ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

วิ ธี อุ ทิ ศ ส่ ว น กุ ศ ล


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 09:39 AM

วันนี้ก็ถือโอกาสมารำลึกถึงผู้ที่เคยมีพระคุณต่อเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ล่วงลับไปแล้ว เพราะว่า

ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี

ความกตัญญูกตเวทีเป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลกทุกยุคทุกสมัยตลอดมา
หากว่ามีเกิดขึ้นในใจของผู้ใดแล้ว ก็แสดงว่าใจของผู้นั้นได้บังเกิดความสว่างขึ้นมาภายใน
แล้วก็ง่ายต่อการที่จะเข้าถึงธรรม

อีกประการหนึ่งความกตัญญูกตเวที
เมื่อยังมีอยู่ในโลกมนุษย์นี้แล้วก็จะทำให้มนุษย์ทั้งหลายเกิดกำลังใจที่จะทำความดีต่อผู้อื่นก่อน
โดยไม่ต้องรอให้ใครมาทำความดีแก่เราก่อน

ในโลกนี้แบ่งคนออกเป็น ๒ ประเภท

ประเภทหนึ่ง รอให้คนอื่นทำความดีแล้วจึงจะทำความดีกลับ

อีกประเภทหนึ่ง ใครจะทำดีหรือไม่ทำดีต่อเราก็ตาม รีบทำความดีก่อน
แล้วใครจะนึกถึงพระคุณเราหรือไม่นึกถึงก็เรื่องของเขา แต่เราได้ทำความดีแล้ว


คนดีประเภทที่สองนี้เป็นคนดีที่สมบูรณ์แบบ

ส่วนผู้ที่ได้รับผลแห่งความดีนั้น หากไม่มีการกตัญญูกตเวทีแล้วไซร้
คือแม้วันหลังก็ไม่คิดจะทำความดีทดแทน จะทดแทนต่อตัวเขาหรือไปทำให้กับคนอื่นบ้างก็ตาม
ต่อไปใครที่คิดจะทำความดีต่อผู้อื่นก่อนก็จะล้า จะอ่อนกำลัง

เมื่อล้าเมื่ออ่อนกำลังเสียแล้ว ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันในโลกมนุษย์ก็จะค่อยๆ หมดไป
แล้วอันตรายก็จะเกิดแก่มนุษยชาติ เหตุนี้บัณฑิตผู้มีคุณธรรมความดีทั้งหลาย
เมื่อปรารภเหตุใดๆ สร้างคุณงามความดีกับผู้อื่นมามากแล้ว
แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือ จะต้องรำลึกถึงพระคุณท่านผู้ที่มีความดีกับเรามาก่อนด้วย
เป็นการให้กำลังใจแก่ผู้ที่จะทำความดีต่อไปในภายภาคหน้า

พวกเราเองกว่าจะมานั่งพร้อมหน้ากันอยู่ที่นี่ แท้จริงแล้วก็ไม่ได้โตปุ๊บปั๊บขึ้นมาทันที
คือต้องมีพ่อมีแม่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เยาว์วัยจนกระทั่งเติบใหญ่
ไม่ใช่ยุคต้นกัปโน่น ที่มนุษย์เกิดโดยโอปปาติกะ
คือจากเทวดาจากพรหมก็มาเกิดเป็นคนปุ๊บโตขึ้นมาเองเลย ไม่ต้องมีพ่อแม่มากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู

ยุคนี้เราเกิดกันโดยธรรมดาวิสัยของมนุษย์ กว่าเราจะเติบใหญ่มานั่งกันอยู่ ณ ที่นี้
มีหลายมือเหลือเกิน ที่ยื่นเข้ามาประคับประคองเรา

คนแรกคือ คุณพ่อคุณแม่ของเรา
ตั้งแต่รู้ว่าเราเกิดอยู่ในครรภ์ท่านเท่านั้น ดีอกดีใจ น้ำหูน้ำตาไหล
แล้วก็อดเปรี้ยวอดหวานประคับประคองเรา ตั้งแต่อยู่ในครรภ์อย่างดีทีเดียว

ครั้นถึงเวลาคลอดออกมาแล้ว ลืมตามาดูโลกแล้ว ก็มีมือปู่ย่า ตาทวด ลุงป้าน้าอา อีกไม่รู้เท่าไร

ต่อมาก็มีมือครูบาอาจารย์ มีมือของผู้บังคับบัญชา มีมือพรรคพวกเพื่อนฝูง ช่วยกันประคับประคองเรามา
จนกระทั่งได้ดิบได้ดีกันจนวันนี้ คือรุ่นพ่อรุ่นพี่ รุ่นปู่รุ่นย่าก็ช่วยดึงกันขึ้นมา
รุ่นน้องรุ่นหลังก็ช่วยกันดัน รุ่นเดียวกันก็ช่วยกันประคอง
แล้วเราก็เติบใหญ่ปีกกล้าขาแข็ง มีคุณธรรม มีความดี มาพร้อมหน้ากันอยู่ที่สภาธรรมกายแห่งนี้

เพราะฉะนั้นถ้าถามว่า
แต่ละท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ได้รับความเมตตากรุณา ได้รับพระคุณจากใครกันมาบ้าง ?

ก็บอกได้ว่า
นับไม่ไหว ทั้งท่านที่ละโลกไปแล้วก็มี ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มี
สำหรับท่านที่ยังมีชีวิตอยู่ โอกาสที่ท่านเหล่านั้นจะสร้างคุณงามความดีของท่านต่อไปอีกก็ยังมี
และเราเองก็ยังพอมีโอกาสที่จะไปทดแทนพระคุณของท่านในวันหน้า

แต่สำหรับผู้ที่เคยมีพระคุณกับเรามา และล่วงลับไปแล้ว จะเป็นคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า
คุณตาคุณทวด รวมจนกระทั่งครูบาอาจารย์ ลุงป้าน้าอาของพวกเรา หลายท่านลาโลกไปแล้ว
และพระคุณของท่านก็ยังตรึงตาตรึงใจอยู่ในใจของพวกเรา
แล้วเราจะทดแทนตอบแทนพระคุณของท่านอย่างไรดี

เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน อย่าว่าแต่มนุษย์ธรรมดาอย่างกับพวกเรา
แม้เทวดาก็ตอบไม่ได้ว่าจะต้องทดแทนพระคุณกันอย่างไรหากไม่พบพระพุทธศาสนา

โชคดีที่ว่าปู่ย่าตาทวดของเรา เก็บรักษาคำสอนของพระพุทธศาสนา ส่งต่อกันมาเป็นทอดๆ
จนกระทั่งถึงพวกเรา จึงได้รู้คำตอบว่าการทดแทนพระคุณหรือ
อุทิศส่วนกุศลผลบุญให้แก่ผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่ใช่หมดหนทางเสียทีเดียว
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงให้หลักเกณฑ์สั้นๆ ๓ ข้อดังนี้

ประการแรก ผู้ที่จะอุทิศส่วนกุศลต้องมีบุญก่อน
ถ้าตัวเองไม่มีบุญ ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเหล่านั้น
เหมือนคนไม่มีเงินแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปช่วยคนอื่น
แต่ถ้าเราเป็นเศรษฐีมีเงินอยู่ในกระเป๋าก็พร้อมจะควักเงินช่วยคนอื่นได้
ฉะนั้นเมื่อนึกถึงพระคุณใครขึ้นมา
สิ่งแรกที่จะต้องทำคือตัวของเราเองจะต้องสร้างบุญก่อน
เอาบุญตุนใส่กระเป๋า ตุนเอาไว้ในใจก่อน

