เทพเจ้ามีจริงหรือไม่ เช่น เทพฮกล๊กซิ้วฯลฯ
#1
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 10:31 AM
1. ไม่ว่าจะเป็น เทพเจ้าไท้ส่วยเอี้ย เทพเจ้าโชคลาภไช่ชิ้งเอี้ย
2. ฮวงจุ๋ย และการแก้เช่น ปี่เชี๋ยะ มังกร กิเลน เต่าทอง สิงโต สามารถแก้ไขได้จริงไหม
ถ้าไม่จริงทำไม อารยธรรมโบราณจีนมากกว่า 1000ๆ ปีจึงนับถือต่อๆ กันมาครับ
โดยส่วนตัวคิดว่าเทพเจ้ามีนะ เหมือนกันการมีเทวดาในความเชื่อของเรา
#2
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 10:38 AM
1. เทพเจ้าไท้ส่วยเอี้ย เทพเจ้าโชคลาภไช่ชิ้งเอี้ย มีจริงหรือไม่ อย่างไร เพราะในความเชื่อทางจีนมีเทพเจ้าเยอะมากๆ
2. การตั้งฮวงจุ้ย ดีจริงไหม เช่นการวางปี่เชียะ มังกร กิเลน เต่าทอง อื่นๆ เป็นต้น
ในความคิดเห็นถ้าตอบว่าไม่จริง ทำไมอารยธรรมจีนกว่าพันๆ ปี จึงนับถือสืบต่อกันมาถึงทุกวันนี้
แนะนำด้วยนะครับ (เพราะค่อยข้างเป็นคนเชื่อเรื่องนี้มาก เพราะจะเชื่อเรื่องดวง ฤกษ์ ฮวงจุ้ยจะไปไหนที่ต้องทำพิธีก่อนเสมอครับ)
#3 *YTTRA*
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 10:42 AM
ผมแค่แวะมาอ่านขำๆๆ
#4
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 10:47 AM
ดูดวง - ก็ให้ดูดวงธรรมที่กลางท้องน่ะแหล่ะ ดูให้ใส ถ้าใสแล้วเดี๋ยวชีวิตดีเอง
เลิก (ฤกษ์) - เชื่อในโหราศาสตร์ หรือเทพธิดาพญามาร จิตใจจะไม่หมกมุ่น เลิกเชื่อว่า ก้าวเท้าซ้ายออกจากบ้านเวลา 10.33 น. วันศุกร์ จะทำให้ดวงซวย ถ้าเลิกคิดอะไรพวกเนี้ยได้ ชีวิตจะเลิก(ฤกษ์)ซวย เลิก(ฤกษ์)หมกมุ่น แล้วก็เลิก(ฤกษ์)โง่ เพราะมันทำให้ใจเราไม่เป็นสุข เมื่อเลิกได้ ใจจะมีสติ คิดเห็นอะไรได้ถูกต้องตรงไปตามความเป็นจริง ไม่จำเป็นต้องให้หมอดู หมอเดา มากำหนดชีวิตโชคชะตาให้เรา เพราะ เราคือผู้ออกแบบชีวิตเราเอง
ส่วนเทพเจ้า ก็คงจะมีอยู่จริงแหล่ะมั้งคะ แต่ก็คงเป็นเทวดาชนิดหนึ่ง ซึ่งตอนเป็นมนุษย์เป็นชาวจีนที่เชื่อเรื่องเจ้าๆ หรือ จ้าวๆ ตายไป เลยไปเฝ้าตามศาลเจ้า เพราะศาลเจ้า หรือศาลจ้าว เป็นที่ชอบๆ ตอนเป็นมนุษย์
อย่าไปกราบไหว้นับถือเลยค่ะ เพราะไม่ทำให้เราหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสซักกะติ๊ดเดียว
ขออภัยนะคะ ฟ้าร้างพูดตรงๆ แบบนี้แหล่ะ โหสิ หากอ่านแล้วใจขุ่นมัว รีบดูดวงในตัวเร็วๆ นะคะ ใจจะได้ใส๊ ใส ตะกอนในใจตกลงไปนอนก้น แล้วใจจะโล่ง โปร่ง เบา สบาย ไม่หนักอึ้งนะคะ ขอให้พบคำตอบไวไวนะคะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#5 *YTTRA*
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 10:58 AM
อาม่าบอกว่า ท่านให้หวยแม่นนะ....กรรม อีตากวนอูกลายเป็นคนใบ้หวยไปแล้ว...
