สงสัยวันละนิด ทำให้ชีวิตฉลาดขึ้น
#1
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 10:43 AM
แล้วผู้ที่ได้พระอนาคามี และสกิทาคามี(เขียนถูกไหมว่า ช่วงนี้นอนดึก เบลอเหมือนกัน - -") จะสามารถหมดกิเลสเข้าพระนิพพานภายในเวลาไม่เกิน7ชาติด้วยหรือไม่ หรือน้อยกว่าครับ
และภพภูมิของผู้ที่ได้บรรลุพระโสดาบัน อนาคามีและสกิทาคามี เมื่อละโลกไปแล้วส่วนใหญ่จะอยู่ในภพภูมิไหนบ้างครับ
หากเคยมีท่านใดถามไปแล้วต้องขออภัยเป็นอย่างสูงนะครับ ช่วงนี้นานๆจะได้เข้ามาสักที ไม่ค่อยได้ติดตาม หากWMเห็นไม่สมควรลบได้เลยนะครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#2
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 12:12 PM
พระสกิทาคามี เวียนว่ายตายเกิดในสุขคติภูมิอีกเพียง 1 ชาติ
พระอนาคามี ต้องไปเกิดที่พรหมโลกชั้นปัญจสุทธาวาสเท่านั้น แล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์ นิพพานบนพรหมโลกเลย
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 12:42 PM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#4
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 01:31 PM
ข้อนี้ ผมไม่กล้าตอบ ไม่มั่นใจเลย
#5
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 01:54 PM
ขอเพิ่มอีกนิด พรหมโลกชั้นปัญจสุทธาวาส เป็นชั้นที่สูงที่สุดหรือไม่ครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#6
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 02:19 PM
พรหมทุกประเภทครับ ยกเว้นพรหมชั้นปัญจสุทธาวาส ที่จะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จะเป็นพระอรหันต์ในชาติที่เป็นพรหมเลย
ถูกต้องครับ
ถ้านับเฉพาะพรหมโลกจัดเป็นพรหมชั้นสูงสุด แต่ต่ำกว่าอรูปพรหมครับ และพรหมชั้นปัญจสุทธาวาสจะมีเฉพาะพระอนาคามีบุคคลเท่านั้น มีบุญมากแค่ไหน แต่ไม่ได้เป็นพระอนาคามีบุคคล ก็ไปเกิดที่พรหมโลกชั้นปัญจสุทธาวาสไม่ได้ครับ
ดังนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงได้เคยเวียนว่ายตายเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วนก็จริง แต่จะมีภพหนึ่งที่ท่านไม่เคยไปบังเกิดเลย คือ พรหมชั้นปัญจสุทธาวาส ด้วยเหตุที่ท่านจะต้องมาค้นหาทางตรัสรู้ด้วยตนเอง จึงไม่อาจจะเป็นพระอนาคามีบุคคลได้ครับ แม้แต่ตัวพวกเราเองก็เช่นกัน ไม่เคยได้เกิดเป็นพรหมชั้นปัญจสุทธาวาสเป็นอันขาด
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#7
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 05:39 PM
นี้คือเหตุผลสนับสนุน เนื่องจากพระบรมโพธิสัตว์ที่ได้รับพระพุทธพยากรณ์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ท่านย่อมไม่เข้าถึงฐานะแห่งความอาภัพ ๑๘ ประการ และหนึ่งในฐานะอันอาภัพดังกล่าวนั้น คือ การไม่ไปปฏิสนธิในปัญจสุทธาวาสพรหมภูมิ อันเป็นภูมิที่สถิตสำหรับผู้ที่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีบุคคล อันได้แก่ อวิหาสุทธาวาส อตัปปาสุทธาวาส สุทัสสาสุทธาวาส สุทัสสีสุทธาวาส และอกนิฏฐสุทธาวาส ดังได้พรรณามาฉะนี้
๑. เกิดในครรภ์ของนางทาสี
