โทษแห่งปาณาติบาต
#1
โพสต์เมื่อ 16 September 2007 - 03:54 PM
พราหมณ์ผู้หนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงอยู่ในเมืองพาราณสีมีลูกศิษย์
เป็นจำนวนมาก พราหมณ์ผู้นี้ถือลัทธิ ฆ่าสัตว์บูชายัญ....
สัตว์ที่ว่านี้คือ แพะ ถูกนำมาตัดคดแล้วเอาไปสังเวยต่อเทพเจ้า ด้วยการ
ตรึงหรือแขวนไว้กับเสาหลัก .. .
ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นรุกขเทวดา ได้เห็นการกระทำของ
พราหมณ์ วันนั้น พราหมณ์เกิดความคิดอยากทำบุญให้แก่ดวงวิญญาณ
ของญาติมิตรผู้ล่วงลับไปแล้ว ...
ดังนั้น พราหมณ์จึงบอกลูกศิษย์ให้จับแพะมาตัวหนึ่ง แล้วสั่งว่า
"พวกท่านจงนำแพะตัวนี้ไปตกแต่งประดับประดาให้ดี" ....
เป็นธรรมเนียมของเขาที่ถือปฏิบัติมานาน หากจะฆ่าสัตว์ตัวใดบูชายัญ
ก็จะอาบน้ำชำระร่างกายสัตว์นั้นให้สะอาด และ แต่งตัวให้สวยงามก่อน
จากนั้นจึงนำไปฆ่า ...
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อเขาให้ลูกศิษย์จูงแพะไปที่แม่น้ำ แล้วก็สั่งพวกพวก
ลูกศิษย์ให้อาบน้ำแต่งตัวให้แพะจนสวยงาม โดยคล้องพวงมาลัยไว้ที่คอ
แล้วจูงแพะมายืนรออยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ
ขณะที่ยืนอยู่นั้น แพะได้ระลึกชาติเห็นกรรมเก่าของตน ที่ทำให้
ต้องมาทนทุกข์ถึงเพียงนี้ และเมื่อรู้เกณฑ์ชะตาของตนแล้ว เหตุการณ์
ประหลาดก็เกิดขึ้นคือ แพะหัวเราะ แล้วกลับ ร้องไห้ !
พวกลูกศืษย์ของพราหมณ์เห็นแล้วรู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า
"เพื่อนเอ๋ย เหตุใดท่านจึงหัวเราะแล้วกลับร้องไห้ "...
แพะตอบว่า "เมื่อกลับถึงสำนักอาจารย์ของท่าน แล้วเราจะบอกต่อหน้า
อาจารย์ของพวกท่าน !" ครั้นแล้วพวกเค้าก็จูงแพะกลับไปที่สำนัก
พร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ฟัง ....
พราหมณ์จึงถามแพะว่า " แพะเอ๋ย เพราะเหตุใดท่านจึงหัวเราะ และ
เหตุใดท่านจึงร้องไห้?"
แพะยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกำลังหวนระลึกถึงกรรมที่ตนได้เคยกระทำไว้
แล้วตอบว่า...
"ท่านพราหมณ์.... เราหัวเราะก็เพราะดีใจว่าจะได้พ้นทุกข์ และ
ร้องไห้ก็เพราะเสียใจว่าท่านจะได้รับทุกข์เหมือนอย่างเรา "
พราหมณ์รู้สึกฉงนใจในคำพูดของแพะมาก แพะเห็นเช่นนั้นจึงเล่า
เรื่องราวอดีตชาติของตนให้ทุกคนฟัง ....
"ท่านพราหมณ์ .. เมื่อก่อนเราก็เป็นพราหมณ์เหมือนเช่นท่าน เราได้ฆ่า
แพะตัวหนึ่งเพื่อเป็นเครื่องสังเวยในการบวงสรวงดวงวิญญาณและเพราะ
การฆ่าแพะเพียงตัวเดียวนั้น ทำให้เราต้องถูก ตัดศรีษะมาแล้วถึง 499
ชาติ และ ชาตินี้คือชาติที่ 500 จะเป็นชาติสุดท้ายแล้วที่เราจะถูก
ตัดศรีษะ....
