ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

ศาสนาในยุควิทยาศาสตร์รุ่งเรือง


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 09 January 2006 - 12:07 AM

คัดลอกมา

เขียนโดย......พิพัฒน์ บุญยง
เรียบเรียงจากข้อเขียนของ Dr.K.Sri Dhammananda เรื่อง Religion in a Scientific Age



ปัจจุบันเรากำลังมีชีวิตอยู่ในยุควิทยาศาสตร์ เป็นยุคที่ชีวิตเกือบจะทุกด้านได้รับผลกระทบจากวิทยาศาสตร์ นับตั้งแต่การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ในระหว่างศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา วิทยาศาสตร์ได้มีอิทธิพลต่อความคิดและการกระทำของมนุษย์อย่างมากมายและต่อเนื่อง

ผลกระทบทางวิทยาศาสตร์ได้ทวีมากขึ้นโดยเฉพาะเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาที่เคยเชื่อตาม ๆกันมา แนวความคิดพื้นฐานของหลายศาสนาได้พังครืนลงเพราะแรงกระแทกของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่โดยไม่เป็นที่ยอมรับของปัญญาชนและผู้คงแก่เรียนอีกต่อไป และก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกันที่จะยืนยันว่าสิ่งใดจริงหรือไม่จริงโดยอาศัยการเก็งความจริงตามทฤษฎีเทววิทยา หรือโดยการอ้างคัมภีร์อย่างเดียว ไม่พิจารณาตามหลักวิทยาศาสตร์
ตัวอย่าง การค้นพบของนักจิตวิทยาสมัยใหม่ ระบุว่าจิตใจของมนุษย์ ก็เป็นเช่นเดียวกันกับร่างกาย คือทำงานไปตามธรรมชาติและตามเหตุปัจจัย โดยไม่มีวิญญาณอมตะที่มีตัวตนถาวรไม่มีการเปลี่ยนแปลงครอบครองอยู่ อย่างที่บางศาสนาสอน

นักสอนศาสนาของบางศาสนาเลือกที่จะไม่เชื่อเรื่องการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งขัดแย้งกับคำสอนของศาสนาของเขา การทำใจแข็งไม่ยอมเชื่ออะไรนอกจากคัมภีร์นี้ เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของมนุษย์ชาติอย่างแท้จริง
แต่คนสมัยใหม่ปฏิเสธที่จะไม่เชื่ออะไรโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณา แม้สิ่งนั้นจะได้รับการยอมรับเชื่อถือมาแต่เดิมก็ตาม จึงทำให้นักศาสนาเหล่านั้นประสบผลในด้านเพิ่มจำนวนของผู้ที่ไม่เชื่อคำสอน ของเขามากขึ้น

อีกประการหนึ่ง นักศาสนาบางศาสนาเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะปรับเปลี่ยนคำสอนทางศาสนาของตนเสียใหม่ ให้เหมาะสมกับทฤษฎีวิทยาศาสตร์ ที่มหาชนยอมรับกันอย่างแพร่หลาย เช่นในประเด็นที่ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) ค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการ (Theory of Evolution) เป็นตัวอย่าง
นักการศาสนาจำพวกนั้นยังคงยึดหลักที่ว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าโดยตรง ซึ่งตรงกันข้ามกับดาร์วิน ที่อ้างว่ามนุษย์ได้วิวัฒนาการมาจากลิง Ape ซึ่งเป็นทฤษฎีที่คว่ำคำสอนเรื่องพระเจ้าผู้สร้าง (Doctrine of Devine Creation) และความหายนะของมนุษย์ชาติ (the fall of man)

เนื่องจากบรรดานักคิดค้นที่รู้แจ้งความจริงทั้งหลาย ล้วนยอมรับทฤษฎีของดาร์วิน จึงทำให้นักเทวนิยมปัจจุบันแทบจะไม่มีทางเลือกนอกจากจะแปลงคำสอนของตนเสียใหม่ เพื่อให้เหมาะกับทฤษฎีที่พวกเขาได้คัดค้านมานาน

มองในแง่ของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้โดยไม่ยากว่า ทัศนะเกี่ยวกับเอกภพและชีวิต ที่ศาสนาต่าง ๆ ยึดถืออยู่ เป็นเพียงความคิดเห็นที่เชื่อตามกันมาแต่โบราณ ซึ่งโดยทั่วไปถือว่า ศาสนาต่างๆ ได้มีคุณูปการต่อความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาติ เพราะศาสนาได้เป็นผู้วางค่านิยมและมาตรฐานต่าง ๆ รวมทั้งได้สร้างรูปแบบหลักเกณฑ์สำหรับประพฤติปฏิบัติ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตของมนุษย์ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ศาสนาได้ทำมา