แล้วเคยถามอาม่าตอนเทศกาลกินเจว่า...คนเรากินเจไปทำไม
แกก้อบอกว่า...จะได้ลดการฆ่าสัตว์ชำระใจให้บริสุทธิ
แล้วผมก้อถามว่าแล้วทำไมตอนไหว้เจ้าอาม่ากะอาอึ้มข้างบ้านฆ่าไก่ไหว้เจ้าหมดเล้าเลย....
แทนที่แกจะตอบแกมาตีผมอีก...ร้องไห้เลย..
เซงเป็ด..
#6
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 12:18 PM
#7
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 01:12 PM
#8
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 01:45 PM
ขอยําว่าเป็นเพียงการยกย่องความดีของบุคคลบุคคลหนึ่งเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงบุคคลเหล่านี้ตอนนี้อาจอยู่ในนรกขุมใดขุมหนึ่งก็ได้ครับ หุหุ
ส่วนหลักของฮวงจุ้ยนั้น จริงๆแล้วเป็นเพียงแค่หลักของการตกแต่งบ้านให้เข้ากับธรรมชาติและสภาพดินฟ้าอากาศ เพื่อไม่ให้เกิดโรคภัยเท่านั้นครับ การเอาสิงโตหรือสัตว์เทพมาตั้งไว้นั้นเป็นเพียงธุรกิจของผู้ที่นำเอาศาสตร์หรือวิชาสาขานี้มาหากินเท่านั้นครับ ซึ่งหากเป็นผู้ที่เก่งทางด้านฮวงจุ้ยจริงๆ แม้ของในบ้านก็สามารถเอามาแก้เคล็ดได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นผ้าเหลือใช้ ตู้ปลาเก่าๆ กระถางต้นไม้ ล้วนแต่เอามาแก้เคล็ดได้ทั้งสิ้น
ส่วนพวกที่มาเสนอว่าต้องเอาสิ่งนั้นออก เอาสิ่งนี้มาตั้ง ล้วนแล้วแต่หวังผลประโยชน์ทั้งสิ้นครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#9
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 02:53 PM
รู้แค่ว่า ใจใสตอนตายไปสุขคติโลกสวรรค์ ใจหมองตอนตายไปอบายนรก
หลวงพ่อท่าน บอก เทวดา ไม่ค่อยอยากจะเข้าใกล้ มนุษย์ซักเท่าไหร่ เพราะ กลิ่นมนุษย์เหม็นมาก
( คงไม่ใช่เพราะไม่ได้ อาบน้ำ น่ะ น่าจะเป็น กลิ่นที่ละเอียดๆนะ ถ้าผู้ใดมีศีลบริสุทธิ์ หมั่นนั่งสมาธิ รักษาศีล ก็จะมีกลิ่นหอม )
เทพเจ้า เทพบุตร เทพธิดา เค้าก็อดีตมนุษย์ ตายไปแล้วก็ทำบุญไม่ได้
เรานี่สิ ยังมีโอกาส สั่งสม บุญบารมีได้มากกว่า เค้า ต่างหาก ต้องมาพึ่งเราเรา ต้องมาขออนุโมทนาบุญ จากคนเป็นๆ
มี พระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก อันสูงสุด ดีกว่านะ
#10
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 04:45 PM
เทพเจ้า ให้โชคลาภ ได้หรือไม่ ถ้าจากในพระไตรปิฎก ล่ะก็ ได้ครับ แต่การที่เทพเจ้าให้โชคแก่คนคนนั้น เป็นเพราะกำลังบุญของคนคนนั้นเอง น่ะครับ ที่บันดาลให้เทพเจ้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องมาให้โชคลาภเขา เช่น