๒. เป็นคนบอดแต่กำเนิด
๓. เป็นคนหนวกแต่กำเนิด
๔. เป็นคนใบ้แต่กำเนิด
๕. เป็นบุคคลวิกลจริต
๖. เป็นคนโรคเรื้อนกุฏฐัง
๗. ทำปัญจานันตริยกรรม ๕ ประการ
๘. เกิดเป็นอสัญญีสัตตาพรหม
๙. เกิดเป็นรูปพรหมสุทธาวาส
๑o. เป็นพระอริยบุคคล (พระโสดาบันกระทั่งถึงพระอรหันต์)
๑๑. เกิดในอายตนะโลกันตร์ หรือเกิดในอเวจีมหานรก
๑๒. เกิดเป็นอิตถีสตรีเพศ หรือเกิดเป็นบัณเฑาะก์ หรือผู้ที่มีความบกพร่องทางเพศอื่นๆ อาทิ อุภโตพยัญชนก
๑๓. เกิดเป็นเทวบุตรมาร
๑๔. เกิดในอนารยะมิลักขะประเทศ (แดนคนเถื่อน)
๑๕. เกิดในจักรวาลอื่น
๑๖. เกิดเป็นเปรตสามจำพวกแรก (ยกเว้น ปรทัตตูปชีวิกเปรต (เปรตขอส่วนบุญ) อาจพลาดพลั้งเป็นได้ในบางชาติ ซึ่งกำเนิดแห่งเปตวิสัยนั้น จำแนกเปรตออกได้เป็น ๔ จำพวก ๑๒ ตระกูล)
๑๗. เกิดในอรูปพรหม
๑๘. เกิดเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่านกกระจาบและใหญ่กว่าช้าง
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#8
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 05:55 PM
ตอนนี้ก็ยังสงสัยอยู่
#9
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 06:16 PM
แล้วอีกอย่างหนึ่งครับ พระโสดาบันตั้งอยู่ในอจลสัทธา (ศรัทธาไม่หวั่นไหว) ใจจะไม่มีเคลื่อนจากพระรัตนตรัย ไม่ต้องพบพระพุทธเจ้า ก็สามารถบรรลุธรรมไปตามลำดับ
คำว่า "โสดาบัน" แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพานครับ ถ้าปล่อยไปตามกระแสนี้ ก็เหมือนกับแม่น้ำนั่นแหละ ยังไงๆ ก็ต้องไหลลงทะเล
#10
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 11:04 PM
จากข้อความในส่วนที่ขีดเส้นใต้นั้น กล่าวไว้ถูกต้องแล้วล่ะครับ ดังกรณีของเทพนารีผู้มีนามว่า "สิริมา" เป็นต้นครับ
เพราะเหตุที่สามารถละซึ่งวิจิกิจฉานุสัยได้โดยเด็ดขาดแล้ว ด้วยอาการดังนี้ พระโสดาบันจึงเป็นผู้มีอจลศรัทธาอันตั้งมั่นไม่สั่นคลอนในคุณอันบวรแห่งพระรัตนตรัย ถูกต้องนะครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#11
โพสต์เมื่อ 25 October 2006 - 08:24 AM
อนุโมทนาบุญนะครับ สาธุๆๆ
#12
โพสต์เมื่อ 25 October 2006 - 11:24 AM
พรหมโลก ที่อยู่ของพรหม ตามปกติหมายถึงรูปพรหม ซึ่งมี ๑๖ ชั้น (เรียกว่า รูปโลก) ตามลำดับดังนี้
๑. พรหมปาริสัชชา
๒. พรหมปุโรหิตา
๓. มหาพรหมา
๔. ปริตตาภา
๕. อัปปมาณาภา
๖. อาภัสสรา
๗. ปริตตสุภา
๘. อัปปมาณสุภา
๙. สุภกิณหา
๑๐. อสัญญีสัตตา
๑๑. เวหัปผลา
๑๒. อวิหา (สุทธาวาสชั้นที่ 1)
๑๓. อตัปปา (สุทธาวาสชั้นที่ 2)
๑๔. สุทัสสา (สุทธาวาสชั้นที่ 3)
๑๕. สุทัสสี (สุทธาวาสชั้นที่ 4)
๑๖. อกนิฏฐ (สุทธาวาสชั้นที่ 5)
นอกจากนี้ยังมี อรูปพรหม ซึ่งแบ่งเป็น ๔ ชั้น (เรียกว่าอรูปโลก) คือ
๑. อากาสานัญจายตนะ
๒. วิญญาณัญจายตนะ
๓. อากิญจัญญายตนะ
๔. เนวสัญญานาสัญญายตนะ
#13
โพสต์เมื่อ 25 October 2006 - 07:18 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#14
โพสต์เมื่อ 25 October 2006 - 07:55 PM
แล้วถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ในช่วงที่ไม่มีพระพุทธศาสนาแล้ว จะเป็นยังไง จะเห็นธรรมกายตั้งแต่เกิดเลยเหรอครับ