๑. ซึ่งบุญนั้นมีลักษณะพิเศษอยู่ว่าแม้เกิดทีละน้อยก็ค่อยๆ สะสมได้

เหมือนน้ำฝนทีละหยดทีละหยาดก็รวมกันเข้า จนกระทั่งเต็มโอ่งเต็มตุ่มได้ บุญมีฤทธิ์อย่างนี้

๒. บุญนั้นสามารถอุทิศไปให้กับผู้อื่นได้ แม้อยู่กันคนละโลกคนละภพ
เหมือนน้ำที่อยู่ไกลๆ บนยอดเขายอดป่า เมื่อรวมกันแล้วก็ไหลเป็นห้วยหนองคลองบึงลงไปสู่ทะเล
แม้ทะเลจะอยู่ห่างไกลเป็นร้อยเป็นพันไมล์ แต่น้ำจากยอดเขาก็ไหลไปถึงได้
บุญที่คนทำอยู่ในโลกมนุษย์นี้ ก็สามารถอุทิศให้กับคนที่ละโลกไปแล้วได้เช่นเดียวกัน

ประการที่ ๒ ผู้ที่ละโลกไปแล้ว จะต้องอยู่ในภาวะที่จะรองรับบุญได้
คือผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว จะเป็นลุงป้าน้าอา ปู่ย่า ตาทวด หรือครูบาอาจารย์เรา
ใครก็ตามที่เรารักเคารพคิดถึง ท่านเหล่านั้นจะต้องไม่ก่อกรรมหนักจนเกินเหตุไป
เมื่อเขาละโลกไปแล้ว ถึงแม้จะลำบากอะไรไปบ้าง ก็พอรับบุญได้ทีเดียว
ไม่เฉพาะแต่คนที่เสียชีวิตไปแล้ว

ขอยกตัวอย่างผู้ที่มีชีวิตอยู่นี่แหละ
สมมุติว่าเราเองไปทำการค้าต่างประเทศได้กำไรมากจึงซื้อรถเก๋งงามๆ มา ๓ คัน

คันแรกก็ตั้งใจจะเอามาให้พี่ชายคนโต
ปรากฏว่าพี่ชายคนโตก่อกรรมหนักไว้ ไปค้าขายเฮโรอีนจึงต้องติดคุกตลอดชีวิต
เราจะเอารถมาให้แต่พี่ชายรับไม่ได้เพราะติดคุก ก็เลยให้พี่สะใภ้และหลานๆ เอาไว้ใช้แทน นี่กรณีที่หนึ่ง

กรณีที่สองขับรถคันที่สองจะไปให้พี่ชายคนรอง ปรากฏว่ายังป่วยอยู่ เพิ่งจะลุกขึ้นเดินได้
ยังต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวอยู่ ส่งกุญแจรถให้ แต่พี่ชายยังขับรถไม่ได้ หายป่วยแล้วจะขับ
คนที่สามน้องเล็ก แข็งแรงดี ขับรถก็เก่ง
พอส่งกุญแจให้ กระโดดขึ้นรถ ขับไปเลย คนที่สามนี่เอารถไปใช้ได้

ญาติของเราที่ละโลกไปแล้วก็เหมือนกัน
ถ้าใครทำกรรมหนักหนาสาหัส ชนิดฆ่าคนมาเป็นร้อยเป็นพันอย่างนั้นล่ะก็
เราจะอุทิศส่วนกุศลไปให้ก็ยากสักหน่อยที่เขาจะได้รับ ต้องรอ
ญาติคนต่อๆ ไปนั่นแหละได้รับแทน

แต่ว่าถ้าคนไหนอยู่ในภาวะที่จะรับได้ เหมือนพี่ชายคนรองหรือน้องคนเล็ก เขาก็จะรับได้และก็จะมีสุขต่อไป
เพราะฉะนั้น ประการที่ ๒
ผู้ที่จะรับบุญที่เราจะอุทิศส่วนกุศลไปให้นั้น ต้องอยู่ในภาวะที่จะรับได้ ก็จะได้รับ

ประการที่ ๓ เราเองที่อยู่ในโลกมนุษย์นี้ ต้องทั้งเต็มใจและตั้งใจที่จะให้บุญนี้ด้วย
ถึงเราจะสร้างบุญท่วมฟ้า แต่ถ้าเราไม่ตั้งใจไม่เต็มใจให้ เขาก็รับไม่ได้
เหมือนอย่างกับเรามีสมบัติอยู่ในบ้าน จะรวยเท่าไรก็ตาม
ถ้าเราไม่เอ่ยปากอนุญาต ใครก็เอาของของเราไปไม่ได้ มันผิดกฎหมาย

เช่นเดียวกันบุญของเรามีมากแต่ยังไม่ได้ตั้งใจอุทิศให้ใคร คนอื่นก็รับไม่ได้
แต่ถ้าเราตั้งใจเต็มใจให้ เขาก็รับได้

นี้เป็นหลักใหญ่ๆ ในการอุทิศส่วนกุศล ๓ ประการ

#2 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 09:56 AM

การกระทำบุพเปตพลีนี้ได้เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล
ครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แคว้นมคธ
หลังจากได้ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศนาแล้ว บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
จึงได้ยกอุทยานสวนไผ่ให้เป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา แล้วเลี้ยงพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป
มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน

เลี้ยงพระแล้วก็ดีใจ ชื่นใจ แต่ตกกลางคืนเข้า ได้ยินเสียงเปรตร้องก็ตกใจ
คิดว่าจะมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นกับเราหรือเปล่า

รีบเข้าไปกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสให้ฟังว่า

มหาบพิตรอย่าตกใจไปเลย เปรตที่มาร้องกรี๊ดอยู่เต็มวังเสียงลั่นไปหมดนั้นน่ะ
ไม่ได้มาทำเหตุร้ายอะไรให้พระองค์หรอก แต่มาขอส่วนบุญ


แล้วทำไมไม่ไปขอคนอื่น มาขออะไรกับพระองค์

ที่มาขอกับพระองค์เพราะว่า หนึ่งพระองค์มีบุญเยอะ สองเป็นญาติเก่าๆ กัน

แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเล่าเรื่องหนหลังให้ฟังว่า
ย้อนหลังไปเมื่อ ๙๒ กัป มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งบังเกิดขึ้น
และพระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์แคว้นมคธก็เกิดในชาตินั้น
ได้ตั้งใจเลี้ยงพระ ทำนุบำรุงพระอย่างดี

และด้วยความที่รักญาติ อยากจะให้ญาติได้บุญด้วย
ก็ไปตามญาติทั้งหมดมาช่วยกันเลี้ยงพระ ใครมีทรัพย์ก็บริจาคทรัพย์ร่วมกัน
ใครไม่มีทรัพย์ก็มาช่วยกันหุงข้าว ต้มแกง เลี้ยงพระกัน ทำอย่างนี้อยู่ ๓ ปี

