ทำบุญอย่างไรไม่ให้เดือดร้อนผู้อื่น
#1
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 11:12 AM
การทำบุญนั้น ถ้าลำพังตัวคนเดียวคงไม่เป็นไร จะทำอย่างไรก็ได้ดังนั้นควรทำให้มากที่สุด
หรือกรณีที่เป็นมหาอุบาสถ อนาถบิณฑิกะเศรษฐี ย่อมทำทาน โดยไม่มีข้อจำกัด
ส่วนคนที่มีภาระครอบครัว ลูก เมีย พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ควรใช้ธรรมะข้อใดพิจารณาในการทำบุญ (ทาน)
ตรงนี้มีข้อสังเกตุ ในกรณีสามีภรรยา หาเงินมาด้วยกัน ถ้าสามีหรือภรรยาอยากทำทานมาก ๆ แต่อีกฝ่ายไม่ชอบ
ภรรยาชอบฟุ่มเฟือย จึงต้องแอบทำบ้างหรือ อย่างนี้ได้บุญหรือไม่
พระโพธิสัตว์ทำทานอย่างไรไม่ให้เดือดร้อนครอบครัว ยกเว้นชาติที่เป็นพระเวสสันดร
#2
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 12:19 PM
ตัวอย่างที่ 1
เรื่องราวของนายสุมน มาลาการ ซึ่งเป็นคนเก็บดอกไม้ไปถวายพระเจ้าพิมพิสารวันละ 8 ทะนานทุกวันไม่เคยขาด เขามีภรรยา 1 คน วันหนึ่งเขาทำหน้าที่ปรกติ แต่แลไปเห็นพระพุทธเจ้าเดินบิณฑิบาตร เกิดจิตเลื่อมใสศรัทธา อยากจะหาอะไรบูชา แต่ก็ไม่มี นอกจากดอกไม้ที่จะต้องนำไปให้พระราชา เขาจึงคิดว่า พระราชาจะฆ่าเราก็ตาม เราไม่กังวล ยังไงต้องถวายดอกไม้ทั้งหมดนี้ให้พระพุทธเจ้าให้ได้ ว่าแล้วก็น้อมถวายดอกไม้เข้าไป
พระพุทธเจ้าจึงบอกพระอานนท์ว่า "ชายคนนี้สละชีวิตบูชาเรา เขาจะไม่ไปทุคติ ตลอดแสนกัป ชาติสุดท้ายจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่า สุมนะ
เรื่องก็โจทจันไป จนภรรยาทราบเรื่อง รีบชิงลงมือก่อน โดยนางไปเข้าเฝ้าพระราชาบอกว่า นางขอหย่าขาดจากนายสุมน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นายสุมนทำความผิดอะไรไว้ นางไม่เกี่ยว พระราชาบอก OK
ต่อมาพระราชาเรียกนายสุมนเข้าเฝ้า บอกว่าทำดีแล้ว แล้วประทานรางวัลให้จำนวนมาก โดยภรรยาอดได้ เพราะหย่าขาดแล้ว นี่เรื่องที่ 1
ตัวอย่างที่ 2
เรื่องของนายปุณณะ ไถนาอยู่อย่างเต็มที่เหนื่อยล้า และหิวมากๆ รอภรรยานำอาหารมาให้อยู่ ฝ่ายภรรยา ทำอาหารมาให้แต่เช้า แต่มาพบพระสารีบุตรอยู่ตรงหน้า จึงเลื่อมใส ถวายอาหารที่เตรียมให้นายปุณณะกับพระสารีบุตรไปจนหมด แล้วนางรีบวิ่งกลับไปทำอาหารมาใหม่ เสียเวลาเป็น 2 เท่า พอนางทำอาหารมาใกล้จะถึง คิดว่า ตอนนี้นายปุณณะอาจโมโหหิว อาจโกรธมาก (เหมือนกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่) จึงชิงกล่าวไปก่อนว่า นางไม่ได้ไปอู้ที่ไหนนะ แต่เห็นพระสารีบุตรจึงถวายอาหารไปก่อน แล้วย้อนไปทำมาให้ท่านใหม่ อย่าโกรธนะ ให้อนุโมทนา ซึ่งนายปุนนะก็อนุโมนทนา จากนั้นทานอาหาร เสร็จแล้วเพลียนอนหนุนตักภรรยาหลับไป พอตื่นมาที่ดินที่ไถนาไว้เป็นทองคำ Happy ทั้งสามีภรรยา (ผิดกับตัวอย่างแรก สามี Happy แต่ภรรยาเดือดร้อนเพราะขอหย่า)
คุณทศพล อ่าน 2 ตัวอย่างนี้แล้ว ได้ข้อคิดอะไรบ้างครับ
#3
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 12:19 PM