ศาสนาก็ไม่อาจดำรงคำสอนให้อยู่ตลอดไปได้ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะเมื่อมาถึงยุควิทยาศาสตร์ ถ้าสาวกของศาสนายังยืนกรานที่จะรักษารูปแบบดั้งเดิม และยึดคำสอนที่สอนให้เชื่อตามอย่างเดียว ยังยืนหยัดที่จะส่งเสริมพิธีกรรมและข้อปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งก็ค่อย ๆ หมดความหมายและลดจำนวนผู้เชื่อถือไปตามยุคสมัย

พระพุทธศาสนาอุบัติขึ้นเมื่อ 543 ปี ก่อนคริสต์ศักราชและได้แพร่หลายอยู่ในหลายประเทศในแถบเอเชีย
ก่อนที่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่จะเกิดขึ้น ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นต้นมา พระองค์ไม่เคยปิดกั้นแต่ได้เปิดโอกาสให้แนวความคิดทางวิทยาศาสตร์เข้ามาพิสูจน์คำสอนของพระองค์ได้เสมอตลอดมา

เหตุผลประการแรกที่คำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอดคล้องเข้ากันได้กับแนวความคิดของวิทยาศาสตร์ก็คือว่า พระองค์ไม่ส่งเสริมความเชื่อแบบตายตัว ที่สอนให้ปฏิบัติตามอย่างเดียว พระองค์ไม่ทรงจำกัดสิทธิในการที่จะเชื่อคำสอนของพระองค์ ว่าจะต้องมีศรัทธา (faith) มาก่อนที่จะมีความเชื่อ (belief) หรืออ้างว่าคำสอนของพระองค์เป็นคำสอนที่พระเจ้านำมาเปิดเผย แต่พระองค์ทรงอนุญาตให้ใช้ความคิดอย่างรอบคอบ และอย่างเสรีตรวจสอบ แล้วจึงค่อยเชื่อ

เหตุผลประการที่สองก็คือ เราสามารถพบว่า ในการที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เข้าถึงความจริงทางจิตหรือวิญญาณ คือความจริงอันประเสริฐนั้น พระองค์ได้ใช้หลักที่เรารู้จักในภายหลัง ว่าเป็นหลักวิทยาศาสตร์ วิธีการค้นพบและการตรวจสอบความจริงดังกล่าว เป็นวิธีที่เหมือนกันกับวิธีที่นักวิทยาศาสตร์ใช้อยู่ในภายหลัง ต่างกันเพียงว่า นักวิทยาศาสตร์สังเกตตรวจสอบโลกภายนอกอันเป็นเรื่องของวัตถุ และกำหนดวางหลักทฤษฎีไว้หลังจากได้ดำเนินการทดลองจนได้ข้อยุติแล้ว

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงใช้หลักวิธีเดียวกันนี้ พิสูจน์ทดลองหาความจริงเกี่ยวกับโลกภานในอันเป็นเรื่องจิตใจ หรือวิญญาณ และพระองค์ได้ทรงปฏิบัติจนบรรลุถึงความจริงนั้น แล้วถอนตัวออกโดยไม่ยึดติด นอกจากนั้นพระองค์ทรงสอนสาวกของพระองค์ มิให้ยอมรับคำสอนใด ๆ จนกว่าจะได้ตรวจสอบและพิสูจน์ความจริงด้วยตนเองเสียก่อน เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เคยห้ามว่า ทฤษฎีนั้น ๆ ผู้ใดอื่นจะเอาไปพิสูจน์ทดลองอีกไม่ได้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน จะไม่อ้างสิทธิว่าประสบการณ์แห่งการตรัสรู้ของพระองค์ จะสงวนไว้เฉพาะพระองค์ ผู้ใดจะนำไปปฏิบัติหรือพิสูจน์ทดลองอีกไม่ได้

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จัดว่าเป็นนักวิเคราะห์ชั้นเลิศ พระองค์ทรงจำแนกแยกแยะให้รู้ว่าอะไรเป็นเหตุของอะไร และอะไรเป็นผลของอะไร ซึ่งเป็นหลักวิธีที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันกำลังกระทำอยู่ พระองค์ได้ทรงวางวิธีการสำหรับการปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จ อันเป็นหลักวิทยาศาสตร์ ไว้สำหรับเข้าถึงความจริงสูงสุด(Ultimate Truth) ตลอดจนประสบการณ์แห่งการตรัสรู้ของพระองค์

