ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ทำบุญอย่างไรไม่ให้เดือดร้อนผู้อื่น


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 20 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 11:12 AM

ในสมัยพุทธกาล

การทำบุญนั้น ถ้าลำพังตัวคนเดียวคงไม่เป็นไร จะทำอย่างไรก็ได้ดังนั้นควรทำให้มากที่สุด

หรือกรณีที่เป็นมหาอุบาสถ อนาถบิณฑิกะเศรษฐี ย่อมทำทาน โดยไม่มีข้อจำกัด

ส่วนคนที่มีภาระครอบครัว ลูก เมีย พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ควรใช้ธรรมะข้อใดพิจารณาในการทำบุญ (ทาน)
ตรงนี้มีข้อสังเกตุ ในกรณีสามีภรรยา หาเงินมาด้วยกัน ถ้าสามีหรือภรรยาอยากทำทานมาก ๆ แต่อีกฝ่ายไม่ชอบ
ภรรยาชอบฟุ่มเฟือย จึงต้องแอบทำบ้างหรือ อย่างนี้ได้บุญหรือไม่

พระโพธิสัตว์ทำทานอย่างไรไม่ให้เดือดร้อนครอบครัว ยกเว้นชาติที่เป็นพระเวสสันดร


หยุดคือตัวสำเร็จ

#2 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 12:19 PM

เรื่องนี้ถ้าศึกษาเรื่องราวของบัณฑิตในกาลก่อน ผมว่าคงพอจะเห็นเป็นแนวทางน่ะครับ ว่าบัณฑิตในกาลก่อนล้วนทุ่มเททำทานอย่างเต็มกำลังล้วนน่าสรรเสริญ แต่บางท่านอาจจะไม่สมบูรณ์พร้อมที่สุด ซึ่งถ้าจะให้สมบูรณ์พร้อมที่สุด จะต้องอธิบายให้ญาติมิตรเข้าใจและอนุโมทนาในทานนั้นด้วย ดัง 2 ตัวอย่างนี้
ตัวอย่างที่ 1
เรื่องราวของนายสุมน มาลาการ ซึ่งเป็นคนเก็บดอกไม้ไปถวายพระเจ้าพิมพิสารวันละ 8 ทะนานทุกวันไม่เคยขาด เขามีภรรยา 1 คน วันหนึ่งเขาทำหน้าที่ปรกติ แต่แลไปเห็นพระพุทธเจ้าเดินบิณฑิบาตร เกิดจิตเลื่อมใสศรัทธา อยากจะหาอะไรบูชา แต่ก็ไม่มี นอกจากดอกไม้ที่จะต้องนำไปให้พระราชา เขาจึงคิดว่า พระราชาจะฆ่าเราก็ตาม เราไม่กังวล ยังไงต้องถวายดอกไม้ทั้งหมดนี้ให้พระพุทธเจ้าให้ได้ ว่าแล้วก็น้อมถวายดอกไม้เข้าไป
พระพุทธเจ้าจึงบอกพระอานนท์ว่า "ชายคนนี้สละชีวิตบูชาเรา เขาจะไม่ไปทุคติ ตลอดแสนกัป ชาติสุดท้ายจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่า สุมนะ
เรื่องก็โจทจันไป จนภรรยาทราบเรื่อง รีบชิงลงมือก่อน โดยนางไปเข้าเฝ้าพระราชาบอกว่า นางขอหย่าขาดจากนายสุมน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นายสุมนทำความผิดอะไรไว้ นางไม่เกี่ยว พระราชาบอก OK
ต่อมาพระราชาเรียกนายสุมนเข้าเฝ้า บอกว่าทำดีแล้ว แล้วประทานรางวัลให้จำนวนมาก โดยภรรยาอดได้ เพราะหย่าขาดแล้ว นี่เรื่องที่ 1

