คอลัมน์ บังอบายเบิกฟ้า โดย ธรรมเกียรติ กันอริ
นสพ.ไทยโพสต์ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓
“พระพุทธองค์ที่เป็นประวัติศาสตร์” ( The Historical Buddha )
เขียนโดย ดร.เอช.ดับบลิว.ชูมันน์ (H.W.Schumann) เป็นภาษาเยอรมันที่แปลเป็นอังกฤษในปี 1989
ในที่นี้จะขอยกเอาตอนสั้นๆ เพื่อเปรียบเทียบความเข้าใจของผู้เขียนที่
เป็นคนตะวันตกกับความเข้าใจของเราต่อพระบาลีฉบับเดียวกัน
และเปรียบ เทียบสาระของคำสอนที่ผู้เขียนเน้นเพื่อผู้อ่านชาวตะวันตกเห็นความเป็นระบบ และความเป็นรูปธรรมวิชาการของพุทธศาสนาที่แปลกต่างไปจากศาสนาอื่นๆ
ซึ่งคิดว่าการแปลในที่นี้เจ้าของลิขสิทธิ์คงไม่ว่ากระไร
เห็นเขียนห้ามไว้แต่เฉพาะการกระทำเพื่อการค้าหรือธุรกิจเท่านั้น
ชูมันน์เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า
พระพุทธเจ้าไม่เคยคิดสร้าง อุดมการณ์หรือทฤษฎีอะไรจากความคิดฝันหรือจากจินตนาการของพระองค์เอง
ดังที่สุนัคขัตต์เข้าใจ แต่พระองค์เป็นผู้เสนอความจริงตามที่เป็นจริง
พระองค์คือผู้เปิดเผยกฎของธรรมชาติที่ค้นพบแล้ว เช่นเรื่องกฎแห่งกรรม และการเกิดใหม่
ซึ่งเป็นไปตามกรรมอันเป็นกฎที่มีแต่เดิมอยู่แล้ว
พระองค์เอามาอธิบายใหม่ อย่างเป็นรูปธรรมของเหตุก่อเกิดผลซึ่งทุกคนสามารถจะหลุดพ้น
จากกฎแห่งธรรมชาตินี้ได้ก็ด้วยมรรคมีองค์แปด
พระพุทธเจ้าบอกว่า คนทุกคนจะเกิดใหม่เป็นไปตามกฎแห่งกรรมโดยไม่ยกเว้น รวมทั้งคนที่ ไม่เชื่อในเรื่องนี้
ี้
พระพุทธเจ้าไม่เคยแสดงความกังวลใจใดๆ แม้แต่น้อยต่อ ความรู้หรือการค้นพบความจริงใดๆ ที่มีมาก่อน
หรือว่าจะเป็นการค้นพบของใคร ตรงกันข้าม
พระองค์จะรับเอาความรู้ใดๆ ที่สามารถจะนำไปสู่ ความหลุดพ้นมาใช้อย่างตรงไปตรงมา เพราะความรู้ความจริงอันยัง ประโยชน์ต่อการหลุดพ้นได้จริง ย่อมไม่ใช่อยู่ที่ว่าจะสำคัญที่ใครเป็นคนพบ ก่อนหลังอย่างไร
พระองค์จะอธิบายความจริงเหล่านั้นโดยรวมกับการค้นพบ
ของพระองค์เองเสียใหม่ให้เข้าใจง่ายเป็นรูปธรรมเพียบพร้อมด้วยตรรกะทางโลกอย่างสมบูรณ์
ชนิดที่ไม่เคยมีผู้ใดสามารถทำได้เช่นนั้นมาก่อน
ทำให้ทุก คนต้องยอมรับว่า ความคิดและความรู้ของพระพุทธองค์เป็นสิ่งใหม่
ยกตัวอย่าง
ไม่มีใครสามารถจะอธิบายเรื่องของความเป็นอนัตตากับการเกิดใหม่ ได้อย่างหมดจดเช่นพระองค์
ไม่มีใครสามารถอธิบายเรื่องของทุกข์ที่ เป็นธรรมชาติของการเกิด
และการดำรงอยู่ของชีวิตได้อย่างสมบูรณ์รอบด้านที่ เปี่ยมด้วยตรรกะอย่างเลอเลิศได้เช่นพระองค์
ไม่มีใครอธิบายกฎของการเกิด วิวัฒนาการของสรรพสิ่งได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจนเช่นพระองค์
พุทธธรรมของ พระสมณโคตมะนั้นนับได้ว่าเป็นการสมานความรู้ความจริงที่ค้นพบมาก่อน ให้เข้ากับญาณทัสนะที่พระองค์รับรู้ใหม่จากภายในให้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างกลมกลืน
ที่แม้ว่าความรู้ความจริงที่อยู่เหนือการรับรู้ของประสาทสัมผัสจะล้ำลึก
และเร้นลับ แต่สามารถเข้าใจได้ด้วยปัญญาด้วยการปฏิบัติ
ชูมันน์สรุปว่า หลักการของคำสอนอาจแสดงตรรกะที่สามารถ พิสูจน์เป็นรูปธรรม ดังนี้
- การดำรงอยู่ของสรรพสิ่งในทุกรูปแบบเป็นทุกข์ ชีวิตทุกชีวิต เมื่อเป็นชีวิต ล้วนเป็นไปด้วยปรากฏการณ์ที่เรียกว่าความทุกข์ความขัดแย้งทั้งสิ้น