การที่พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่มีแนวเดียวกัน กับหลักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมากนั้นจะถือว่าพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์มีค่าเท่าเทียมกันย่อมเป็นการไม่ถูกต้อง จริงอยู่การนำเอาวิทยาศาสตร์ไปประยุกต์ใช้ทำให้มนุษย์ชาติดำเนินชีวิตไปอย่างสะดวกสบายด้วยการได้ใช้เครื่องใช้สอยชนิดที่เรียกว่าดีเลิศอย่างที่คนสมัยก่อนไม่เคยพบแม้แต่ในฝัน วิทยาศาสตร์ทำให้มนุษย์สามารถว่ายน้ำได้ดีกว่าปลา บินได้สูงกว่านก และสามารถเดินบนโลกพระจันทร์ได้ แม้กระนั้นก็ตาม ขอบข่ายของความรู้ที่ยอมรับอันเป็นสิ่งพื้นๆ ธรรมดาๆ สำหรับนักวิทยาศาสตร์

ก็มีวงจำกัดอยู่เฉพาะสิ่งที่จะต้องมีการพิสูจน์ทดลอง และความจริงทางวิทยาศาสตร์ก็ตกอยู่ในภาวะที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง วิทยาศาสตร์ไม่สามารถจะสอนให้มนุษย์ควบคุมจิตใจของตัวเอง และทั้งไม่สามารถจะควบคุมศีลธรรมจรรยา และวางแนวทางให้มนุษย์ปฏิบัติตามหลักศีลธรรมจรรยาเช่นนั้นได้ ทั้ง ๆ ที่วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ชั้นเลิศน่ามหัศจรรย์ แต่ก็มีข้อเสียมากมายมหาศาลพอกัน แต่พระพุทธศาสนาหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะพุทธศาสนาสอนคนให้รู้ทั้งความดีและความไม่ดี แต่ให้ปฏิบัติแต่ความดี เพื่อประโยชน์และความสุขของตนและของชน หมู่มาก

โดยทั่วไปเรามักจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวมากมายนี่เกี่ยวกับความสำเร็จวิทยาศาสตร์ และสิ่งที่วิทยาศาสตร์ได้ประดิษฐ์ขึ้น แต่ไม่ค่อยจะได้ยินได้ฟังเรื่องที่วิทยาศาสตร์ทำไม่ได้ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะถูกจำกัดด้วยข้อมูลที่ได้รับผ่านประสาทรับความรู้สึก (คือ ทางตา ทางหู ฯลฯ) แต่จะไม่รู้จักความจริงที่อยู่เหนือข้อมูลดังกล่าว ความจริงทางวิทยาศาสตร์จะถูกสร้างขึ้น บนพื้นฐานของการสังเกตข้อมูล ทางประสาทรับความรู้สึก ซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่เสมออย่างต่อเนื่อง

เพราะฉะนั้นความจริงทางวิทยาศาสตร์ จึงถือว่าเป็นความจริงสัมพัทธ์ ที่ไม่ได้ตั้งใจ จะให้เป็นตัวยืนในการทดสอบตลอดกาล และนักวิทยาศาสตร์ก็ตระหนักความจริงข้อนี้ดี จึงสามารถละทิ้งทฤษฎีเดิมเมื่อมีทฤษฎีใหม่ที่ดีกว่าเข้ามาแทนที่

วิทยาศาสตร์พยายามศึกษาเพื่อให้เข้าใจโลกเฉพาะภายนอก โดยไม่แตะความรู้โลกภายในของมนุษย์แม้แต่น้อย แม้แต่นักวิทยาศาสตร์วิชาจิตวิทยาเอง ยังไม่เข้าใจสาเหตุที่แฝงอยู่ภายใต้ความทุกข์ทางใจของมนุษย์
เช่นเมื่อมนุษย์รู้สึกอึดอัดขัดข้องและเบื่อหน่ายชีวิตแม้เรื่องภายในใจของเราเต็มไปด้วยความทุกข์ร้อนกระสับกระส่าย วิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหาเครื่องมือหรืออุปกรณ์มาช่วยบรรเทาได้ ฝ่ายวิชาสังคมศาสตร์ซึ่งดูแลสอดส่องสิ่งแวดล้อมของสังคมมนุษย์ อาจนำความสุขมาให้ได้ระดับหนึ่ง แต่มนุษย์ไม่เหมือนสัตว์โดยทั่วไป ย่อมต้องการมากไปกว่าความสะดวกสบายเฉพาะทางร่างกายเท่านั้น แต่จำเป็นที่จะต้องมีสิ่งช่วยจัดการกับความทุกข์ใจและความเดือดร้อนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ประจำวันของเขาด้วย