ในสมัยพุทธกาล พระอนาถบิณฑกเศรษฐี ไล่เทวดาองค์หนึ่งออกจากบ้านไป ข้อหาเทวดาบังอาจบอกให้ท่านเศรษฐีเลิกนับถือพระพุทธเจ้า ท่านเศรษฐีเลยไล่ไปเสียเลย ทีนี้เทวดาตนนี้บุญน้อย ถึงต้องมาอาศัยบ้านท่านเศรษฐีอยู่ ครั้งเมื่อท่านเศรษฐีออกปากไล่ ก็อยู่ไม่ได้ เลยไปขอความช่วยเหลือจากพระอินทร์ พระอินทร์ เห็นว่า บุญของท่านเศรษฐีกำลังจะได้ช่อง จึงแนะนำให้เทวดาไปตามทรัพย์สมบัติของท่านเศรษฐีที่เคยถูกน้ำพัดพาไป และนำทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ มาให้ท่านเศรษฐี แล้วขอขมาท่าน เทวดาก็ทำตาม สุดท้ายก็ OK
ยังมีอีก พระเจ้าอนุึรุทธะ ตอนเป็นเจ้าชาย อยากกินขนมไม่มี แม่จึงเอาหม้อขนมเปล่า เอาฝาครอบไว้ แล้วให้คนใช้ยกไปให้ พอตอนเปิดฝา หม้อข้าวเปล่า กลายเป็นขนมทิพย์ เพราะบุญของเจ้าชายเคยทำบุญอธิษฐานไว้ว่า ขออย่าได้รู้จักคำว่า ไม่มี บุญนี้ไปกระตุ้นต่อมของเทวดา ให้อยู่เฉยไม่ได้ ต้องมาเนรมิตขนมให้เจ้าชายครับ
ยังมีอีก แต่ชักขี้เกียจยกตัวอย่างแล้ว สรุปว่า บุญของมนุษย์ผู้นั้นเอง ไปสั่งการให้เทวดาให้โชคลาภกับมนุษย์ผู้นั้นน่ะครับ
บุญเท่านั้น จึงเป็นทีี่พึ่งของพวกเราทั้งหลาย สิ่งอื่นที่จะเป็นที่พึ่งที่ระลึกยิ่งกว่าบุญ(คุณความดีที่เรากระทำมา)ไม่มีอีกแล้ว
2. ฮวงจุ้ย มีจริงหรือไม่ ถ้าไม่มีทำไมบางคน ทำแล้วได้ผล
คำตอบคือ บุญเท่านั้นครับ อยู่เบื้องหลัง ทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะความเชื่อที่ว่า สืบต่อกันมาเป็นพันๆปี ทำไมได้ผลเฉพาะบางคน ในขณะคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ผลล่ะครับ
สังเกตุจากอะไร ก็สังเกตุจากคนจีนสมัยก่อน ได้กระทำเรื่องนี้มาเป็นพันปี แต่มีสักกี่คนที่ทำแล้วได้ผล เราจะพบที่ได้ผลก็มี ที่ไม่ได้ผลก็มาก ซึ่งหากค้ันหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป จะพบว่า ใครที่บุญกำลังส่งผล หยิบจับอะไร ใช้ตำราแบบไหน ก็สำเร็จ ส่วนใครที่บาปกำลังส่งผล หยิบจับอะไร ใช้ตำราแบบไหน ก็ไม่สำเร็จครับ
#11
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 05:09 PM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#12
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 05:23 PM
#13
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 09:25 PM
#14
โพสต์เมื่อ 11 January 2008 - 09:42 PM
#15
โพสต์เมื่อ 12 January 2008 - 04:55 PM
#16
โพสต์เมื่อ 12 January 2008 - 08:44 PM
#17
โพสต์เมื่อ 13 January 2008 - 12:31 AM
ยกตัวอย่าง เง็กเซียนฮ่องเต้ จริงๆก็คือพระอินทร์น่ะแหละ เพียงแต่ชื่อเรียกไม่เหมือนกัน
ุคุณครูไม่ใหญ่เคยเล่าในโรงเรียนครั้งหนึ่งว่า นักพรต ดาษส สมัยก่อนยุคแรกๆ เป็นพวกที่บำเพ็ญ เพื่อแสวงหานิพพานกันทั้งนั้น ดังนั้น ประเทศจีน เขาก็มีพวกเซียน เหมือนกัน ซึ่งอาจบำเพ็ญเพียรจนได้ฌาน จนสามารถไปรู้เห็น สววรค์ แบบพวกฤาษีก็เป็นได้นะครับ
#18
โพสต์เมื่อ 13 January 2008 - 03:16 PM
#19 *ลูกพระธัมฯ21456*
โพสต์เมื่อ 13 January 2008 - 07:58 PM
#20
โพสต์เมื่อ 14 January 2008 - 02:04 PM