แล้วถ้าไปเกิดอีกพุทธธันดรถัดไป แล้วจะถือว่าเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ไหนครับ เวลาไปอยู่ในอายตนนิพพาน พระธรรมกายจะนั่งวงไหน
#15
โพสต์เมื่อ 26 October 2006 - 12:49 PM
ส่วนเรื่องที่ว่ามาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว หรือแม้แต่จุติจากเทวดาชั้นนั้น ไปชั้นนี้ จะมีดวงตาเห็นธรรมตั้งแต่แรกเกิดเลยหรือเปล่า ถ้าตอบตามหลักปฏิบัติล่ะก็ใช่ครับ
เพราะเมื่อปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน อีกทั้งบารมี และความปรารถนาถึงพร้อม ก็จะเจริญวิปัสสนาพิจารณาความไม่เที่ยงของกายมนุษย์ ตัดความผูกพัน ยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงในกายมนุษย์ เป็นพระโสดาบัน (แม้อยู่ในร่างมนุษย์ก็ในยึดติดในกายมนุษย์แล้ว)
เมื่อพระโสดาบันปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงกายธรรมพระสกทาคามี อีกทั้งบารมี และความปรารถนาถึงพร้อม ก็จะเจริญวิปัสสนาพิจารณาความไม่เที่ยงของกายทิพย์ ตัดความผูกพัน ยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงในกายทิพย์ เป็นพระสกทาคามี
ทำนองเดียวกันนี้ พิจารณาความไม่เที่ยงของกายพรหม ก็เป็นพระอนาคามี
ทำนองเดียวกันนี้ พิจารณาความไม่เที่ยงของกายอรูปพรหม ก็เป็นพระอรหันต์ ตัดความผูกพัน ยึดมั่นถือมั่นทุกอย่างในภพสาม (มนุษย์-ทิพย์ พรหม อรูปพรหม)
ดังนั้น สำหรับพระโสดาบัน เมื่อตัดความยึดมั่นถือมั่นในกายมนุษย์ (ละสักกายทิฐิ ความยึดถึอว่าเป็นตัวเป็นตน) แล้ว ไม่ว่าเขาจะเกิดใหม่อีกกี่ครั้ง เขาก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกายธรรมพระโสดาบันตลอด และละความยึดมั่นในกายมนุษย์ได้ตลอดไปครับ
ไม่ว่าจะไปเกิดในพุทธันดรไหน ก็ยังเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์เดิมที่สอนท่านให้บรรลุครับ (แต่ความจริงถ้าเป็นมนุษย์-เทวดา ไม่เคยมีหลักฐานว่าเกิดแล้วตายภายใน 7 ชาติ ก็ยังทันที่จะได้พบพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป แต่ถ้าไปเกิดเป็นพรหมล่ะก็มี ดังตัวอย่างข้างล่าง)
ยกตัวอย่าง พระพาหิยะ ชาติในอดีต ท่านกับเพื่อนพระ นั่งสมาธิไม่ถอนถอย แต่ปรากฏว่า เพื่อนของท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์ กับพระอนาคามี แต่ตัวท่านไม่บรรลุ เพื่อนท่านเหาะไปนำอาหารมาให้ท่าน ท่านก็ไม่รับ เพราะตั้งใจไว้แล้วว่า ต้องบรรลุธรรมก่อน จึงจะรับอาหาร ในที่สุดท่านก็เสียชีวิต ชาตินี้พระพาหิยะ มาเกิด หลงผิดอยู่พักหนึ่ง จนเพื่อนท่านที่เป็นพระอนาคามีที่ไปเกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส มาเตือนว่า ท่านพาหิยะท่านหลงผิดแล้ว ตอนนี้พระพุทธเจ้า(องค์ใหม่) มาเกิดแล้ว ไปฟังธรรมสิ ซึ่งสุดท้ายก็ทำให้พระพาหิยะบรรลุธรรมเร็วพลัน (ในพระไตรปิฎกมี ไปอ่านได้ครับ)
พรหมชั้นสุทธาวาส ยังสามารถอยู่จนทันพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ได้ถ้าเวลาระหว่างพุทธันดรไม่นานเกินไป และย่อมได้ชื่อว่า เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์เดิมเท่านั้น ดังนั้น พระอริยบุคคลประเภทอื่น ก็อยู่ในเงื่อนไขนี้เช่นเดียวกันครับ