ถามว่า วิทยาศาสตร์สามารถทำให้มนุษย์เป็นคนดีขึ้นกว่าเดิมไหม ? ถ้าสามารถทำได้ ทำไมการกระทำความรุนแรงและผิดศีลธรรม จึงยังคงมีอยู่ในประเทศทั้งหลายที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จะไม่ถือว่าเป็นการยุติธรรมหรือที่จะกล่าวว่า ทั้ง ๆ ที่เราประสบความสำเร็จในด้านความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และได้รับประโยชน์มากมายที่วิทยาศาสตร์มอบให้แก่มนุษย์ แต่วิทยาศาสตร์ก็ปล่อยให้พื้นเพภายในของมนุษย์ เป็นไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นเลย วิทยาศาสตร์ทำได้เพียงทำให้มนุษย์รู้สึกว่า ตัวเองจะต้องพึ่งวัตถุภายนอกมากขึ้นและมากขึ้น

แต่จุดสุดท้ายแห่ง ”ความพอ” ในสิ่งที่ต้องการนั้นอยู่ที่ไหน ? นอกเหนือไปจากที่วิทยาศาสตร์ล้มเหลวในการนำความมั่นคงมาสู่มนุษย์แล้ว วิทยาศาสตร์ยังทำให้มนุษย์เกิดความรู้สึกไม่มั่นใจมากขึ้นไปอีก โดยวิทยาศาสตร์แสดงท่าทีทำนองขู่คนทั่วไป ว่าความรุนแรงของอาวุธที่วิทยาศาสตร์ประดิษฐ์ขึ้น อาจจะทำให้โลกแตกสลายไปในที่สุดได้

วิทยาศาสตร์ไม่สามารถบ่งชี้จุดหมายปลายทางที่ชีวิตมุ่งประสงค์ได้ วิทยาศาสตร์ไม่สามารถให้เหตุผลที่ชัดเจนสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์ จริง ๆ แล้ววิทยาศาสตร์เป็นเรื่องเกี่ยวกับทางโลก อันเป็น โลกียวัตถุโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนปลาย เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับจุดหมายปลายทางของจิตหรือวิญญาณของมนุษย์ ลัทธิวัตถุนิยมที่ฝังติดอยู่ในแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ปฏิเสธไม่รับรู้เรื่องจุดหมายปลายทางของจิตหรือวิญญาณว่าเป็นสิ่งที่อยู่เหนือหรือสูงกว่าความพอใจทางวัตถุ โดยสรรหาแต่จะสร้างทฤษฎีและความจริงสัมพัทธ์ วิทยาศาสตร์จึงไม่สนใจเรื่องบางเรื่อง ทั้งที่มีสาระสำคัญมากที่สุดและทิ้งคำถามหรือปัญหาข้อสงสัยจำนวนมากไว้โดยไม่มีการตอบหรือไขข้อข้องใจให้หายสงสัยได้

เช่นเมื่อมีผู้ถามว่าทำไมในระหว่างมนุษย์ด้วยกัน จึงมีความไม่เท่าเทียมกันแทบจะทุกด้านอย่างที่เห็น วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถให้คำอธิบายต่อคำถามลักษณะนี้ได้ เพราะอยู่นอกเหนือขอบเขตแห่งความรู้ความเข้าใจเพียงเสี้ยวเดียวของสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังไม่รู้
แต่จิตที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพัฒนาและฝึกฝนดีแล้ว ที่อยู่เหนือประสบการณ์ของคนธรรมดา จะไม่ถูกจำกัดด้วยข้อมูลที่ผ่านทางประสาทสัมผัส และอยู่เหนือหลักตรรกศาสตร์ ที่ถูกกักไว้ภายในวงจำกัดของสัญญา คือ
ความจำสัมพัทธ์ ตรงกันข้ามเชาวน์ปัญญาของปุถุชนจะทำงานได้
้เฉพาะเมื่อมีพื้นฐานข้อมูลที่ได้รวบรวมเก็บเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านศาสนา ปรัชญา วิทยาศาสตร์หรือศิลปะ ข้อมูลข่าวสารสำหรับจิตจะถูกเก็บสะสมไว้ผ่านทางประสาทรับความรู้ของเรา ซึ่งก็ด้อยกว่าของพระองค์ในหลายกรณี ข้อมูลข่าวสารที่จดจำไว้ค่อนข้างจำกัดมากนี้ ทำให้เราเข้าใจเรื่องราวของโลกค่อนข้างกระท่อนกระแท่น