ตัวอย่างที่ 2
เรื่องของนายปุณณะ ไถนาอยู่อย่างเต็มที่เหนื่อยล้า และหิวมากๆ รอภรรยานำอาหารมาให้อยู่ ฝ่ายภรรยา ทำอาหารมาให้แต่เช้า แต่มาพบพระสารีบุตรอยู่ตรงหน้า จึงเลื่อมใส ถวายอาหารที่เตรียมให้นายปุณณะกับพระสารีบุตรไปจนหมด แล้วนางรีบวิ่งกลับไปทำอาหารมาใหม่ เสียเวลาเป็น 2 เท่า พอนางทำอาหารมาใกล้จะถึง คิดว่า ตอนนี้นายปุณณะอาจโมโหหิว อาจโกรธมาก (เหมือนกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่) จึงชิงกล่าวไปก่อนว่า นางไม่ได้ไปอู้ที่ไหนนะ แต่เห็นพระสารีบุตรจึงถวายอาหารไปก่อน แล้วย้อนไปทำมาให้ท่านใหม่ อย่าโกรธนะ ให้อนุโมทนา ซึ่งนายปุนนะก็อนุโมนทนา จากนั้นทานอาหาร เสร็จแล้วเพลียนอนหนุนตักภรรยาหลับไป พอตื่นมาที่ดินที่ไถนาไว้เป็นทองคำ Happy ทั้งสามีภรรยา (ผิดกับตัวอย่างแรก สามี Happy แต่ภรรยาเดือดร้อนเพราะขอหย่า)

คุณทศพล อ่าน 2 ตัวอย่างนี้แล้ว ได้ข้อคิดอะไรบ้างครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#3 MiraclE...DrEaM

MiraclE...DrEaM
  • Members
  • 1368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 12:19 PM

QUOTE
ในกรณีสามีภรรยา หาเงินมาด้วยกัน ถ้าสามีหรือภรรยาอยากทำทานมาก ๆ แต่อีกฝ่ายไม่ชอบ ภรรยาชอบฟุ่มเฟือย จึงต้องแอบทำบ้างหรือ อย่างนี้ได้บุญหรือไม่

อันนี้คือปัญหาของชีวิตคู่ที่ไม่ได้เริ่มต้น จาก ศรัทธาในการทำทาน รักษาศีล และมีทิฎฐิเสมอกันไงครับ แต่ถ้าใช้ชีวิตร่วมกันไปแล้วก็ต้องประคับประคองกันไป แนะนำธรรมะกันไปน่ะครับ
QUOTE
พระโพธิสัตว์ทำทานอย่างไรไม่ให้เดือดร้อนครอบครัว ยกเว้นชาติที่เป็นพระเวสสันดร

อันนี้ ผมไม่เข้าใจคำพูดครับ อาจจะเข้าใจได้ว่า คุณทศพลกำลังหมายความว่า ชาติที่เป็นพระเวสสันดรทำบุญแบบให้ครอบครัวเดือดร้อนหรือป่าวครับ ถ้ามีเจตนาแบบนั้น แนะนำให้รีบไปขอขมาพระพุทธเจ้าโดยด่วนนะครับ เพราะประเด็นนี้ คุณครูไม่ใหญ่ พึ่งอธิบายแบบชัดแจ้งไปแล้วในเคสที่พึ่งออกอากาศมาไม่นานนี้นะครับ แล้วท่านก็แนะนำให้เจ้าของเคสไปขอขมาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยนะครับ

สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา

*********************

รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว

เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล


คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

#4 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 12:49 PM

QUOTE
คุณทศพล อ่าน 2 ตัวอย่างนี้แล้ว ได้ข้อคิดอะไรบ้างครับ



ข้อแรกนั้น นายสุมนไม่ได้บอกให้ภรรยาทราบก่อน ภรรยาเลยเข้าใจผิดและไม่ได้มีส่วนจากบุญนั้น
ส่วนข้อที ๒ ภรรยานายปุณณะ บอกให้สามีทราบก่อน สามีพลอยอนุโมทนาบุญและได้บุญทั้งส่วนสามีและภรรยา


สาธุครับพี่หัดฝันเปรียบเทียบได้ดีมาก

ภรรยานายปุณณะก็มีความกล้าเหมือนกันที่จะบอกสามีว่านางนำอาหารไปถวาย
สารีบุตรก่อน นายปุณณะกลับพลอยมีความเลื่อมใสศรัทธาด้วย

