PM
แบบนี้เข้าใจถูกไหม? แต่เทพบุตรใหม่จะต้องหมั่นนั่งสมาธิเสมอจะหลุดไม่ได้เพราะใจอาจจะ
ตกได้
ถูกต้องแล้วครับ ลบล้างไม่ได้ก็จริง แต่ทำให้หนักเป็นเบาได้ครับ
#16
โพสต์เมื่อ 03 May 2006 - 10:51 PM
เพราะว่า เห็นด้วยกับหลายท่าน คุณหยุดอะตอมใจ และคุณXLmen สาธุค่ะ
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#17
โพสต์เมื่อ 04 May 2006 - 07:17 AM
#18
โพสต์เมื่อ 04 May 2006 - 01:11 PM
ขอตอบโดยใช้ตัวอย่างประกอบครับ
1. เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า"บุคคลผู้มีใจจะเป็นพระบรมโพธิสัตว์ได้นั้น จะต้องมีกำลังใจขนาด แม้ยืนอยู่ข้างหน้าห้องๆ หนึ่งที่มีความกว้างยาวเท่ากับจักรวาล (ไม่สิ้นสุด) และมีเปลวไฟลุกไปตลอดทางเดินของห้อง บุคคลผู้นี้ก็ยังมีกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ที่คิดจะฝ่าไปให้สุดปลายห้องให้ได้ บุคคลที่ใจเช่นนี้แหละที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าได้"
ผมคิดว่า ถ้าได้มีใจใหญ่ขนาดนี้นรกก็ไม่กลัวหรอกครับ
2. เป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้าของเรา ตอนเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์เกิดเป็นพระราชา ต่อมาพระองค์พบพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน พระองค์จึงถวายทาน แล้วกล่าวคำอธิษฐานว่า ด้วยผลบุญนี้ ขอให้ได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต" พระพุทธเจ้ารับทานมาแล้ว จึงตรัสว่า การจะบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องง่ายนะจะบอกให้"
พระราชาโพธิสัตว์กล่าวว่า "ต่อให้พระโพธิญาณ (การบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้า) อยู่ในอเวจีมหานรก ข้าพระองค์จะลงไปงมเอามาให้ได้"
พระพุทธเจ้า จึงตอบว่า "ถ้าอย่างนั้น ท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคต นามว่า โคดม" (หมายเหตุ ชาตินี้เป็นชาติหลังจากเกิดเป็นสุเมธดาบสแล้ว)
จะเห็นว่า พระโพธิสัตว์ ท่านฝึกนิสัยไม่กลัวสิ่งใดน่ะครับ ส่วนผู้จะสร้างบารมีไปสู่ที่สุดแห่งธรรมนั้น ก็จะต้องสร้างนิสัยดุจเดียวกับพระโพธิสัตว์ขึ้นมา ที่นี้หลายคน เช่น ผม เป็นต้น ยังไม่มีความกล้าขนาดนั้นจะทำอย่างไร หลวงพ่อท่านจึงมีบทฝึกขึ้นมาไงล่ะครับ ด้วยการให้สร้างวัด สร้างเจดีย์ แล้วก็สอนให้ทุ่มเท ไม่กลัวอุปสรรคใดๆ ทำเรื่องง่ายๆ (แต่สำหรับพวกเรามันไม่ง่ายเลย มีแต่ต่อต้านจากทุกสารทิศ ที่เข้าใจว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี) แค่นี้ให้ได้ก่อน แล้วก็จะไม่มีอุปสรรคสำหรับที่สุดแห่งธรรม
จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมพวกเราจึงเจอบทฝึกให้สร้างบารมีอย่างยิ่งยวดไงล่ะครับ แค่เรื่องทานบารมี ซึ่งนักวิชาการศาสนามองว่า เป็นแค่บารมีเบื้องต้น แต่คุณครูกลับฝึกให้พวกเราทำกันอย่างเต็มกำลังกันเลยทีเดียว แค่เบื้องต้นยังฝึกขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยว่า เบื้องสูงท่านจะฝึกพวกเราขนาดไหน แล้วนิสัยทำอะไรไม่กลัวอุปสรรคจะเกิดขึ้นกับเราโดยอัตโนมัติ โดยที่พวกเราอาจจะไม่ทันได้รู้ตัวเลยล่ะครับ
#19
โพสต์เมื่อ 04 May 2006 - 07:30 PM
แม้ว่าเป็นนรกอเวจีเพื่อแลกกับสัพพัญญุตาญาณ
#20
โพสต์เมื่อ 05 May 2006 - 02:01 AM
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#21
โพสต์เมื่อ 30 July 2007 - 11:07 PM