แต่ปรากฏว่าญาติแบ่งออกเป็น ๒ พวก
ญาติพวกหนึ่งใจบุญ
คนที่มีเงินก็ควักเงินมาร่วมทำบุญด้วย คนที่ไม่มีเงินไม่มีทองก็มาช่วยกันหุงข้าวต้มแกง
มาจัดงานเลี้ยงกันเต็มที่
ญาติพวกนี้ละโลกไปแล้ว ไปเป็นเทวดาบ้างก็มี
บางคนออกบวชไปเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่ชาตินั้นก็มี

แต่มีญาติอีกพวกหนึ่ง นอกจากตระหนี่แล้ว ยังยักยอกเอาทรัพย์เอาข้าวปลาอาหารที่ถวายพระมาเป็นของตัวเสียอีก
เข้าทำนองที่เราล้อเลียนกันในปัจจุบันว่า
วัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่งอะไรทำนองนั้น

ผลสุดท้ายญาติพวกนี้ละโลกไปแล้ว ตกนรก พ้นจากนรกแล้วมาเกิดเป็นเปรต

เมื่อมาเกิดเป็นเปรตก็เดือดร้อน ทั้งหิวโหยทั้งทรมาน หิวอยู่เป็นกัปๆ

ต่อมามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในกัปหนึ่ง ก็ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
เมื่อไรจึงจะหมดเวร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็บอกว่า

เจ้าโกงของพระ ยักยอกอาหารของพระอรหันต์ ของพระพุทธเจ้ามา เวรของเจ้ามันหนักนัก
ไปรอถามพระพุทธเจ้าองค์ข้างหน้าโน่นเถอะ

เปรตพวกนี้ก็รอ น้ำตาตกเชียว กว่าพระพุทธเจ้าจะเกิดแต่ละพระองค์ก็แสนยาก ไปถามแต่ละพระองค์ๆ
ก็บอกว่า ไปถามองค์ข้างหน้าโน่นเถอะเจ้ามันเวรหนักนัก

เป็นอย่างนี้จนกระทั่งมาพบพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงบอกว่า
อีกไม่กี่กัปต่อจากนี้ จะมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเกิดขึ้นชื่อว่าพระสมณโคดม

แล้วญาติของเจ้าที่เจ้าไปโกงสมบัติเขาเอาไว้ตอนเลี้ยงพระนั่นแหละจะมาเกิดเป็นกษัตริย์ชื่อพิมพิสาร
เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะทำบุญใหญ่และอุทิศส่วนกุศลให้กับพวกเจ้า
ตอนนั้นจะพ้นวาระเป็นเปรตกัน

เปรตพวกนี้ได้ฟังว่าอีกเป็นกัปๆ ข้างหน้าจึงจะพ้นเวร แม้กระนั้นก็ยังดีใจเพราะยังมีความหวัง
เวลาผ่านไปเป็นกัปๆ เรื่อยมา
จนกระทั่งมาถึงวันที่พระเจ้าพิมพิสาร ถวายอุทยานเวฬุวันให้เป็นเวฬุวันมหาวิหาร เป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา
และเลี้ยงพระ ๑,๒๕๐ รูปด้วย

เปรตพวกนี้ก็มากันเต็มเชียว อดมา ๙๒ กัปคิดว่า

วันนี้พระเจ้าพิมพิสารอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้จะได้หมดเวรและหายหิวเสียที

ปรากฏว่าพระเจ้าพิมพิสารแม้ว่าจะเป็นพระโสดาบันแล้ว
แต่เพราะยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ภูมิธรรมยังเป็นขั้นต้นอยู่
และกรรมของเปรตพวกนี้ก็ยังบังจิตท่านอยู่ด้วย ไม่สามารถระลึกถึงญาติของตัวเองที่เป็นเปรตได้
นึกถึงญาติเหล่านี้ไม่ออก

เปรตพวกนี้ก็ปรึกษากันว่าขืนเงียบๆ อยู่อย่างนี้ ถ้าพระเจ้าพิมพิสารละโลกไปเสียก่อน
เราจะต้องอยู่อย่างนี้ไปอีกกี่กัปกัน
ไม่เอาล่ะ คืนนี้ต้องแสดงให้รู้ว่าญาติของพระองค์อยู่ที่นี่ลำบากกันมาก

ตกกลางคืน เปรตพวกนี้ก็เลยร้องลั่นขึ้นมา เพื่อให้พระเจ้าพิมพิสารได้รู้ว่ายังมีญาติที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วพระเจ้าพิมพิสารก็เลยนิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอีก ๑,๒๕๐ รูปในวันรุ่งขึ้น

แล้วก็ทำบุญเลี้ยงพระเป็นการใหญ่ แล้วพระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้

เมื่อเปรตพวกนี้อนุโมทนา บุญจากพระเจ้าพิมพิสารก็ไหลเข้าสู่ศูนย์กลางกายของเปรตพวกนี้
พอได้รับบุญเท่านั้น นอกจากจะเป็นสุขขึ้นแล้ว ยังพ้นจากสภาพเปรตไปเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าไปได้ทีเดียว
ตามกำลังบุญนั้นๆ มากราบพระเจ้าพิมพิสารกัน

เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล วิธีกรวดน้ำและหลักเกณฑ์ต่างๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงให้ว่า

* ผู้ที่จะอุทิศส่วนกุศลต้องมีบุญมาก
ถ้ามีบุญน้อยก็เหมือนกับมีเศษสตางค์นั่นเอง จะแจกใครก็ไม่เต็มที่ จึงต้องทำบุญก่อน

* ผู้ที่ละโลกไปแล้วก็อยู่ในสภาพที่พอจะรับบุญได้

* ผู้รับบุญได้ตั้งใจอนุโมทนาเมื่อเวลาเจ้าของบุญเขาอุทิศส่วนกุศลให้


เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงวันวิสาขบูชานี้
เราได้รำลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ทรงสั่งสอนอบรมให้พวกเรามีบุญมีคุณธรรม รู้จักละชั่ว ทำดี กลั่นใจให้ใสตลอดมาแล้ว

เราจึงไม่ควรลืมว่า กว่าที่เราจะมีความรู้ความดีเหล่านี้
เราได้รับการประคบประหงม ประคับประคอง โอบอุ้มค้ำชูมาจากหลายๆ มือ
และเราก็ต้องยอมรับความจริงว่าเจ้าของมือนั้น

แม้จะมีพระคุณต่อเราคนละมากๆ ก็ตาม แต่บางท่านก็เป็นประเภทที่ใจบุญ
บางท่านก็เป็นประเภทบุญปนบาปด้วย ท่านที่เป็นผู้ใจบุญ สร้างบุญของท่านด้วยตนเองมาตลอด
ท่านเหล่านั้นก็เอาตัวรอดของท่านได้

แต่ว่ายังมีอีกหลายๆ มือ อีกหลายๆ ท่าน ซึ่งก้ำกึ่ง มีทั้งบุญปนบาปอยู่ในตัว
หรือบางท่านบาปหนักบุญน้อย บางท่านบุญมากแต่บาปก็พอประมาณทีเดียว
ท่านเหล่านี้บางท่านละโลกแล้วไปไม่ดี บางท่านก็ยังก้ำๆ กึ่งๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ในฐานะที่เราเคยได้รับพระคุณจากบุคคลเหล่านั้นมา
และเราก็อยู่ในสภาพที่สามารถจะทดแทนพระคุณท่านเหล่านั้นได้