แต่ปัจจุบันนี้ภรรยาหรือสามีอาจจะถูกอกุศลเข้าสิงจิตได้ (ทำให้เข้าใจผิด ๆ ) ก็น่าคิดเหมือนกัน




พระโพธิสัตว์ทำทานอย่างไรไม่ให้เดือดร้อนครอบครัว ยกเว้นชาติที่เป็นพระเวสสันดร

QUOTE
อันนี้ ผมไม่เข้าใจคำพูดครับ อาจจะเข้าใจได้ว่า คุณทศพลกำลังหมายความว่า
ชาติที่เป็นพระเวสสันดรทำบุญแบบให้ครอบครัวเดือดร้อนหรือป่าวครับ ถ้ามีเจตนาแบบนั้น แนะนำให้รีบ
ไปขอขมาพระพุทธเจ้าโดยด่วนนะครับ เพราะประเด็นนี้ คุณครูไม่ใหญ่ พึ่งอธิบายแบบชัดแจ้งไปแล้วใน
เคสที่พึ่งออกอากาศมาไม่นานนี้นะครับ แล้วท่านก็แนะนำให้เจ้าของเคสไปขอขมาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยนะครับ


ตอบว่า คิดว่าผมไม่เข้าใจผิดนะ ชาติที่เป็นพระเวสสันดรนั้นพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญมหาทานบารมีถึงขั้นปรมัตถบารมี
ดังนั้นจึงไม่ถือว่าทำให้ครอบครับ เดือดร้อน เพราะเป็นการทำเป้าหมายเพื่อบรรลุโพธิญาณ

แต่คำถามนั้นคือชาติที่พระโพธิสัตว์ไม่ได้สร้างมหาทานบารมีเพื่อบรรลุโพธิญาณ ชาติก่อนหน้านั้น
ก็ทรงทำเพ็ญทานบารมีมาเช่นกัน แต่ไม่ถึงขั้นมหาทานบารมีเพื่อบรรลุโพธิญาณในชาติสุดท้าย

พระโพธิสัตว์ท่านก็ทำทานเหมือนกันในขณะที่มีครอบครัวด้วยท่านทำทานอย่างไร เป็นตัวอย่างให้
นักสร้างบารมีรุ่นหลัง ๆ แน่นอนต้องเข้มข้นกว่าปุถุชนสามัญแน่






หยุดคือตัวสำเร็จ

#5 พบพาน ผ่านภพ

พบพาน ผ่านภพ
  • Members
  • 236 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 01:38 PM

ในสมัยพุทธกาล มีการทำทานอย่างเด็ดเดี่ยว
เพื่อสร้างบารมี
นับครั้งไม่ถ้วน
โดยมีพระพุทธองค์ และพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
เป็นตัวอย่าง
ทานที่ชาวโลกปัจจุบันกระทำนั้น
เทียบกับท่านเหล่านั้นไม่ได้เลยครับ

"บารมี" ต่างกันอย่างลิบลับ
" พบพาน _ผ่านภพ "
เ พี ย ง พ บ พ า น . . . _ เ พื่ อ ผ่ า น ภ พ
Passing by to meet you.

#6 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 03:37 PM

อ๋อได้ครับ ก่อนหน้านั้น พระโพธิสัตว์ทำทานอย่างไรใช่มั้ยครับ ก็มีเรื่องราวตอนที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเศรษฐีน่ะครับ ตอนนั้นท่านทำทานมโหราฬมาก แต่ทรัพย์สินก็ยังมีอยู่อีกมาก ร้อนไปถึงพระอินทร์(สมัยนั้น) เห็นพระโพธิสัตว์ทำทานใหญ่ เลยกลัวว่า คิดจะมาแย่งตำแหน่งพระอินทร์จากตน ดังนั้นพระอินทร์จึงลงมาเนรมิตให้สมบัติของพระโพธิสัตว์หายไปในชั่วพริบตา