อันนี้คือปัญหาของชีวิตคู่ที่ไม่ได้เริ่มต้น จาก ศรัทธาในการทำทาน รักษาศีล และมีทิฎฐิเสมอกันไงครับ แต่ถ้าใช้ชีวิตร่วมกันไปแล้วก็ต้องประคับประคองกันไป แนะนำธรรมะกันไปน่ะครับ
อันนี้ ผมไม่เข้าใจคำพูดครับ อาจจะเข้าใจได้ว่า คุณทศพลกำลังหมายความว่า ชาติที่เป็นพระเวสสันดรทำบุญแบบให้ครอบครัวเดือดร้อนหรือป่าวครับ ถ้ามีเจตนาแบบนั้น แนะนำให้รีบไปขอขมาพระพุทธเจ้าโดยด่วนนะครับ เพราะประเด็นนี้ คุณครูไม่ใหญ่ พึ่งอธิบายแบบชัดแจ้งไปแล้วในเคสที่พึ่งออกอากาศมาไม่นานนี้นะครับ แล้วท่านก็แนะนำให้เจ้าของเคสไปขอขมาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยนะครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#4
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 12:49 PM
ข้อแรกนั้น นายสุมนไม่ได้บอกให้ภรรยาทราบก่อน ภรรยาเลยเข้าใจผิดและไม่ได้มีส่วนจากบุญนั้น
ส่วนข้อที ๒ ภรรยานายปุณณะ บอกให้สามีทราบก่อน สามีพลอยอนุโมทนาบุญและได้บุญทั้งส่วนสามีและภรรยา
สาธุครับพี่หัดฝันเปรียบเทียบได้ดีมาก
ภรรยานายปุณณะก็มีความกล้าเหมือนกันที่จะบอกสามีว่านางนำอาหารไปถวาย
สารีบุตรก่อน นายปุณณะกลับพลอยมีความเลื่อมใสศรัทธาด้วย
แต่ปัจจุบันนี้ภรรยาหรือสามีอาจจะถูกอกุศลเข้าสิงจิตได้ (ทำให้เข้าใจผิด ๆ ) ก็น่าคิดเหมือนกัน
พระโพธิสัตว์ทำทานอย่างไรไม่ให้เดือดร้อนครอบครัว ยกเว้นชาติที่เป็นพระเวสสันดร
ชาติที่เป็นพระเวสสันดรทำบุญแบบให้ครอบครัวเดือดร้อนหรือป่าวครับ ถ้ามีเจตนาแบบนั้น แนะนำให้รีบ
ไปขอขมาพระพุทธเจ้าโดยด่วนนะครับ เพราะประเด็นนี้ คุณครูไม่ใหญ่ พึ่งอธิบายแบบชัดแจ้งไปแล้วใน
เคสที่พึ่งออกอากาศมาไม่นานนี้นะครับ แล้วท่านก็แนะนำให้เจ้าของเคสไปขอขมาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยนะครับ
ตอบว่า คิดว่าผมไม่เข้าใจผิดนะ ชาติที่เป็นพระเวสสันดรนั้นพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญมหาทานบารมีถึงขั้นปรมัตถบารมี
ดังนั้นจึงไม่ถือว่าทำให้ครอบครับ เดือดร้อน เพราะเป็นการทำเป้าหมายเพื่อบรรลุโพธิญาณ
แต่คำถามนั้นคือชาติที่พระโพธิสัตว์ไม่ได้สร้างมหาทานบารมีเพื่อบรรลุโพธิญาณ ชาติก่อนหน้านั้น
ก็ทรงทำเพ็ญทานบารมีมาเช่นกัน แต่ไม่ถึงขั้นมหาทานบารมีเพื่อบรรลุโพธิญาณในชาติสุดท้าย
พระโพธิสัตว์ท่านก็ทำทานเหมือนกันในขณะที่มีครอบครัวด้วยท่านทำทานอย่างไร เป็นตัวอย่างให้
นักสร้างบารมีรุ่นหลัง ๆ แน่นอนต้องเข้มข้นกว่าปุถุชนสามัญแน่
#5
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 01:38 PM
เพื่อสร้างบารมี
นับครั้งไม่ถ้วน
โดยมีพระพุทธองค์ และพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
เป็นตัวอย่าง
ทานที่ชาวโลกปัจจุบันกระทำนั้น
เทียบกับท่านเหล่านั้นไม่ได้เลยครับ
"บารมี" ต่างกันอย่างลิบลับ
เ พี ย ง พ บ พ า น . . . _ เ พื่ อ ผ่ า น ภ พ
Passing by to meet you.