เราก็น่าที่จะต้องหาทางตอบแทนพระคุณกัน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนดีจริงๆ
ท่านเหล่านั้นละโลกตายไปแล้วก็ยังอุตส่าห์คิดถึงกันไม่ทิ้งกัน
ทำอย่างนี้จึงจะสมกับที่เราได้เข้าวัดปฏิบัติธรรม


#3 อยากมีคนอยู่กลางกาย

อยากมีคนอยู่กลางกาย
  • Members
  • 68 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 10:00 AM

สาธุ ครับ

๑.กุศลธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีขาวใส กายในกายขาวใสทั้งหมด เรียกว่าภาคพระ ภาคขาว ภาคบุญ

๒.อกุศลาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอกุศล เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีดำ กายในกายดำทั้งหมด เรียกว่า ภาคมาร ภาคดำ ภาคบาป

๓.อัพยากตาธัมมา แปลว่า ธาตุธรรมฝ่ายอัพยากตา เมื่อเราเห็นจะเห็นเป็นพระธรรมกายสีตะกั่วตัด กายในกายสีตะกั่วตัดทั้งหมด เรียกว่า ภาคกลาง ภาคไม่บูญไม่บาป


ทั้ง ๓ ธาตุธรรมนี้ ย่อมมีต้นธาตุ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมตลอดสาย
ต้นธาตุถือเป็นผู้บัญชาการในธาตุธรรมนั้นๆ ทำหน้าที่ปกครองธาตุธรรมในนิพพาน


#4 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 10:11 AM

หลวงพ่อยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่จะเล่าให้ฟัง
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๘-๙ เดือนที่ผ่านมา
อุบาสกของเราคนหนึ่งซึ่งเข้าถึงพระธรรมกายมานาน และมีคุณแม่ซึ่งอายุมากแล้ว
แต่ก็สมกับเป็นแม่ชาววัด คือท่านก็เข้าถึงพระธรรมกายมาเป็นปีๆ เหมือนกัน

วันนั้นคุณแม่ป่วยหนักลูกชายก็ไปเยี่ยมที่จังหวัด......

แม่พูดว่า
แปลกนะลูก ลุงป้าน้าอา แม้แต่พ่อของเจ้าที่ตายไปแล้วตั้งหลายปี นั่นน่ะ เขามาอยู่ที่หน้าบ้านเต็มไปหมดเลย

ลูกชายไม่เห็นก็ถามว่า แม่ไม่ตาฝาดนะ

แม่ตอบว่าไม่ฝาด
ก็นั่นไง ชี้มือไป นั่นลุงเอ็งนั่งตรงนั้น พ่อเอ็งอยู่นี่ แม่ชี้มือ

ลูกก็ถามต่อ แม่เห็นชัดนะ
ชัดสิ
เขาทำอะไรกันบ้างล่ะแม่
ก็คนโน้นนั่ง คนนี้ยืน คนนั้นเขาก็มองหน้าแม่เฉยๆ
เขามาทำอะไรกันนะลูก ?
แม่ถามลูกบ้าง

ลูกชายศึกษาธรรมะมาพอควรทีเดียวก็ตอบแม่ไปว่า

เขาจะมาทำไม เขารู้ว่าแม่บุญเยอะ เมื่อมีชีวิตอยู่พวกเขาเหล่านั้นน่ะไม่ค่อยได้ทำบุญ
ทำกันมาน้อย นิดๆ หน่อยๆ เพราะฉะนั้นตายไปแล้ว
บุญไม่พอจะขึ้นสวรรค์บ้าง บาปไม่พอจะตกนรกบ้าง
พวกเขาอยากจะได้บุญจากแม่นั่นแหละ จะได้ไปสวรรค์บ้าง
เขาจะพูดแม่ก็ไม่ได้ยิน ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลย เก้ๆ กังๆ อยู่นั่น


แล้วจะให้แม่ทำไงล่ะ แม่ถาม

ลูกชายตอบว่า
แม่ก็นึกในใจสิ ไม่ต้องพูดออกมา บอกให้เขานั่งขัดตะหมาด เดี๋ยวจะสอนวิธีเอาบุญให้

พอนึกในใจเท่านั้น ญาติที่ตายไปแล้วกี่คนกี่คนนั่งกันหมด แม่ก็หันมาบอกว่า
พวกเขานั่งกันหมดแล้วล่ะ แล้วเอ็งจะให้ทำอย่างไรต่อล่ะ

แม่ก็บอกให้เขาภาวนาสัมมา อะระหัง แล้วนึกถึงองค์พระอย่างที่แม่ทำสิ ลองบอกเขาซิ เขาทำตามไหม
พวกเขาทำแล้วล่ะ

เขาทำแล้วเป็นอย่างไรบ้างแม่
ตัวเขาสว่างขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ หน้าเขายิ้มกันหมดเลย แล้วเอ็งจะให้แม่ทำไงอีก

แม่ก็บอกให้เขาสัมมา อะระหัง นึกถึงองค์พระให้ต่อเนื่อง
แล้วก็นึกแบ่งบุญให้เขาไปด้วย ที่แม่ได้ตั้งใจทำความดีมาเท่าไรๆ และที่จะทำกันต่อไป


พอแม่กระดิกจิตนึกตามไปอย่างนี้ แม่ก็เห็นพวกเขาสว่างโพลงขึ้นมาหมด แล้วหายวับ วับ วับ ไปเลย

ลูกบอกว่า พวกเขาไปเป็นเทวดาเป็นนางฟ้ากันหมดแล้ว
แม่ดีใจเถอะว่าแม่ได้ทดแทนพระคุณลุงป้าน้าอาเหล่านั้นได้เต็มที่หมด


เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ยิ่งเป็นการยืนยันว่า ที่เราศึกษามาจากพระไตรปิฎกกับปัจจุบันนี้ตรงกัน
ยืนยันกันได้ทั้งปัจจุบันและอดีต ๒,๕๐๐ กว่าปีว่า
หลักธรรมในเรื่องของบุพเปตพลี เรื่องของการทำบุญอุทิศส่วนกุศลนั้นยังเป็นไปได้จริง

และก็ได้ตรวจสอบกับคุณยาย (มหาอุบาสิกา จันทร์ ขนนกยูง ) แล้ว

คุณยายบอกว่า

QUOTE
การที่แม่ของอุบาสกในวัดนี้ทำได้อย่างนั้น
เพราะแม่ของอุบาสกได้นั่งสมาธิต่อเนื่องมาเป็นปี และตั้งใจอุทิศส่วนกุศลจริงๆ ใจของเขานี่เพ่งจี๋เลย ทำให้ญาติเหล่านั้นซึ่งละโลกไปแล้วได้รับบุญเต็มที่ พอได้รับบุญเท่านั้นเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าปุ๊ปเลยเหมือนกัน


และพอเขาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าด้วยอำนาจบุญนั้น เนื่องจากญาณทัสสนะของคุณแม่อุบาสกนั้นยังแก่กล้าไม่พอจึงไม่ทราบว่าเขาหายไปไหน ถ้าได้ฝึกมากอีกสักหน่อยก็จะเห็นชัดว่า เมื่อเป็นเทวดาแล้ว กายละเอียดยิ่งๆ ขึ้นไปแล้ว เขากราบผู้เฒ่านั่นน่ะอย่างตั้งใจทีเดียว

อ้อ! เทวดาก็กราบมนุษย์เป็นเหมือนกัน ถ้ามนุษย์นั้นมีบุญมากพอ
เรื่องก็เป็นอย่างนี้

#5 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 10:37 AM

เพราะฉะนั้นถามว่า
พวกเราที่นั่งกันอยู่ในที่นี้ จะสามารถอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ละโลกไปแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีพระคุณกับเรา สามารถจะทำได้หรือไม่ ?