หยุดสงสัย และ ตั้งใจปฏิบัติ
#21
โพสต์เมื่อ 14 January 2008 - 04:16 PM
แต่
ความจริงมีเพียงหนึ่ง
#22
โพสต์เมื่อ 16 January 2008 - 02:13 PM
คนที่เคยเห็น(มีน้อยมาก)จะเชื่อสนิท
เรื่องเทวดา ผมเชื่อว่ามีจริงถึงแม้ยังไม่ถึงได้เห็นกับตา แต่เคยได้สัมผัสมาหลายครั้ง
ในพระสูตรก็กล่าวถึงว่า คนที่ไม่เชื่อว่าเทวดามี อาจถึงขั้นเป็นมิจฉาทิฐิทีเดียว
***************
buddhajao7_1S.gif 4.14K 122 ดาวน์โหลด
อปัณณกสูตร
พระผู้มีพระภาคตรัสเรื่อง สัมมาทิฎฐิ คือ ความเห็นอันถูกต้อง ดังนี้
ทานที่ให้แล้วมีผล การบูชามีผล ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วของสัตว์มีอยู่
โลกนี้มี โลกหน้ามี คุณบิดา,มารดามี อุปปาติกสัตว์มีอยู่(เช่นเทวดา) ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีอยู่
ผู้ที่มีความเห็นชอบดังนี้ ย่อมทำทาน ทำการบูชา รู้จักข่มใจ สำรวม กล่าวคำสัตย์ มีความเพียร บากบั่น
เว้นอกุศลธรรมทั้งมวล คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต จักประกอบกุศลธรรม คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต
เขาจักเป็นผู้มีชัยในโลกทั้งสอง คือ ถ้าโลกหน้ามีจริง เขาจักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ส่วนปัจจุบันย่อมได้รับการสรรเสริญจากวิญญูชน
buddhajao7_1S.gif 4.14K 122 ดาวน์โหลด buddhajao7_1S.gif 4.14K 122 ดาวน์โหลด
ส่วนผู้มีความเห็นอันตรงข้าม จักเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ ย่อมเว้นจากกุศลธรรม คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต
จักประกอบอกุศลธรรมทั้งหลาย คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
เขาจักเป็นผู้ปราชัยในโลกทั้งสอง คือ ถ้าโลกหน้ามีจริง เขาจักเข้าถึงอบาย ทุคติ นรก
ส่วนปัจจุบันย่อมได้รับการติเตียนจากวิญญูชน
***********************
buddhajao7_1S.gif 4.14K 122 ดาวน์โหลด buddhajao7_1S.gif 4.14K 122 ดาวน์โหลด buddhajao7_1S.gif 4.14K 122 ดาวน์โหลด
ขยายความ * มิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดที่ว่า ผลของความดีความชั่วไม่มี ความเพียรที่ทำไว้ไม่มีผล
เทวดา- นรกสวรรค์และโลกหน้าไม่มี
ซึ่งผลร้ายของมิจฉาทิฎฐิก็คือ เป็นความคิดเห็นที่นำไปสู่การทำความชั่วและบาปกรรมทั้งปวง อย่างร้ายแรง
************
#23
โพสต์เมื่อ 17 January 2008 - 01:17 AM
สิ่งไหนดีควรทำสิ่งไหนแยกแยะออกว่าไม่ดีก็ไม่ควรทำ การบวงสรวงเส้นไหว้เทพเทวาด้วยเดรัชฉานที่ตายแล้วก็อาจเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ การกินเจเพื่อชำระกายอันบริสุทธิ์เป็นเรื่องดีก็ควรทำ อะไรทำนองเนี้ย หรือแม้แต่หลักของศาสตร์ฮวงจุ้ยการจัดห้อง การวางตำแหน่งข้าวของต่างๆ ก็ควรทำเพราะว่าจะได้ดูสะอาดตา ทำให้สบายใจก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ถ้าสัมผัสทั้ง 5 มีความสุข ผมว่าจิตก็มีความสุขจะมีสมาธิมากขึ้นได้ครับ