- ความเจ็บปวด ความไม่เที่ยงไม่แน่นอน ความสูญเสียพลัดพรากจากกัน และความไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนาอยากได้
- ชีวิตที่ยังไม่บรรลุความหลุดพ้น ย่อมต้องมีการเกิดใหม่ ทุกข์ไม่ได้สิ้นสุดลงไปด้วยความตายแต่จะ ต่อเนื่องเป็นการเกิดใหม่ ในรูปของการดำรงอยู่ใหม่
- การเกิดใหม่ถูกควบคุมโดยกฎธรรมชาติ ของการกระทำที่มี เหตุปัจจัยทางจริยธรรม
การทำกรรมที่ดี โดยเฉพาะที่เป็นเจตนา (สังขาร) ที่ดีจะยังการเกิดใหม่ในสภาพที่ดีกว่า
กรรมเจตนาที่ไม่ดีจะเกิดใหม่ในสภาพ ที่เลวกว่าเดิม กรรมดีคือกุศลกรรม กรรมไม่ดีเป็นอกุศลกรรม
- สรรพสิ่งเป็นอนิจจังเป็นอนัตตา เมื่อไร้ซึ่งอัตตาก็ไม่มีซึ่ง “วิญญาณ” ที่ไม่สิ้นสุด
วิญญาณย่อมสิ้นสุดพร้อมกับร่างกาย การเกิดใหม่
ไม่ใช่เป็นการสืบเนื่องโดยตรงของวิญญาณเดิม (metempsychoan) แต่เป็น กระบวนการเปลี่ยนแปลงผ่านลำดับของเหตุปัจจัยที่กระทำต่อกันและกัน
- พลังหรือแรงผลักดันวัฏจักรของการเกิดใหม่ให้ดำเนินไปได้มี สองประการ คือ
ความอยาก ความปรารถนา (ตัณหา) กับความไม่รู้ (อวิชชา)
ซึ่งแต่ละประการของทั้งสองสามารถกำจัดได้ด้วยการปฏิบัติธรรม
ซึ่งจะนำไปสู่การ “รู้” ด้วยปัญญา และด้วยการควบคุมตนเอง
- การปลดเปลื้องพันธะสู่การหลุดพ้นจึงเป็นการหยุดยั้งไม่ให้
วัฏจักรของการเวียนว่ายตายเกิดสามารถดำรงต่อไปได้ นั่นคือการยุติของตัว
ตนของนามรูปโดยสิ้นเชิง (empirical personality) ซึ่งก็คือนิพพาน
ความเป็นจริงทางโลภแห่งประสาทสัมผัสเป็นเพียงการ แสดงออก หรือมายาของความจริงแท้
ในพระบาลีนั้นคำสอนของพระ พุทธองค์จะเน้นไปที่กรรมกับการเกิดใหม่
เน้นทุกข์และการหลุดพ้นจากทุกข์ ดังเช่นประเด็นหลักสำคัญๆ ที่ยกมาข้างต้น อันเปรียบเสมือนกุญแจที่จะปลด เปลื้องให้มนุษย์สามารถหลุดพ้นจากทุกข์สู่ความเป็นอิสระได้
การค้นพบของ พระพุทธองค์คือ ความเชื่อมั่นอย่างจริงใจที่ทำให้ผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางของ
พระพุทธเจ้าทุกคนเชื่ออย่างมั่นใจตามไปด้วยว่า
ผู้ใดก็ตามที่ปรารถนาความ หลุดพ้นสามารถที่จะหลุดพ้นได้จริง
และอย่าได้เข้าใจไขว้เขวต่อคำสอนว่าเป็นไปในแง่ลบ
แม้ว่าพระองค์จะบอกว่าการดำรงอยู่ของชีวิตเป็นทุกข์ แต่นั่นไม่ใช่เป็นลบหรือเป็นบวก
แต่เป็นข้อเท็จจริง
แท้จริงแล้วคำสอนของ พระพุทธเจ้าไม่มีตรงไหนที่เป็นการมองโลกในด้านลบแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม สาวกหรือผู้ปฏิบัติพุทธธรรมอย่างแท้จริงทุกคนเห็นมีแต่ความอิ่มเอิบปีติกันโดยถ้วนทั่ว
ประหนึ่งว่าผู้ปฏิบัติพุทธธรรมคือผู้ป่วยที่แพทย์ได้วินิจฉัยและอธิบาย
ความเป็นมาของโรคให้รู้อย่างแจ่มแจ้ง
และบอกด้วยว่าโรคสามารถรักษาให้ หายขาดได้โดยตัวของตัวเองและด้วยเส้นทางภายใน
โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่ หรืออาศัยผู้อื่นผู้ใดจากภายนอก
………………………………………..
*** ดร.เอช.ดับบลิว.ชูมันน์ (H.W.Schumann)
เป็นนักวิชาการผู้ค้นคว้าพุทธปรัชญาและพระบาลีมาตลอด ชีวิตอย่างลึกซึ้ง
ทั้งที่อินเดีย ที่ศรีลังกา และที่ประเทศพม่า
รวมทั้งเป็น อาจารย์สอนพุทธศาสนาของมหาวิทยาลัยฮินดูที่กรุงพาราณสีที่อินเดีย
และมหาวิทยาลัยที่กรุงบอนน์