เราเกิดความดีใจที่จะพ้นจากความทุกข์นี้เสียที เราจึงหัวเราะขึ้นมา
แต่ที่ร้องไห้นั้นเป็นเพราะเราสงสารท่าน ถ้าหากท่านฆ่าเรา ท่านก็จะ
ต้องทนทุกข์ด้วยการถูกตัดศรีษะไปถึง 500 ชาติ เช่นเดียวกับที่เรา
เคยเป็นมา " ...
ครั้นเล่าเรื่องจบลง แพะก็ยืนนิ่ง พราหมณ์เข้าใจว่าแพะกลัวตายจึง
เข้าไปใกล้แล้วปลอบว่า...
"ท่านอย่ากลัวไปเลย เราจะไม่ฆ่าท่าน!"
แต่แพะกลับพูดว่า ... "ท่านพราหมณ์ ไม่ว่าท่านจะฆ่า หรือ ไม่ฆ่าเรา
วันนี้เราก็ไม่อาจรอดพ้นความตายไปได้ เพราะ บาปกรรมเก่าตามมาทัน
แล้ว"
"เมื่อเราไม่ฆ่าเจ้าแล้วใครจะฆ่าได้ ... แพะเอ๋ย อย่ากลัวไปเลยเราจะ
คุ้มครองเจ้าให้ปลอดภัย "..
"ขอบคุณท่านพราหมณ์ แต่ท่านจะช่วยคุ้มครองให้ข้าพเจ้าพ้นจาก
ผลของบาปกรรมนั้นคงไม่ได้หรอก เพราะบาปกรรมที่ข้าพเจ้าทำ
นั้นมีกำลังมากเกินที่ใครจะขัดขวางได้ " ...
พราหมณ์ก็ยังยืยยันว่า " เราก็จะไม่ยอมให้ใครฆ่าท่าน !"
จากนั้น พราหมณ์ก็สั่งให้ปล่อยแพะให้เป็นอิสระ และบอกลูกศิษย์
ให้ติดตามคุ้มครองแพะตัวนั้น " ...
เมื่อแพะถูกปล่อยก็เดินเล็มหญ้าและใบไม้ จนถึงพุ่มไม้แห่งหนึ่ง
ซึ่งทอดยาวตามแผ่นหิน ใบไม้เขียวน่าอร่อย แพะจึงขยับตัวยื่นคอ
ไปเล็ม แต่ทันใดนั้นเองเกิดฟ้าผ่าลงบนแผ่นหินแตกกระจาย
สะเก็ดหิวปลิวมาตัดคอแพะขาดกระเด็น ! ลูกศิษย์ของพราหมณ์
ต่างพากันมุงดูแพะที่นอนตายอย่างน่าเศร้าสลด ...
พระพุทธเจ้าซึ่งบังเกิดเป็นรุกขเทวดาสถิตอยู่ในที่นั้น เห็นเหตุการณ์
โดยตลอดต้องการจะสอนคนทั้งหลายให้ละเว้นจาก การฆ่าสัตว์
จึงปรากฏกาย ขึ้นพร้อมทั้งแสดงธรรมด้วยเสียงอันไพเราะว่า
" สัตว์ทั้งหลาย เมื่อรู้ผลของบาปเช่นนี้
ไม่ควรทำปาณาติบาต พึงรู้ว่าการเกิดนี้เป็นทุกข์
สัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ เพราะว่าผู้มีปกติฆ่าสัตว์ ย่อมโสกเศร้า"
:'(
#2
โพสต์เมื่อ 16 September 2007 - 05:08 PM
#3
โพสต์เมื่อ 16 September 2007 - 07:38 PM
#4
โพสต์เมื่อ 17 September 2007 - 08:15 AM
#5
โพสต์เมื่อ 17 September 2007 - 08:19 AM
#6
โพสต์เมื่อ 18 September 2007 - 10:12 AM
#7
โพสต์เมื่อ 18 September 2007 - 06:33 PM
#8
โพสต์เมื่อ 18 September 2007 - 08:22 PM
สาธุ สาธุ สาธุ
#9
โพสต์เมื่อ 19 September 2007 - 04:29 PM
เอาเรื่องแบบนี้อีก แต่เป็น อทินนา กาเม มุสา สุรา ได้มั๊ยค่ะ จะรออ่านนะค่ะ
#10
โพสต์เมื่อ 20 September 2007 - 06:24 PM
#11
โพสต์เมื่อ 25 September 2007 - 08:35 AM
#12
โพสต์เมื่อ 27 September 2007 - 06:38 PM
#13
โพสต์เมื่อ 10 October 2007 - 11:57 AM
#14
โพสต์เมื่อ 27 April 2015 - 10:16 AM
http://dmc.tv/a18593
#15
โพสต์เมื่อ 28 April 2015 - 02:13 PM
ในสมัยพุทธกาลมีการบูชายัญด้วยชีวิตสัตว์
กูฏทันตสูตร(พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๙พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ข้อที่ ๑๙๙หน้าที่๑๔๕)