ขอตอบว่า
ได้ เพราะว่าหลักเกณฑ์ต่างๆ นั้นยังเป็นเหมือนเดิม
เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงให้กฎเกณฑ์ไว้อย่างไร
เดี๋ยวนี้กฎเกณฑ์นั้นก็เป็นอมตะ เป็นความจริงคู่โลกอยู่อย่างนั้น


เพราะฉะนั้นในวันนี้พวกเรามาประชุมพร้อมกัน รำลึกถึงพระคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้มาสร้างบุญใหญ่กันเต็มที่อย่างนี้แล้ว ก็ขอให้พวกเราตั้งใจให้ดี

หนึ่ง รำลึกถึงบุญใหญ่ที่เราได้สร้างมาแล้วตั้งแต่เช้านี้
ตั้งแต่นั่งสมาธิ ได้ทำบุญทำทาน ได้ตั้งใจรักษาศีล ได้ถวายสังฆทาน มาตั้งแต่เช้า
และที่ท่านที่เคยสร้างพระธรรมกายถวายเอาไว้ในธรรมกายเจดีย์ครั้งนี้
ก็นึกถึงบุญนั้น นั่นเป็นประการหนึ่ง

สอง แล้วตั้งใจอุทิศส่วนบุญนี้ให้กับผู้ที่เรารักเคารพคิดถึง ที่เขาละโลกไป
เขียนชื่อตัวบรรจงๆ จะฟ้องถึงความตั้งใจ ทั้งเต็มใจของเราอย่างต่อเนื่องกัน
ว่าเรานั้นทั้งเต็มใจและก็ตั้งใจที่จะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เขา

เพราะฉะนั้นตอนนี้คุณยายก็มาถึงแล้ว เมื่อหลวงพ่อธัมมชโยและคณะสงฆ์มาพร้อมกัน
เราจะได้ประกอบบุญใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก มีการถวายผ้าป่าสามัคคี ท่านก็จะได้คุมบุญให้กับพวกเรา
ให้พวกเราตั้งใจรำลึกถึงบุญให้ดี แล้วกำหนดจิตนึกถึงท่านเหล่านั้น
ให้บุญนี้ไปถึงท่านเหล่านั้นที่ละโลกไปแล้ว ให้เขาได้บุญเยอะๆ

ท่านที่ยังอยู่ในสภาพทุกขเวทนาอยู่ ก็ขอให้ได้บุญใหญ่นี้ด้วย ให้พ้นสภาพทรมานนั้นไป
ส่วนท่านที่ไปสู่สุคติดีแล้ว จะเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าดีแล้ว ก็เพิ่มบุญกันเข้าไปอีก

และสำหรับท่านใดที่คิดว่าจะสร้างบุญใหญ่ ให้กับผู้ที่มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้วให้เต็มที่
อาจจะเป็นคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณทวด

แม้ที่สุดผู้ที่ไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขอะไรกับเรา
แต่ว่าเคยมีพระคุณกับเราอย่างมาก จะนึกอุทิศส่วนกุศลให้เป็นทั่วๆ ไปนิดๆ หน่อยๆ
ก็ไม่สมกับพระคุณของท่านเลย อย่างพระคุณของปู่ของย่า
ต้นตระกูลที่ตั้งตระกูลมามีบ้านช่องห้องหอ ทิ้งทรัพย์สมบัติให้ลูกหลานตกทอดกันมาตั้งกี่ชั่วคน
และเราก็ยังไม่ได้ทำอะไรให้ท่านได้เต็มที่น่ะ

ถ้าครั้งนี้นึกถึงพระคุณของท่านได้แล้ว ตั้งใจเลยทีเดียว ถ้าพระคุณมากขนาดนี้ปานนี้
สร้างพระธรรมกายประจำตัวให้ท่านสักองค์หนึ่ง ให้ท่านได้บุญเยอะๆ เกิดไปอีกกี่ภพกี่ชาติเบื้องหน้า
จะได้ไปเกิดอยู่ในวงบุญวงเดียวกัน จะได้เป็นครอบครัวธรรมกายต่อเนื่องไม่ขาดสาย

เป็นต้นแบบของคุณธรรมความดีให้ชาวโลกทั้งโลกกันไปทุกยุคทุกสมัย
ถ้าทำอย่างนี้ก็จะได้ดียิ่งขึ้น

ถ้าใครนึกถึงพระคุณท่านใดได้แล้ว ให้เขียนชื่อเขียนนามสกุลลงไปให้ ครบบริบูรณ์
แล้วนำมาใส่ไว้ในภาชนะข้างหน้านี้ จะได้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน
หรือถ้าปู่ย่าตาทวดของเราในอดีต ยุคโน้นยังไม่มีนามสกุล ก็เขียนชื่อของท่านด้วยตัวบรรจง
แล้วประเดี๋ยวถึงเวลาก็ตั้งใจอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล

ตอนที่คุณยายท่านคุมบุญตอนที่พระกำลังอนุโมทนา ให้พร
ถ้าเราทำกันอย่างนี้บุญก็ถึงกันเต็มที่ แล้วก็มีข้อแม้ด้วย
ขณะที่อุทิศส่วนกุศลนั้นน่ะ ใจอย่าให้วอกแวกไปไหน

ท่านที่เข้าถึงปฐมมรรคแล้ว ให้นึกหน้าท่านตัวท่าน ที่เราต้องการจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนั้นน่ะ
ผุดขึ้นมาอยู่ในดวงปฐมมรรคได้ละก็ดีเยี่ยม

ถ้าเราเข้าถึงองค์พระแล้ว ก็มองให้เห็นทุกท่านที่เราตั้งใจจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้อยู่ในกลางองค์พระ
อย่างนั้นบุญไม่มีตกไม่มีหล่น

ท่านเหล่านั้นเมื่อเราอุทิศส่วนกุศลให้แล้ว เขาก็ได้บุญเต็มที่
เช่นเดียวกับที่คุณแม่ของอุบาสกของเราในวัดนี้ ที่เห็นกันชัดๆ เลยว่า

อุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลให้ปุ๊ปญาติที่ละโลกไปแล้ว
ที่นั่งกันอยู่นั่นแหละสว่างและก็หายวับไปกับตาเลย ไปอย่างนั้นทีเดียว

ถ้าทำอย่างนี้การมาสร้างบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลเป็นบุพเปตพลีในวันวิสาขบูชานี้ก็จะเป็นไปอย่างสมบูรณ์
เราเองก็ได้บุญใหญ่ นึกถึงเมื่อไหร่ก็ชื่นใจ ชุ่มใจเมื่อนั้น

ว่าเราเป็นบุคคลที่มีกตัญญูกตเวที เป็นคนดีของโลกที่หาได้ยากในทุกยุคทุกสมัย

แล้วบุญใหญ่นี้แหละจะประคับประคองให้เรากับท่านเหล่านั้นได้เกิดไปร่วมสร้างบุญสร้างบารมีกันต่อไปในภายภาคหน้า

จะเป็นต้นแบบของบุญต่อไปในอนาคต
จะเป็นต้นแบบของคุณงามความดีต่อไปในภายภาคหน้า
จะเป็นต้นแบบของวงบุญต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะบังเกิดในภพไหนๆ ชาติใดๆ เราจะได้ไปเกิดร่วมกัน
ไปสร้างบารมีด้วยกันจนกว่าวันเข้าพระนิพพาน.?


ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#6 131072

131072
  • Members
  • 237 โพสต์
  • Gender:Not Telling

โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 12:37 PM

อนุโมทนา สาธุค่ะ

#7 sunshining

sunshining
  • Members
  • 111 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 01:24 PM

อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ...สาธุ

#8 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 10 April 2008 - 06:07 PM

เรื่องเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร

ในกัปที่ ๙๒ นับจากภัทรกัปนี้
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปุสสะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก
มีพระราชบิดาพระนามว่า ชัยเสนะ เป็นพระราชาผู้ครองนครกาสี
มีพระราชมารดาผู้ทรงเป็นพระราชเทวีพระนามว่า สิริมา
มีพระกนิษฐภาดา (น้องชาย) ต่างพระมารดากัน ๓ พระองค์
ทั้ง ๓ พระองค์มีขุนคลังคนเดียวกัน มีขุนส่วยในชนบทคนเดียวกัน

พระราชโอรสทั้ง ๓ ของพระราชาทรงมีพระประสงค์จะทรงทำนุบำรุงพระบรมศาสดาผู้เป็นพระเชษฐภาดา (พี่) ของพระองค์
ตลอด ๓ เดือน จึงทูลขออนุญาตพระราชบิดา

เมื่อพระราชบิดาได้ทรงอนุญาตแล้ว พระราชโอรสทั้ง ๓ จึงทรงมอบหมายให้ขุนส่วยสร้างวิหารสำหรับพระศาสดา
และพระภิกษุสงฆ์สาวก แล้วได้ทรงนิมนต์พระศาสดาไปมอบถวายวิหาร

เมื่อพระศาสดาทรงรับแล้ว พระราชโอรสทั้ง ๓
ก็ได้รับสั่งให้ขุนคลังและขุนส่วยให้จัดการทำภัตตาหารถวายแด่พระผู้มีพระภาค
พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์สาวก ๙ หมื่นรูป

โดยทรงมอบค่าใช้จ่ายไว้ให้ ส่วนพระราชโอรสทั้ง ๓ นั้น
พร้อมด้วยข้าราชบริพาร ก็ได้ทรงสมาทานศีล ๑๐ นุ่งผ้ากาสายะ (ผ้าย้อมด้วยน้ำฝาด) ประทับอย่างสงบ
โดยไม่รับสั่งอะไรอีกในวิหารนั้นเอง ตลอด ๓ เดือน

ขุนคลังพร้อมด้วยภรรยา และขุนส่วย รับพระบัญชาแล้ว และพาบุรุษชาวชนบท ๑๑๐,๐๐๐ คน
ทำภัตตาหาร ถวายทานตามวาระ แด่พระศาสดาและพระสงฆ์สาวก

บรรดาพวกชาวชนบททั้งหมดนั้น มีพวกหนึ่งประมาณ ๘๔,๐๐๐ คน
ได้ถูกความโลภเข้าครอบงำ
ได้กินไทยธรรมด้วยตนเองบ้าง
ได้ให้แก่พวกลูกหลานของตนไปกินบ้าง
บางพวกมีจิตริษยา เอาไฟเผาโรงภัตตาหารเสียบ้าง
เมื่อพวกคนเหล่านี้ตายไปต่างก็ไปบังเกิดในนรกถึง ๙๒ กัป


ส่วนพระราชโอรสทั้ง ๓ พร้อมด้วยข้าราชบริพาร ขุนคลัง ภรรยา และ ขุนส่วย
และบริวารผู้ประกอบกรรมดีด้วยทานกุศล ศีลกุศล และภาวนากุศล
ต่างก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ จากสวรรค์ถึงสวรรค์ (ชั้นต่างๆ) ตลอด ๙๒ กัป


ครั้นถึงกาลเสด็จอุบัติขึ้นในโลกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม ของเรานี้
พระราชโอรสทั้ง ๓ พร้อมทั้งข้าราชการบริพาร จุติจากสวรรค์แล้ว
ได้มาบังเกิดในสกุลพราหมณ์ในแคว้นมคธ
ได้เป็นชฎิล (นักบวชประเภทหนึ่ง เกล้าผมมุ่นเป็นมวยสูงขึ้น มักถือลัทธิบูชาไฟ บางครั้งจัดเข้าในพวกฤๅษี)
๓ พี่น้องคือ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ พร้อมด้วยชฎิลบริวาร ๑,๐๐๐ คน

ส่วนขุนคลัง ได้มาบังเกิดเป็นมหาเศรษฐีชื่อ วิสาขะ (คนละคนกับมหาอุบาสิกาวิสาขา)
ภรรยาขุนคลังได้มาเกิดเป็นธิดามหาเศรษฐีชื่อ ธัมมทินนา ขุนส่วยได้เป็นพระเจ้าพิมพิสาร
บริวารทั้งหลายได้มาเป็นข้าราชบริพารของพระเจ้าพิมพิสาร

ส่วนบรรดาพวกชาวชนบทที่ถูกความโลภเข้าครอบงำแล้วกินภัตตาหารเครื่องไทยทาน
และเอาภัตตาหารเครื่องไทยทานให้ลูกหลานไปกินด้วย
และพวกที่ถูกความริษยาครอบงำแล้วเผาโรงภัตตาหาร เหล่านั้น
เมื่อไปสู่นรก จากนรก (ขุมใหญ่) ได้เข้าถึงนรก (ขุมเล็ก)
ได้รับความทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น จนถึง ๙๒ กัป

ครั้นถึงสมัยที่พระพุทธเจ้ากัสสปะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ก็ได้พ้นเวรจากนรกมาเกิดเป็นเปรตอีก
ได้รับความทุกข์ทรมานด้วยความอดอยากหิวโหยยิ่งนัก เห็นพวกเปรตตนอื่นๆ
เขามีญาติทำบุญอุทิศให้ ส่วนพวกตนไม่ได้รับกับเขา จึงไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้ากัสสปะ ว่า

“พระองค์ผู้เจริญ ทำไมหนอ พวกข้าพเจ้าจะพึงได้สมบัติ (ภัตตาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ) เช่นนั้นบ้าง ?”

พระพุทธเจ้ากัสสปะได้ตรัสแก่พวกเปรตเหล่านั้นว่า

“ในกาลนี้ พวกเธอยังไม่ได้ ในอนาคตกาล (อีก ๑ พุทธันดร)
ญาติของพวกเจ้าจักเป็นพระราชาพระนามว่าพิมพิสาร ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าโคดม
พระเจ้าพิมพิสารนั้นจักถวายทานแด่พระพุทธเจ้านั้น
แล้วทรงอุทิศผล (ทาน) แก่พวกเจ้า ครั้งนั้น พวกเธอจึงจักได้.”