พระโพธิสัตว์ก็ไม่ท้อ บอกภรรยาว่า การทำทานคือชีวิตของเรา แล้วก็ไปเจอเคียวเกี่ยวข้าว (พระอินทร์ยังใจดีเหลือไว้ให้) จึงออกไปเกี่ยวข้าวขายเพื่อเอามาทำทาน ซึ่งภรรยาก็อนุโมทนา และทั้งสองก็อดอาหารซูบผอม แต่ใจยังปีติทั้งคู่ จนหมดแรงเป็นลม

ตอนนั้นเองพระอินทร์มาปรากฏกายขึ้น บอกว่า อย่าทำทานอีกนะ เห็นมั้ยทำทานแล้วสมบัติหายหมด พระโพธิสัตว์ถามว่า ทำไมเป็นถึงพระอินทร์จึงพูดจาไร้คุณธรรมเช่นนี้ บัณฑิตในกาลก่อนล้วนทำทาน พระอินทร์จึงถามว่า ทำทานเพื่อหวังตำแหน่งพระอินทร์หรือเปล่า พระโพธิสัตว์จึงบอกว่า เปล่า หวังบรรลุโพธิญาณ ทำให้พระอินทร์ดีใจ แล้วคืนสมบัติให้ทั้งหมด ให้พระโพธิสัตว์ทำทานต่อไป โดยภรรยาเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้านไปตลอด ไม่เห็นแตกต่างเลย

คุณทศพล ได้ข้อคิดอะไรบ้างครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#7 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 04:40 PM

QUOTE
ก็มีเรื่องราวตอนที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นเศรษฐีน่ะครับ

ชาตินั้นทรงเสวยพระชาติเป็นเศรษฐีมีนามว่า "วิสัยหเศรษฐี" ครับ

"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#8 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 08:01 PM

ได้ข้อคิดอย่างเดียว คือการทำทาน นั้น

ในสมัยพุทธกาล

ยิ่งยากจนครอบครัวเดือดร้อนแต่ยิ่งทำบุญหนักเข้าไปอีก

เป็นตัวอย่างการสร้างบุญสมัยนั้น ไม่มีการคำนึงเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวอย่างไร
ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ก็ยิ่งกว่านั้น
หยุดคือตัวสำเร็จ

#9 DMC.TV

DMC.TV
  • Members
  • 3 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 10:11 PM

ยิ่งยากจนครอบครัวเดือดร้อนแต่ยิ่งทำบุญหนักเข้าไปอีก

คุณครูไม่ใหญ่ ก็เคยกล่าวเช่นนั้น

#10 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 10:45 PM

nerd_smile.gif ขออนุญาตให้สติกันสักนิด ย้อนคิดกันสักหน่อยนะครับ เราต้องพิจารณาถึงโลกแห่งความเป็นจริงในยุคปัจจุบันด้วยว่า สถานการณ์ในยุคนี้ เราสามารถทำบุญในปริมาณที่เทียบเท่าอย่างอุกฤษฏ์ได้ดังเช่นเมื่อสมัยครั้งพุทธกาลหรือเปล่า? แม้ว่าในยุคกึ่งพุทธกาลจะเป็นยุคที่มีความรุ่งเรืองเสมือนเมื่อครั้งสมัยพุทธกาลก็ตาม แต่บุญของพวกเรายังน้อยกว่าในยุคพุทธกาลเยอะนะครับ เพราะไม่เช่นนั้น ณ เวลานี้ ฝนรัตนชาติคงตกลงมาแล้ว ภูเขาทองคงผุดขึ้นมาแล้ว เราคงเอาเงินมาปูเรียงเคียงกันเพื่อสร้างวัดพระธรรมกายของเราดังเช่นที่ท่านสุทัตตเศรษฐีได้เคยสร้างวัดพระเชตวันกันได้แล้วจริงไหมครับ? ลองตรองตามดูนะครับ จากเหตุตรงนี้ ทำให้ผมเข้าใจถึงคำพูดของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ที่ท่านได้เมตตาเตือนคุณยายอาจารย์ฯ ของเราว่า

"ลูกจันทร์ มึงมีเงินมีทองก็ให้รู้จักเก็บจักออมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องร้องไห้ในภายหลังเวลาไม่มีจะใช้"

(จากหนังสือ คืนที่พระจันทร์หายไป)