แท้จริงแล้วศาสนาพุทธผมคงไม่มองว่าเป็นศาสนาแต่เรียกว่าพุทธเฉยๆ เพราะพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงสอนให้เราเชื่อในสิ่งที่ท่านพบเจอมาแต่หากสอนให้เราใช้ปัญญาเพื่อหาความจริงต่างหาก เพราะฉะนั้นต้องใจกว้างครับ
#24
โพสต์เมื่อ 17 January 2008 - 05:09 PM
แต่ต้องอย่าลืม หลักวิชชาที่สำคัญที่สุดที่อยู่เบื้องหลังครับ นั่นคือ การสร้างบุญสั่งสมบารมี ด้วยการทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เพราะบุญจะเป็นที่พึ่งให้กับเราได้อย่างถ่องแท้ สามารถพิสูจน์ได้โดยทดลองปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ควบคู่ไปกับคำสอนอื่นๆ แต่อย่าปฏิบัติแต่คำสอนอื่น จนละเลยคำสอนของพระพุทธเจ้าครับ เพราะสุดท้ายจะเป็นภัยแก่ชีวิต เหมือนคนในยุคปัจจุบันที่
หลายคน กินเจไปด้วย แต่ถึงเทศกาลไหว้เจ้า ก็ฆ่าไก่ไหว้เจ้า อย่างนี้เรียกว่า กินเจ แต่ไม่รักษาศีล อันตรายครับ
หลายคน จัดฮวงจุ้ยอย่างดี แต่ไม่ทำทาน ไม่แบ่งปันให้สมณะผู้ประเสริฐ ไม่สงเคราะห์โลก อย่างนี้อันตรายครับ
#25
โพสต์เมื่อ 28 February 2015 - 12:19 AM
สนุกไหม ที่มาว่าเทพเจ้าของคนจีน และเชื้อจีนว่าเป็นเล่น
#26
โพสต์เมื่อ 28 February 2015 - 09:38 AM
ยังไงรบกวนท่าน Aliz กลับขึ้นไปอ่านใหม่ ค่อยๆ พิจารณานะครับ
จะเห็นว่าเราไม่ได้มีการตำหนิ หรือล้อเล่นแต่อย่างใด แต่ทุกๆ คำตอบ ตอบในทัศนคติของผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา ไม่มีข้อความไหนที่ใช้ตำพูด หรือแสดงทัศนคติที่ไม่สมควรเลย
เรื่องเทพเจ้าของจีนต่างๆ นั้น ท่านสามารถศึกษาได้ด้วยตนเอง มีข้อมูลมากมาย จะเห็นว่า ความคิดเห็นที่แสดงนั้นไม่ได้ผิดแผงแตกต่างไปจากหลักความจริงทางประวัติศาสตร์เลย
ลองเปิดใจศึกษาดูนะครับ อย่าเพิ่งเอากำแพงที่เรียกว่า ความศรัทธามากั้น ศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้ แล้วค่อยศรัทธาก็ยังไม่สายไปหรอกครับ
#27
โพสต์เมื่อ 10 March 2015 - 07:08 AM
I'm authentic Chinese and my mother in law and cousins are still in Beijing. We don't respect or pay homage to any Gods or Goddesses (Chinese Saint). We just celebrate season greeting such as we give some change (small amount of cash) for the young for keeps or in Moon Festival, we celebrate or throw a party with fireworks without paying respect or homage to anything neither. Those are just old believes or old folk norms only. I have seen Chinese in Thailand paying homage to earth sprites or air sprites. Just for information.