ในหนังสือของเขาที่ชื่อ Learned Ignorance,นิโคลาส แห่งคูลา - (Nicholas of Cula) ปราชญ์ชาวฝรั่งเศสตั้งข้อสังเกตุว่า :-

“ความรู้ที่เรานำไปคุยอวดกันมากมายนั้น ล้วนตั้งอยู่บนฐานของความรู้สึกของเรา จริง ๆ แล้วคือความโง่ และความรู้ที่แท้จริง ก็ได้มาโดยการสลัดความรู้ที่กล่าวมาแล้ว จนกระทั่งเราสามารถคิดได้ โดยไม่ใช้ความคิดเห็นที่ต้องใช้ประสาทรับความรู้ เท่านั้น”

“ความจริง”(Truth)ไม่ขึ้นอยู่กับวัตถุภายนอกตัวเรา แต่ “ความจริง” อยู่ภายในตัวของเราเอง เราไม่สามารถหวังจะพบ “ความจริง” โดยการทดลองหรือโดยสัญญาความจำได้หมายรู้ โดยอาศัยประสาทรับความรู้ หรือแม้โดยตรรกศาสตร์และการหาเหตุผล เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องมือสำหรับหาความรู้แต่ไม่ใช่เครื่องมือสำหรับหา “ความจริง”
“ความจริง” จะต้องได้มาจาก “การตระหนักในความจริง” ภายใน

“หนังสือสามารถเพียงกระตุ้นความคิดและให้ความรู้แก่เราเท่านั้น สำหรับ ”ความจริง” นั้น ท่านจะต้องหันสายตาของท่านทั้งสองข้างเข้าสู่ภายใน เพราะ “ความจริง” นั้นอยู่ภายในตัวท่าน และการค้นหาความรู้ก็เป็นคนละเรื่องกับการค้นหา “ความจริง”

“คำพูด เป็นผลผลิตที่ไม่ยั่งยืนของจิตใจของเรา และจิตใจของเราก็อาศัยประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสของเรา เพื่อความรู้ทั้งปวงที่เกิดในใจ ประสาทสัมผัสหรือประสาทรับความรู้เหล่านั้น บางทีก็ไว้วางใจไม่ได้ เหตุการณ์หนึ่งที่หลายคนเห็นพร้อมกัน ก็อาจถูกอธิบายได้หลายอย่างต่าง ๆกันแล้วแต่คนจะมอง”

ประชาชนบางคนก็ภูมิใจว่าเรารู้อะไรต่ออะไรมากมาย จริง ๆ แล้ว คนเรายิ่งรู้ว่าตัวเองรู้น้อย ก็ยิ่งแสดงตัวว่ารู้มากในการอธิบายอะไรต่ออะไร และเรายิ่งรู้มากเท่าไร เราก็ยิ่งรู้ตัวว่าความรู้ของตัวเองยังน้อยอยู่

ครั้งหนึ่ง มีนักปราชญ์ผู้ชาญฉลาดท่านหนึ่งเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งตัวท่านเองพิจารณาเห็นว่าเป็นงานชั้นเยี่ยมยอด ท่านรู้สึกว่าหนังสือเล่มนั้นบรรจุ “รัตนะแห่งวรรณกรรม” และปรัชญาหลายสำนัก เนื่องจากท่านภูมิใจในความสำเร็จของท่าน จึงนำงานชิ้นเอกนี้ไปอวดเพื่อนร่วมวงการของท่าน ซึ่งเป็นคนฉลาดหลักแหลมเท่าเทียมกัน พร้อมกับขอร้องให้ช่วยวิจารณ์หนังสือเล่มนั้น แต่แทนที่เพื่อนของท่านจะทำตามคำขอร้อง กลับให้ผู้แต่งเขียนทุกอย่างที่เขารู้

พร้อมกันนั้นก็ให้เขียนทุกอย่างที่เขาไม่รู้ลงในแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ให้ด้วย ผู้แต่งหนังสือเล่มนั้น นั่งลง คิดอย่างหนักอยู่สักครู่ใหญ่ ปรากฏว่าไม่สามารถจะเขียนสิ่งที่เขารู้ลงในแผ่นกระดาษได้ และแล้วก็หันมาคิดหาสิ่งที่เขาไม่รู้ ก็ปรากฏว่าว่าไม่สามารถนึกออกเช่นเดียวกันว่าเขาไม่รู้อะไรบ้าง ในที่สุด ด้วยการยึดมั่นอัตตาในส่วนลึกแห่งหัวใจ ท่านจึงล้มเลิกโดยตระหนักชัดว่า ทุกสิ่งที่เขารู้ จริง ๆ แล้วไม่รู้อะไรเลย

เกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ โซเครติส (Socrates) นักปราชญ์แห่งโลกสมัยนั้น เมื่อถูกถามเกี่ยวกับความรู้ของท่าน ท่านตอบว่า “สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้ารู้ ” คือ “ รู้ว่า ข้าพเจ้าไม่รู้อะไรเลย ” ( I know only one thing – that is I do not know anything)

พระพุทธศาสนานับว่าได้ก้าวเดินไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ที่ได้ค้นพบความรู้ลึกซึ้งกว้างขวางกว่าที่วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ พระพุทธศาสนายอมรับทั้งความรู้ที่เกิดขึ้นจากประสาทสัมผัส (sense organs) และความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ส่วนบุคคล โดยผ่านการอบรมจิต (mental culture)

โดยการฝึกและพัฒนาจิตให้มีสมาธิสูงสุด บุคคลย่อมสามารถเข้าใจและพิสูจน์ยืนยันการเห็นธรรมได้ เพราะการบรรลุธรรม มิใช่เรื่องที่จะทำได้โดยการทำการทดลองในหลอดทดลอง หรือโดยการตรวจสอบภายใต้กล้องจุลทัศน์

ความจริงที่วิทยาศาสตร์ค้นพบ เป็นความจริงสัมพัทธ์ และต้องขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลง ส่วนความจริงที่ค้นพบโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความจริงขั้นสิ้นสุด และเบ็ดเสร็จ คือ ความจริงเกี่ยวกับพระธรรม(The Truth of Dhamma) ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาละและเทสะ (Time and Space)

นอกจากนั้นในทางตรงกันข้ามกับการวางทฤษฎีแบบเลือกสรรของวิทยาศาสตร์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งเสริมให้ผู้มีปัญญาทั้งหลายอย่าติดอยู่กับทฤษฎี ไม่ว่าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์สาขาอื่นใด แทนที่จะยึดติดอยู่กับทฤษฎี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนประชาชน ให้ดำเนินชีวิตอย่างมีธรรม เพื่อจะได้พบความจริงสูงสุด (Ultimate Truths) โดยการดำเนินชีวิตอันประกอบด้วยธรรมะ โดยการทำอินทรีย์ให้สงบระงับ และโดยการสลัดทิ้งตัณหาทั้งหมด

นี้เป็นทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงชี้ว่าเป็นทางที่เราสามารถพบความจริงภายในตัวเราที่เป็นธรรมชาติของชีวิต และในที่สุดวัตถุประสงค์อันแท้จริงของชีวิตก็เป็นที่ประจักษ์แก่ใจ

การลงมือปฏิบัติ เป็นสิ่งสำคัญมากในพระพุทธศาสนา บุคคลที่ศึกษามากแต่ไม่ปฏิบัติ ก็อุปมาเหมือนบุคคลที่ท่องจำตำหรับอาหารจากหนังสือ”ตำราอาหาร”เล่มใหญ่ได้หมด แต่ไม่ลงมือประกอบอาหารแม้แต่อย่างเดียว บุคคลผู้นั้นก็ไม่สามารถบรรเทาความหิวของเขา และก็ไม่รู้รสอาหารที่อยู่ในตำราเล่มนั้นได้ การปฏิบัติเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากของการตรัสรู้ธรรม จนกระทั่งว่าบางนิกายในพระพุทธศาสนา
เช่นนิกายเซน (Zen) กำหนดให้ลงมือปฏิบัติไปก่อนแล้วจึงค่อยเรียนรู้ตามทีหลัง

วิธีการของวิทยาศาสตร์ เป็นวิธีการที่มุ่งตรงไปยังสิ่งภายนอก และนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่นั้นใช้ประโยชน์จากธรรมชาติและแร่ธาตุต่าง ๆ เพื่อความสะดวกสบายของเขา โดยไม่คำนึงถึงความสมดุลย์ของสิ่งแวดล้อม และด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นเหตุให้โลกเกิดมลภาวะ ตรงกันข้าม

พระพุทธศาสนาดำเนินการปฏิบัติตรงเข้าสู่เป้าหมายภายในด้วยการพัฒนาจิตของมนุษย์เรา ในระดับพื้น ๆ พระพุทธศาสนาสอนให้แต่ละคนรู้วิธี ที่จะปรับปรุงตัวเองและจัดการกับเหตุการณ์และเหตุแวดล้อมต่าง ๆ ของชีวิตประจำวัน ในระดับสูงขึ้นมา

พระพุทธศาสนาเสนอแนะมนุษยชาติให้มีความเพียรพยายามที่จะทำให้ตัวเองมีสถานะสูงขึ้น โดยการปฏิบัติอบรมและพัฒนาจิตใจให้มีคุณภาพและคุณธรรมสูงสุด