และคุณยายอาจารย์ท่านก็ได้เมตตานำมาพร่ำสอนแก่ศิษยานุศิษย์ในยุคนี้เช่นเดียวกันว่า

"ทำบุญอย่าให้เดือดร้อนตัวเอง มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย"

พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านก็ได้เมตตาพร่ำสอนพวกเราอยู่บ่อยครั้งในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
เช่นเดียวกันว่า

"ทุ่มหมดใจ แต่ไม่หมดตัว"

ขอให้ทุกท่านมองภาพตรงนี้ให้ชัดด้วยนะครับ

"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#11 light mint

light mint

    ขออนุโมทนาบุญค่ะ

  • Members
  • 1423 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:THAILAND
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 09:37 AM

ทำทาน พิจารณาว่าเรามีภาระอะไรหรือไม่ เช่น เลี้ยงพ่อแม่ ก็เลี้ยงให้ดีตามสมควร มีลูก ก็ต้องเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้ให้ลูก ให้ลูกกินนม ค่าเทอม เป็นต้น ถ้าอยากทำบุญอย่างสุดๆ ก็ควรที่จะตัดสินใจไม่มีครอบครัว - ลูก ตั้งแต่ต้น แต่ถ้ามีแล้วต้องรับผิดชอบ

ทำทานให้เต็มที่ แต่อย่ามาเสียดายทรัพย์นั้นในภายหลัง บุญจะหกหล่น
ทำทานให้เต็มกำลัง แต่อย่าไปกู้ยืมเขามาทำ ความวิตกจะครอบงำ ใจจะไม่สงบง่าย กลายเป็นอุปสรรคในการทำสมาธิ
ขวนขวายหาทรัพย์อย่างใช้สติปัญญา ในอดีตกาล ชายยากจนเห็นหนูตายตัวเดียว ที่เศรษฐีแนะนำ ก็เอามาขาย แล้วซื้อมาขายไป จนร่ำรวย
ทำทาน ก็ต้องรักษาใจ จะได้รักษาบุญของเรา
อดทนต่อถ้อยคำ ที่จะทำให้บุญของเราพร่องไปได้ happy.gif
ขออนุโมทนาบุญนะคะ สาธุ


#12 PS-Junior

PS-Junior
  • Members
  • 247 โพสต์
  • Location:Bangkok
  • Interests:Meditation

โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 11:22 AM

QUOTE
"ลูกจันทร์ มึงมีเงินมีทองก็ให้รู้จักเก็บจักออมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องร้องไห้ในภายหลังเวลาไม่มีจะใช้"


(จากหนังสือ คืนที่พระจันทร์หายไป)

และคุณยายอาจารย์ท่านก็ได้เมตตานำมาพร่ำสอนแก่ศิษยานุศิษย์ในยุคนี้เช่นเดียวกันว่า

"ทำบุญอย่าให้เดือดร้อนตัวเอง มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย"

พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านก็ได้เมตตาพร่ำสอนพวกเราอยู่บ่อยครั้งในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
เช่นเดียวกันว่า

"ทุ่มหมดใจ แต่ไม่หมดตัว"



เห็นด้วยทุกประการค่ะ

เพราะมีหลายครอบครัวเลยที่ทำบุญมากๆแล้วทางบ้านไม่เข้าใจ เอาเงินที่ลูกหลานให้มาทำซะหมด พอถึงความไม่สบายหรือจำเป็นต้องใช้ ก็เกดิความเดือดร้อนตามมา ทำให้ลูกหลาน ญาติที่ไม่เข้าใจอยู่แล้ว สร้างวจีกรรม มโนกรรม กับวัดต่อไปอีกได้ค่ะ

เรื่องการแบ่งทรัพย์ไว้ใช้อย่างไรนั้น คาดว่าอีกไม่นานคุณพี่เถลิงเกียรติคงได้มาตอบกระทู้หล่ะค่ะ