#6
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 03:37 PM
พระโพธิสัตว์ก็ไม่ท้อ บอกภรรยาว่า การทำทานคือชีวิตของเรา แล้วก็ไปเจอเคียวเกี่ยวข้าว (พระอินทร์ยังใจดีเหลือไว้ให้) จึงออกไปเกี่ยวข้าวขายเพื่อเอามาทำทาน ซึ่งภรรยาก็อนุโมทนา และทั้งสองก็อดอาหารซูบผอม แต่ใจยังปีติทั้งคู่ จนหมดแรงเป็นลม
ตอนนั้นเองพระอินทร์มาปรากฏกายขึ้น บอกว่า อย่าทำทานอีกนะ เห็นมั้ยทำทานแล้วสมบัติหายหมด พระโพธิสัตว์ถามว่า ทำไมเป็นถึงพระอินทร์จึงพูดจาไร้คุณธรรมเช่นนี้ บัณฑิตในกาลก่อนล้วนทำทาน พระอินทร์จึงถามว่า ทำทานเพื่อหวังตำแหน่งพระอินทร์หรือเปล่า พระโพธิสัตว์จึงบอกว่า เปล่า หวังบรรลุโพธิญาณ ทำให้พระอินทร์ดีใจ แล้วคืนสมบัติให้ทั้งหมด ให้พระโพธิสัตว์ทำทานต่อไป โดยภรรยาเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้านไปตลอด ไม่เห็นแตกต่างเลย
คุณทศพล ได้ข้อคิดอะไรบ้างครับ
#7
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 04:40 PM
ชาตินั้นทรงเสวยพระชาติเป็นเศรษฐีมีนามว่า "วิสัยหเศรษฐี" ครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#8
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 08:01 PM
ในสมัยพุทธกาล
ยิ่งยากจนครอบครัวเดือดร้อนแต่ยิ่งทำบุญหนักเข้าไปอีก
เป็นตัวอย่างการสร้างบุญสมัยนั้น ไม่มีการคำนึงเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวอย่างไร
ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ก็ยิ่งกว่านั้น
#9
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 10:11 PM
คุณครูไม่ใหญ่ ก็เคยกล่าวเช่นนั้น
#10
โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 10:45 PM
"ลูกจันทร์ มึงมีเงินมีทองก็ให้รู้จักเก็บจักออมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องร้องไห้ในภายหลังเวลาไม่มีจะใช้"
และคุณยายอาจารย์ท่านก็ได้เมตตานำมาพร่ำสอนแก่ศิษยานุศิษย์ในยุคนี้เช่นเดียวกันว่า
"ทำบุญอย่าให้เดือดร้อนตัวเอง มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย"
พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านก็ได้เมตตาพร่ำสอนพวกเราอยู่บ่อยครั้งในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
เช่นเดียวกันว่า
"ทุ่มหมดใจ แต่ไม่หมดตัว"
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#11
โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 09:37 AM
ทำทานให้เต็มที่ แต่อย่ามาเสียดายทรัพย์นั้นในภายหลัง บุญจะหกหล่น
ทำทานให้เต็มกำลัง แต่อย่าไปกู้ยืมเขามาทำ ความวิตกจะครอบงำ ใจจะไม่สงบง่าย กลายเป็นอุปสรรคในการทำสมาธิ
ขวนขวายหาทรัพย์อย่างใช้สติปัญญา ในอดีตกาล ชายยากจนเห็นหนูตายตัวเดียว ที่เศรษฐีแนะนำ ก็เอามาขาย แล้วซื้อมาขายไป จนร่ำรวย
ทำทาน ก็ต้องรักษาใจ จะได้รักษาบุญของเรา
อดทนต่อถ้อยคำ ที่จะทำให้บุญของเราพร่องไปได้
#12
โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 11:22 AM
(จากหนังสือ คืนที่พระจันทร์หายไป)
และคุณยายอาจารย์ท่านก็ได้เมตตานำมาพร่ำสอนแก่ศิษยานุศิษย์ในยุคนี้เช่นเดียวกันว่า
"ทำบุญอย่าให้เดือดร้อนตัวเอง มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย"
พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านก็ได้เมตตาพร่ำสอนพวกเราอยู่บ่อยครั้งในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
เช่นเดียวกันว่า
"ทุ่มหมดใจ แต่ไม่หมดตัว"
เห็นด้วยทุกประการค่ะ