[๑๙๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในมคธชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ได้เสด็จถึงพราหมณคามของชาวมคธชื่อขานุมัตต์ ได้ยินว่า สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ในสวนอัมพลัฏฐิกา ใกล้บ้านขานุมัตต์. สมัยนั้น พราหมณ์กูฏทันตะอยู่ครองบ้านขานุมัตต์ อันคับคั่งด้วยประชาชนและหมู่สัตว์ อุดมด้วยหญ้า ด้วยไม้ด้วยน้ำ สมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร ซึ่งเป็นราชสมบัติ อันพระเจ้าแผ่นดินมคธ จอมเสนา พระนามว่าพิมพิสาร พระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็นส่วนพรหมไทย.
มหายัญของกูฏทันตพราหมณ์
[๒๐๐] ก็สมัยนั้น พราหมณ์กูฏทันตะ ได้เตรียมมหายัญโคผู้ ๗๐๐ ลูกโคผู้ ๗๐๐ลูกโคเมีย ๗๐๐ แพะ ๗๐๐ และแกะ ๗๐๐ ถูกนำเข้าไปผูกไว้ที่หลักเพื่อบูชายัญ.
เป็นบุญของกูฎทันตพราหมณ์ ที่ไม่ต้องทำบาปมหันต์ สัตว์ทั้งปวงไม่ต้องถูกประหารด้วยความเชื่อที่ผิดๆ เพราะพระพุทธเจ้าทรงชี้แนะถึงยัญที่ลงทุนน้อยแต่ได้บุญมาก เช่นการนับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ การทำทาน เจริญภาวนา รักษาศีล ทรงตอบคำถามที่ว่าด้วยการบูชามหายัญให้แก่กูฎทันตพราหมณ์ ท้ายที่สุดพราหมณ์ยอมรับพระรัตนตรัยเป็นสรณะ สัตว์ทั้งปวงก็พ้นจากการสังหารหมู่ในครานั้น
“..ครั้งนั้น พอถึงเวลารุ่งเช้า พราหมณ์กูฏทันตะได้สั่งให้ตบแต่งขาทนียโภชนียาหารอย่างประณีตในสถานที่บูชายัญของตนแล้ว ใช้คนไปกราบทูลเวลาเสด็จแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว ภัตตาหารสำเร็จแล้ว. ลำดับนั้น เป็นเวลาเช้าพระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จไปสู่สถานที่บูชายัญของพราหมณ์กูฏทันตะแล้ว ประทับนั่ง ณ อาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้. ต่อนั้น พราหมณ์กูฏทันตะได้อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยมือของตนเอง ด้วยขาทนียโภชนียาหารอย่างประณีต เมื่อทราบว่าพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จแล้ว ทรงลดพระหัตถ์ลงจากบาตรแล้ว จึงได้ถือเอาอาสนะที่ต่ำแห่งหนึ่งนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาค ทรงยังพราหมณ์กูฏทันตะผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งนั้นแล ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วย
ธรรมีกถาแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป...”
#16
โพสต์เมื่อ 29 April 2015 - 07:50 AM
สาธุค่ะ ชอบอ่านค่ะ
#17
โพสต์เมื่อ 29 April 2015 - 10:12 AM
krap kob pra koon of Dhammatan and anumotanaboon with your Dhammatan giving by Kalayanamitras and Pra Ajan ka sadhu sadhu sadhu