#13 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 11:38 AM

ครับคุณครูไม่ใหญ่ ท่านหมายถึงให้ทำบุญอย่างต่อเนื่องเท่านั้นแหละครับ แม้เดือดร้อนก็ไม่ทิ้งการสร้างบุญ แต่ก็ต้องเหลือทรัพย์เก็บไว้ ตามที่น้องขุนศึก และน้องจังกึม โพสมา

โดยท่านบอกเป็นสโลแกนสั้นๆ ว่า "ทุ่มหมดใจ แต่ไม่ใช่หมดตัว นะครับ"

(ยกเว้นจะสละทรัพย์ทั้งหมด แล้วออกบวชไม่สึก นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง)
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#14 glouy

glouy
  • Members
  • 162 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 04:39 PM

ทำบุญก็ทำด้วยความเต็มใจ ไม่เดือดร้อนตัวเอง มีมาก ก็ทำมาก มีน้อย ก็ทำน้อย


"ทุ่มหมดใจ แต่ไม่หมดตัว"
ชอบมาก มาก...


อนุโมทนากับขุนศึกผู้พิชิตหงสา ด้วย.....สาธุ

#15 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 04:55 PM

nerd_smile.gif องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้พุทธสาวกของพระองค์แบ่งทรัพย์ที่หามาได้ออกเป็น ๔ ส่วน ส่วนแรก สำหรับเก็บออม ส่วนที่สอง สำหรับสร้างบุญสร้างกุศลติดตัวไปในภพเบื้องหน้า ส่วนที่สาม สำหรับบำรุงเลี้ยงดูบิดามารดา บุตรธิดา ภรรยา-สามี ส่วนที่สี่ สำหรับดูแลตนเองยามจำเป็น อาทิเช่น ยามเจ็บไข้ หากทุกท่านในที่นี้ได้ลองตรองตามคำสอนของครูบาอาจารย์ที่ผมได้ยกมาเมื่อครั้งที่แล้วความว่า

QUOTE
จากเหตุตรงนี้ ทำให้ผมเข้าใจถึงคำพูดของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ที่ท่านได้เมตตาเตือนคุณยายอาจารย์ฯ ของเราว่า

"ลูกจันทร์ มึงมีเงินมีทองก็ให้รู้จักเก็บจักออมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องร้องไห้ในภายหลังเวลาไม่มีจะใช้"

(จากหนังสือ คืนที่พระจันทร์หายไป)

และคุณยายอาจารย์ท่านก็ได้เมตตานำมาพร่ำสอนแก่ศิษยานุศิษย์ในยุคนี้เช่นเดียวกันว่า

"ทำบุญอย่าให้เดือดร้อนตัวเอง มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย"

พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านก็ได้เมตตาพร่ำสอนพวกเราอยู่บ่อยครั้งในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
เช่นเดียวกันว่า

"ทุ่มหมดใจ แต่ไม่หมดตัว"

nerd_smile.gif หากลองสังเกตกันสักนิดพิจารณาให้ลึกซึ้งกันสักหน่อยจะเห็นได้ว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านสอนพวกเราโดยมีคุณยายอาจารย์เป็นแบบ คุณยายอาจารย์ท่านก็พร่ำสอนอบรมพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ และพวกเราเหล่ากัลยาณมิตรทุกท่านโดยมีพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ เป็นแบบ แม้ที่สุดพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายท่านก็ได้มอบมรดกธรรมข้อนี้แก่ศิษยานุศิษย์ของท่านโดยมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบ เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราเดินตามแนวทางคำสอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ของเราได้อบรมพร่ำสอนก็นับว่าเป็นแนวทางอันประเสริฐที่สุดแล้วล่ะครับ

"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#16 ลูกหลวงพ่อ

ลูกหลวงพ่อ
  • Members
  • 17 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 07:32 PM