พวกเปรตเหล่านั้น จึงได้แต่รอหวังที่จะได้รับส่วนบุญจากพระเจ้าพิมพิสาร
ด้วยความอดอยากหิวโหยต่อมาอีก ๑ พุทธันดร
(พุทธันดร คือ ช่วงเวลาที่โลกว่างจากพระพุทธศาสนา
คือช่วงเวลาที่ศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งสิ้นแล้ว และพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ยังไม่อุบัติ)

ครั้นถึงกาลเสด็จอุบัติของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้
พวกเปรตจึงได้มีโอกาสได้รับส่วนบุญที่พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงถวายทาน (ภัตตาหาร ผ้าไตรจีวร และเสนาสนะ)
แด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข และได้ทรงอุทิศให้

เปรตเหล่านั้นได้อนุโมทนาบุญแล้ว จึงได้รับส่วนบุญ เป็นสมบัติทิพย์ (น้ำ อาหาร ผ้า และปราสาท เป็นต้น)
ได้เกิดขึ้นเพื่อเปรตเหล่านั้น ดังที่พระพุทธโฆษาจารย์ได้อรรถาธิบายไว้ว่า

เปรตแม้เหล่านั้น หวังว่า
“วันนี้ พวกเราพึงได้ (อะไรๆ) บ้างเป็นแน่”

ดังนี้แล้ว มาสู่เรือนแห่งญาติในกาลก่อน ด้วยสำคัญว่าเรือนของตน ได้ยืนอยู่ ณ ที่ทั้งหลายมีภายนอกฝาเป็นต้น,

เปรตเหล่านั้น เสวยผลแห่งความริษยาและความตระหนี่อยู่
บางพวกมีหนวดและผมรุ่มร่ามมีหน้าดำ มีเส้นเอ็นหย่อน
และอวัยวะใหญ่น้อยห้อยย้อย ผอม หยาบ และดำ
เหมือนกับต้นตาลที่ถูกไฟป่าไหม้แล้ว ตั้งอยู่ ณ ที่นั้นๆ,

บางพวกมีสรีระอันเปลวเพลิงตั้งขึ้นแต่ท้อง
เพราะการสีแห่งไม้สีไฟคือความกระหายแล้วแลบออกจากปากเผาอยู่,
บางพวกไม่ได้รสอย่างอื่น (นอก) จากรสคือความหิวกระหาย
เพราะแม้ได้ (น้ำและโภชนะ) แล้ว ก็เป็นผู้ไม่สามารถบริโภคน้ำและโภชนะได้ ตามต้องการ
เพราะความที่ตนเป็นผู้มีช่องคอประมาณเท่าปลายเข็ม
และเพราะเป็นผู้มีท้องมีอาการดุจภูเขา,

บางพวกได้ของสกปรกมีเลือด หนอง และไขข้อเป็นอาทิ อันไหลออกจากปาก (แผล) ฝีและต่อม
ซึ่งแตกแล้วของกันและกันหรือของสัตว์เหล่าอื่น ลิ้มเลียอยู่ปานดังน้ำอมฤต.
พระศาสดาได้ทรงทำโดยประการที่เปรตเหล่านั้นทั้งหมด
ซึ่งมีรูปอันแปลก ไม่น่าดู และมีสรีระอันน่ากลัวอย่างยิ่ง ได้ปรากฏแล้วแด่พระราชา.

พระราชา เมื่อจะถวายทักษิโณทก ทรงอุทิศว่า “ขอทานนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของเรา.”

ในขณะนั้นเอง สระโบกขรณีที่ดาดาษด้วยปทุมชาติ บังเกิดเพื่อเปรตเหล่านั้นแล้ว.
เปรตเหล่านั้น อาบและดื่ม (น้ำ) ในสระโบกขรณีนั้น
มีความกระวนกระวายความลำบากและความกระหายสงบระงับแล้ว มีวรรณะเพียงดังทองคำ.

พระราชาถวายยาคูของเคี้ยวและของบริโภคทั้งหลายแล้ว ทรงอุทิศให้ (อีก).
ยาคูของเคี้ยวและของบริโภคทั้งหลายอันเป็นทิพย์
ก็บังเกิดเพื่อเปรตเหล่านั้นในขณะนั้นเหมือนกัน.
เปรตเหล่านั้น บริโภคอาหารวัตถุมียาคูเป็นต้นเหล่านั้นแล้ว ได้มีอินทรีย์กระปรี้กระเปร่าแล้ว.

พระราชาถวายผ้าและเสนาสนะแล้ว ทรงอุทิศให้ (อีก).
เครื่องอลังการวิธีทั้งหลาย มีผ้า ยาน ปราสาท ผ้าปูนอน และที่นอนอันเป็นทิพย์ เป็นต้น
บังเกิดเพื่อเปรตเหล่านั้นแล้ว.

ก็สมบัตินั้นทั้งหมดนั้นแล ของเปรตเหล่านั้น
ย่อมปรากฏได้โดยประการใด พระศาสดาทรงอธิษฐานโดยประการนั้น.

พระราชาทอดพระเนตรเห็นสมบัตินั้นแล้ว ได้มีพระราชหฤทัยเบิกบานอย่างยิ่ง.

ลำดับนั้น พระศาสดา เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว เมื่อจะทรงทำอนุโมทนา (และ)
เมื่อจะทรงแสดงความที่เปรตทั้งหลายมายืนอยู่ในที่นั้นๆ แด่พระราชา ตรัสคาถาที่ ๑ ว่า

“เปรตทั้งหลายพากันมาสู่เรือนของตนๆ ยืนอยู่ ณ ภายนอกฝาบ้าง
ที่ทาง ๔ แพร่งและ ๓ แพร่งบ้าง ที่บานประตูบ้าง.”



ในกรณีที่ผู้วายชนม์แล้วได้ไปบังเกิดในภพภูมิต่างๆ ทั้งสุคติภูมิ อย่างเช่น มาเกิดเป็นมนุษย์
หรือเทพยดา พรหม อรูปพรหม และทั้งทุคคติภูมิ
อย่างเช่น ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น
แล้วมีญาติทำบุญกุศลอุทิศให้นั้น ผู้ปฏิบัติถึงธรรมกายได้รู้เห็นอย่างนี้ ว่า

ผู้ใดมีญาติหรือบุคคลอื่นทำบุญกุศล มีทานกุศล ศีลกุศล และภาวนากุศล แล้วอุทิศให้
ผู้นั้นได้ทราบการบุญกุศลนั้นแล้วกระทำการอนุโมทนา

คือการแสดงกิริยารับทราบ ยินดี เปล่งวาจาสาธุการว่า “สาธุ” ด้วยความเคารพ ย่อมได้รับส่วนบุญนั้น

และจะปรากฏเห็นเป็นสายบุญจากพระนิพพานมาจรดตรงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย
ตรงศูนย์กลางกายของผู้ได้ประกอบการบุญกุศลด้วยตนเองนั้นให้ใสสว่างขึ้นก่อน

และเมื่อตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลให้ญาติมิตรแล้ว
สัตว์โลกใดที่เป็นมนุษย์ (ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ว่าเป็นญาติกันหรือไม่ก็ตาม) ก็ดี
ทวยเทพทั้งหลายใดก็ดี ปรทัตตูปชีวิกเปรต