เพราะมีหลายครอบครัวเลยที่ทำบุญมากๆแล้วทางบ้านไม่เข้าใจ เอาเงินที่ลูกหลานให้มาทำซะหมด พอถึงความไม่สบายหรือจำเป็นต้องใช้ ก็เกดิความเดือดร้อนตามมา ทำให้ลูกหลาน ญาติที่ไม่เข้าใจอยู่แล้ว สร้างวจีกรรม มโนกรรม กับวัดต่อไปอีกได้ค่ะ
เรื่องการแบ่งทรัพย์ไว้ใช้อย่างไรนั้น คาดว่าอีกไม่นานคุณพี่เถลิงเกียรติคงได้มาตอบกระทู้หล่ะค่ะ
#13
โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 11:38 AM
โดยท่านบอกเป็นสโลแกนสั้นๆ ว่า "ทุ่มหมดใจ แต่ไม่ใช่หมดตัว นะครับ"
(ยกเว้นจะสละทรัพย์ทั้งหมด แล้วออกบวชไม่สึก นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง)
#14
โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 04:39 PM
"ทุ่มหมดใจ แต่ไม่หมดตัว"
ชอบมาก มาก...
อนุโมทนากับขุนศึกผู้พิชิตหงสา ด้วย.....สาธุ
#15
โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 04:55 PM
"ลูกจันทร์ มึงมีเงินมีทองก็ให้รู้จักเก็บจักออมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องร้องไห้ในภายหลังเวลาไม่มีจะใช้"
และคุณยายอาจารย์ท่านก็ได้เมตตานำมาพร่ำสอนแก่ศิษยานุศิษย์ในยุคนี้เช่นเดียวกันว่า
"ทำบุญอย่าให้เดือดร้อนตัวเอง มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย"
พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านก็ได้เมตตาพร่ำสอนพวกเราอยู่บ่อยครั้งในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
เช่นเดียวกันว่า
"ทุ่มหมดใจ แต่ไม่หมดตัว"
หากลองสังเกตกันสักนิดพิจารณาให้ลึกซึ้งกันสักหน่อยจะเห็นได้ว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านสอนพวกเราโดยมีคุณยายอาจารย์เป็นแบบ คุณยายอาจารย์ท่านก็พร่ำสอนอบรมพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ และพวกเราเหล่ากัลยาณมิตรทุกท่านโดยมีพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ เป็นแบบ แม้ที่สุดพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายท่านก็ได้มอบมรดกธรรมข้อนี้แก่ศิษยานุศิษย์ของท่านโดยมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบ เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราเดินตามแนวทางคำสอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ของเราได้อบรมพร่ำสอนก็นับว่าเป็นแนวทางอันประเสริฐที่สุดแล้วล่ะครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#16
โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 07:32 PM
#17
โพสต์เมื่อ 09 June 2006 - 05:56 AM
"ลูกจันทร์ มึงมีเงินมีทองก็ให้รู้จักเก็บจักออมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องร้องไห้ในภายหลังเวลาไม่มีจะใช้"
"ทำบุญอย่าให้เดือดร้อนตัวเอง มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย"
เช่นเดียวกันว่า "ทุ่มหมดใจ แต่ไม่หมดตัว"
ผมขอรวบรวม คำตอบตามกระทู้ ทำบุญอย่างไรไม่ให้เดือดร้อนผู้อื่นครับ
#18
โพสต์เมื่อ 09 June 2006 - 08:35 AM
ไม่ติดขัดทั้งปัจจัยของความคิดของคนในครอบครัว ทรัพย์ และความพร้อมของจืตใจที่จะทำด้วย
บางคนจืตใจพร้อมจะทำ แต่ปัจจัยอื่นๆำไม่พร้อมเพียง ก็ต้องไช้ปัจจัยทางปัญญา ความคิด วิธีการ เพื่อ
เจตนา ในการทำความดี เป็นเหตุแห่งความสุข ของตน ครอบครัว สังคม ต่อไป
#19
โพสต์เมื่อ 20 June 2006 - 09:47 PM
ปรบมือให้ผู้สนทนาธรรมทุกท่านเลย
สาธุ
#21
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 03:36 AM