ขอกราบอนุโมทนาบุญกับท่านผู้มีบุญทุก ๆ ท่านในทุก ๆ บุญนะครับ สาธุ สาธุ สาธุครับ

#17 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 June 2006 - 05:56 AM

สวัสดีครับ พึ่งจะมีเวลาตอบกระทู้ ความเห็นของคุณขุนศึก ฯ





QUOTE
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้พุทธสาวกของพระองค์แบ่งทรัพย์ที่หามาได้ออกเป็น ๔ ส่วน ส่วนแรก สำหรับเก็บออม ส่วนที่สอง สำหรับสร้างบุญสร้างกุศลติดตัวไปในภพเบื้องหน้า ส่วนที่สาม สำหรับบำรุงเลี้ยงดูบิดามารดา บุตรธิดา ภรรยา-สามี ส่วนที่สี่ สำหรับดูแลตนเองยามจำเป็น อาทิเช่น ยามเจ็บไข้



QUOTE
จากเหตุตรงนี้ ทำให้ผมเข้าใจถึงคำพูดของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ที่ท่านได้เมตตาเตือนคุณยายอาจารย์ฯ ของเราว่า

"ลูกจันทร์ มึงมีเงินมีทองก็ให้รู้จักเก็บจักออมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องร้องไห้ในภายหลังเวลาไม่มีจะใช้"



QUOTE
และคุณยายอาจารย์ท่านก็ได้เมตตานำมาพร่ำสอนแก่ศิษยานุศิษย์ในยุคนี้เช่นเดียวกันว่า

"ทำบุญอย่าให้เดือดร้อนตัวเอง มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย"



QUOTE
พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านก็ได้เมตตาพร่ำสอนพวกเราอยู่บ่อยครั้งในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
เช่นเดียวกันว่า "ทุ่มหมดใจ แต่ไม่หมดตัว"



ผมขอรวบรวม คำตอบตามกระทู้ ทำบุญอย่างไรไม่ให้เดือดร้อนผู้อื่นครับ








หยุดคือตัวสำเร็จ

#18 watcharasit

watcharasit
  • Members
  • 17 โพสต์
  • Location:49/10 ถนนเลี่ยงเมือง หมู่23 ตำบลขามใหญ่ อ.เมือง จ.อุบลฯ. 34000
  • Interests:กฏแห่งกรรม

โพสต์เมื่อ 09 June 2006 - 08:35 AM

เมื่อเหตุ ปัจจัย พร้อมทั้งใจ กาย ทรัพย์ บริวารและกำลัง แล้ว ก็ ทำทานบารมีให้สุดกำลังที่มีอยู่ี ให้ได้รับความสุขใจและเกิดความสงบสุข (จาคะ สละ ความโลภ ตระหนี่ เหนียว ออกจากจิตใจไปซะบ้าง จะได้เบาและสบาย เดินทางสู่นิพพาน) คนที่ำพร้อมแล้วทำ จะทำได้สะดวก
ไม่ติดขัดทั้งปัจจัยของความคิดของคนในครอบครัว ทรัพย์ และความพร้อมของจืตใจที่จะทำด้วย
บางคนจืตใจพร้อมจะทำ แต่ปัจจัยอื่นๆำไม่พร้อมเพียง ก็ต้องไช้ปัจจัยทางปัญญา ความคิด วิธีการ เพื่อ
เจตนา ในการทำความดี เป็นเหตุแห่งความสุข ของตน ครอบครัว สังคม ต่อไป

วัชรสิทธิ์ ศรีธัญรัตน์

#19 sage_072

sage_072
  • Members
  • 271 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:นครราชสีมา
  • Interests:ต้องการเรียนรู้กฏแห่งกรรม และสนทนาธรรมกับเพื่อนกัลยาณมิตร

โพสต์เมื่อ 20 June 2006 - 09:47 PM

ชื่นใจจังเลยค่ะ
ปรบมือให้ผู้สนทนาธรรมทุกท่านเลย
สาธุ
thamma_072.p

#20 นักรบทิศตะวันตก

นักรบทิศตะวันตก
  • Members
  • 354 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Bangkok Thailand
  • Interests:...หยุด...

โพสต์เมื่อ 21 June 2006 - 08:54 PM

ดีจังเลย..........
ผู้มีความกล้า....ย่อมมีความหวัง...

.
ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ

#21 ปลึ้มในบุญ

ปลึ้มในบุญ
  • Members
  • 52 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 03:36 AM

เก่งและดีทุกคนเลยค่ะขอปรบมีอให้ อนุใมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยค่ะ สาธุ