และแม้สัตว์นรก (ที่มีญาติสาโลหิต (สาโลหิต คือ ผู้ร่วมสายเลือด, ผู้สืบสกุลมาโดยตรง)
ผู้ปฏิบัติได้ถึงธรรมกาย เจริญฌานสมาบัติแล้ว
ได้ถึงและแจ้งข่าวการบุญการกุศลนั้นให้ทราบได้) ใดก็ดี
ที่ได้รับทราบการบุญกุศลที่ญาติได้บำเพ็ญแล้วอุทิศให้ แล้วได้กระทำอนุโมทนาบุญนั้น
ก็จะปรากฏสายบุญใสสว่าง จากศูนย์กลางกายของญาติผู้ทำบุญกุศลแล้วอุทิศให้นั้น
ไปจรดยังดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายของสัตว์ผู้ได้กระทำการอนุโมทนาบุญนั้น ให้ใสสว่างเพิ่มขึ้น

เฉพาะกรณีของเปรต (ปรทัตตูชีวิกเปรต) และแม้สัตว์นรกตามที่กล่าวแล้วนั้น
จะเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายของเขาใสสว่างขึ้น

ถ้าบุญนั้นสำคัญมาก เช่น ทานกุศล (ปัจจัย ๔) ที่ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ ผู้ทรงคุณประเสริฐ
และ/หรือ ผู้กำลังปฏิบัติธรรมเพื่อขจัดขัดเกลากิเลส ศีลกุศล และ ภาวนากุศล ที่ญาตินั้นได้ประกอบบำเพ็ญเอง
จึงเป็นบุญใหญ่กุศลใหญ่ แล้วอุทิศให้ และสัตว์ผู้อนุโมทนาบุญนั้นก็ใกล้จะพ้นเวร

เมื่อสายบุญจากญาติผู้อุทิศให้ไปจรดที่ดวงธรรมที่ทำให้เป็นสัตว์นั้นซึ่งแต่เดิมเศร้าหมองอยู่
ก็จะค่อยๆ ปรากฏใสสว่างขึ้น และขยายโตขึ้น แล้วเปลี่ยนภพภูมิตามระดับภูมิธรรมที่มีผู้อุทิศให้
และที่สัตว์ผู้อนุโมทนานั้นรับได้

เช่นถ้าเป็นระดับมนุษยธรรม ก็จะปรากฏเป็นกายมนุษย์ละเอียด ไปเกิดในมนุษย์โลกต่อไป
ถ้าเป็นระดับเทวธรรม ดวงธรรมก็จะปรากฏใสสว่างโตขึ้น
แล้วก็จะปรากฏเป็นกายทิพย์ พร้อมด้วยทิพย์สมบัติ มีทิพยวิมานเป็นต้น
ตามส่วนแห่งบุญกุศลที่ตนเคยทำ แล้วระลึกได้ และที่ตนได้อนุโมทนาบุญจากญาติที่ทำบุญอุทิศให้นั้น
ได้เปลี่ยนภพภูมิไปทันที

ถ้าบุญที่ญาติทำแล้วอุทิศให้นั้น เป็นบุญเล็กน้อย และประกอบกับสัตว์ที่อนุโมทนาบุญนั้น
ยังจะต้องรับผลจากเวรกรรมเก่าอีกมาก

การอนุโมทนาบุญนั้น ก็ได้รับผลบุญนิดหน่อยและสายบุญนั้นด้วย
ยังดวงธรรมของสัตว์นั้นให้ใสขึ้น ดีขึ้นกว่าเก่า นิดหน่อย
ไว้รอโอกาสที่ญาติจะทำบุญกุศลให้สำคัญยิ่งขึ้นด้วยทั้งทานกุศล ศีลกุศล แล้วอุทิศให้
ก็จะได้อนุโมทนาบุญและจึงจะได้รับผลบุญที่ยิ่งขึ้นไป

เพราะฉะนั้น ญาติผู้ยังมีชีวิตอยู่ ประสงค์จะทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้ญาติผู้ที่ตนรัก
เคารพนับถือ ที่ล่วงลับไปแล้ว พึงทำบุญด้วยทั้งทานกุศล ศีลกุศล และด้วยทั้งภาวนากุศล และด้วยสติปัญญาอันเห็นชอบ


จึงจะเป็นมหากุศลที่ละเอียดและประณีต อย่างเช่น
จะประกอบทานกุศล ก็พึงรู้อานิสงส์ ว่า ควรจะทำบุญอะไร กับใคร อย่างไร จึงจะเป็นมหานิสงส์

เหมือนอย่างจะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็จะต้องรู้ว่าจะปลูกด้วยเมล็ดพันธุ์พืชอะไรดี
จะปลูกบนพื้นที่ดินที่ไหนดี และจะปลูกอย่างไร จึงจะได้ผลดี

จะรักษาศีล เจริญภาวนา ก็พึงรู้อานิสงส์ ว่า จะปฏิบัติธรรมนี้อย่างไร

จะเรียนรู้วิธีปฏิบัติจากครูอาจารย์สำนักไหน จึงจะถูกอัธยาศัย และถูกวิธี ให้ได้ผลดี
ก็สามารถยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านผู้อื่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เป็นญาติมิตรที่รัก ที่เคารพนับถือ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ให้ได้ผลสูงที่สุด
.......
จากกรณีนี้ พึงพิจารณาเห็นด้วยปัญญา ว่า

ผู้ที่ไม่มีศรัทธาในบุญกุศล มีทานกุศล ศีลกุศล และภาวนากุศล เป็นต้น
และไม่ประกอบการบุญกุศลให้ได้เป็นเสบียงเลี้ยงตัวต่อไปในอนาคตภพชาตินี้และในสัมปรายภพ
คือในภพภูมิต่อไป
และแถมยังทำบาปอกุศลไว้อีกมาก เมื่อตายไป ก็มีทุคติเป็นที่หวัง
คือ มีโอกาสมากที่จะไปเกิดเป็นอสุรกาย เปรต สัตว์นรก และสัตว์เดรัจฉาน
ดังที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสว่า

“จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ, ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา.”

“เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว, ทุคคติเป็นที่หวัง.”


(ม.มู.๑๒/๙๒/๖๔)

เพราะฉะนั้น ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ จึงควรบำเพ็ญกุศลคุณความดี มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ด้วยตนเอง
ด้วยใจศรัทธา ด้วยปัญญาอันเห็นชอบ
จะได้เป็นเสบียงเลี้ยงตนต่อไปในอนาคต ในภพชาตินี้ และในสัมปรายภพ
ตราบเท่าถึงได้บรรลุมรรคผล นิพพาน ที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง และที่เป็นบรมสุข ต่อไป


โดย ซียู อะเกน

http://www.dhammajak...4e9a3e774a745f8

#9 Regenbogen

Regenbogen
  • Members
  • 441 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 April 2008 - 03:49 PM

อนุโมทนากับธรรมทานนี้ด้วยนะ สาธุ

#10 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 April 2008 - 04:42 PM

Sa Thu Krub

#11 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 April 2008 - 01:54 AM

อนุโมทนากับธรรมทานนี้ด้วยนะ สาธุ

ไฟล์แนบ


พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์