พระพุทธศาสนามีวิธีอบรมและพัฒนาจิต ที่เป็นระบบและสมบูรณ์แบบ ที่ทำให้จิตมีสมาธิและเกิดปัญญาหยั่งรู้ธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง ซึ่งนำไปสู่การรู้ประจักษ์ความจริงสูงสุด คือ พระนิพพานด้วนตนเอง ระบบนี้เป็นระบบที่เน้นการปฏิบัติ เพื่อพัฒนาจิตไปสู่การตรัสรู้ อันเป็นวิธีดำเนินการที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการสังเกตอารมณ์และสภาพของจิตอย่างเป็นกลาง ค่อนข้างคล้ายกับนักวิทยาศาสตร์มากกว่าคล้ายผู้พิพากษา คือผู้ทำสมาธิจะสังเกตโลกภายใน (กาย) โดยใช้สติพิจารณา

วิทยาศาสตร์ ถ้าปราศจากอุดมการณ์ทางศีลธรรม ย่อมก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษยชาติ วิทยาศาสตร์สร้างเครื่องจักรกลขึ้นมา ซึ่งทำให้เขากลายเป็นเจ้าแผ่นดินเป็นสิ่งตอบแทน กระสุนและลูกระเบิด เป็นของขวัญของวิทยาศาสตร์ สำหรับบุคคลเพียงไม่กี่คนที่มีอำนาจ ซึ่งชะตากรรมของโลกตกอยู่ในมือของเขา

ขณะที่มนุษย์ที่เหลือต้องรอคอยด้วยความทุกข์ร้อนและความกลัว โดยไม่รู้ว่าเมื่อไรอาวุธนิวเคลียร์ ก๊าซพิษ และอาวุธร้ายแรง อันเป็นผลผลิตของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งล้วนได้รับการออกแบบเพื่อใช้ในการฆ่า และทำลายมนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ จะถูกนำมาใช้กับพวกเขาด้วย

วิทยาศาสตร์ไม่เพียงแต่ไม่สามารถจะนำทางสำหรับมนุษยชาติในทางศีลธรรมเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ป้อนเชื้อของเพลิงแห่งตัณหาของมนุษยชาติด้วย

วิทยาศาสตร์ที่ไม่คำนึงถึงศีลธรรมย่อมก่อให้เกิดการทำลายล้างโดยฝ่ายเดียว วิทยาศาสตร์จึงกลายเป็นอสุรกายที่โหด***มที่มนุษย์เคยพบมา และเป็นคราวเคราะห์ร้ายที่อสูรกายตัวนี้ กำลังจะกลายเป็นสิ่งที่มีอำนาจมากต่อมนุษย์เอง ถ้ามนุษย์เรียนรู้วิธีที่จะกำจัดและควบคุมสัตว์ประหลาดตัวนี้ โดยการปฏิบัติตามศีลธรรมของศาสนา มันก็จะหมดอำนาจควบคุมเหนือมนุษย์ ถ้าไม่รีบดำเนินตามคำสอนของศาสนา วิทยาศาสตร์ก็จะข่มขู่โลกด้วยการทำลายล้าง ในทางตรงกันข้าม แต่วิทยาศาสตร์เมื่อมาจับคู่กับศาสนาอย่างเช่นศาสนาพุทธ ก็สามารถเปลี่ยนโลกใบนี้ให้เป็นสวรรค์แห่งสันติ มีความสะดวกสบายมั่นคงและสงบสุข

ไม่เคยมีแม้แต่สักครั้งเดียวที่วิทยาศาสตร์และศาสนาจะมาประสานและร่วมมือกันทำงาน เพื่อความเจริญรุ่งเรือง และความสงบสุขของมวลมนุษยชาติ แต่ความหวังนี้ก็คงเป็นความหวังที่ลม ๆ แล้ง ๆ เพราะศาสนาที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ก็เปรียบเหมือนกับคนตาบอด ในขณะเดียวกันวิทยาศาสตร์ที่ปราศจากศาสนาก็เปรียบเหมือนกับคนพิการ

คำสอนของพระพุทธศาสนาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางไว้ โดยอาศัยพระมหากรุณาธิคุณ มีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ในการที่จะแก้ไขจุดหมายปลายทาง อันเต็มไปด้วยอันตรายใหญ่หลวง ที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่กำลังมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึง พระพุทธศาสนาสามารถสร้างความเป็นผู้นำทางวิญญาณ ที่จะนำทางการประดิษฐ์คิดค้นทางวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมอันสุกใสในอนาคต

พระพุทธศาสนาสามารถชี้จุดหมายปลายทางที่มีคุณค่าให้แก่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งกำลังเผชิญทางตันอย่างหมดหวัง ในอันที่จะต้องตกเป็นทาส ของสิ่งที่วิทยาศาสตร์เองเป็นผู้สร้างขึ้นมา

อัลเบิร์ด ไอนสไตน์ (Albert Einstein, 1879 - 1955) ได้สดุดีพระพุทธศาสนาว่า

“ ถ้าจะมีศาสนาสักสาสนาหนึ่งที่สามารถสนองความต้องการของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ ศาสนานั้น ก็คือพระพุทธศาสนา ”

พระพุทธศาสนาไม่จำเป็นจะต้องแก้ไขดัดแปลงคำสอน เพื่อให้ทันสมัยและเข้ากันได้กับวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นต้นแบบ ทั้งไม่ต้องยกคำสอนและทัศนะความเห็นในเรื่องใดให้เป็นของวิทยาศาสตร์ เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าได้รวมเอาวิทยาศาสตร์ไว้ในคำสอนของพระองค์ไว้หมดแล้ว และยังมีคำสอนที่เกินเลยออกไปจากที่วิทยาศาสตร์สามารถบอกแก่มนุษยชาติได้

พระพุทธศาสนาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างศาสนากับความคิดทางวิทยาศาสตร์ โดยกระตุ้นมนุษชาติให้ค้นหาศักยภาพที่แฝงอยู่ในตัวของมนุษย์เอง และในสิ่งแวดล้อมเพื่อนำมาใช้ประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ และที่โดดเด่นที่สุด คือพระพุทธศาสนาเป็น “อกาลิกศาสนา ” คือศาสนาที่มีคำสอนที่เป็น “ความจริงและใช้ได้ตลอดกาล ”


#2 ฟ้ายังฟ้าอยู่

ฟ้ายังฟ้าอยู่
  • Members
  • 2511 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 January 2006 - 04:17 PM

วิทยาศาสตร์มักจะตามหลังพุทธศาสน์เสมอมา และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปค่ะ ความรู้ทุกอย่างในโลกนี้นั้น ศึกษาด้วยวิธีปฎิบัติที่พระพุทธเจ้าท่านแนะนำดีที่สุดค่ะ

ชอบบทความนี้มากๆ ค่ะ
"เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)


#3 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 January 2006 - 04:38 PM

ที่สุดของวิทยาศาสตร์แท้ๆ คือ พุทธศาสตร์ ครับ
วิทยาศาสตร์ ว่าด้วยเรื่องของการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง ตั้งสมมุติฐาน สุ่ม เดา หาข้อสรุป ถูกบ้าง ผิดบ้าง
พุทธศาสตร์ ว่าด้วยเรื่องของการรู้แจ้งในทุกสรรพสิ่งทั้งในโลก นอกโลก ตลอดภพ 3 ปราศจากความคาดเดา ปราศจากการลองผิด ลองถูก จัดเป็นศาสตร์ของผู้รู้อย่างแท้จริง


#4 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 09 January 2006 - 04:48 PM

ถูกต้องดังที่คุณ xlmen ให้ความเห็นมาครับ อย่างทฤษฎีวิวัฒนาการที่วิทยาศาสตร์เข้าใจว่าถูกต้องว่า คนมาจาก ลิง ความจริง ในการค้นพบด้วยญาณของพระพุทธเจ้า ท่านเห็นชัดเจนว่า ลิง มาจากคน เริ่มต้นที่ คน แล้วเป็นไปตามกรรม ทำกรรมเป็นคน ก็ยังเป็นคน ทำกรรมเป็นลิง จากคน ก็กลายเป็นลิง


ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#5 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 09 January 2006 - 10:46 PM

ใช่แล้วล่ะครับ เหมือนกับที่คุณยายอาจารย์ฯ ท่านได้บอกไว้ว่า กายในของเขาเป็นคน แต่ที่ต้องมาเกิดเป็นสัตว์ก็เพราะ แรงกรรมนั่นเอง ที่บีบบังคับให้ต้องไปสวมขันธ์เป็นสัตว์ชนิดต่างๆ ครับ

#6 MiraclE...DrEaM

MiraclE...DrEaM
  • Members
  • 1368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 January 2006 - 11:07 PM

มีเรื่องราวเรื่องนึงในพระไตรปิฎก ถ้านักวิทยาศาสตร์ได้อ่าน ก็คงช๊อกแหละครับ เรื่องมีอยู่ว่า พระไตรปิฎกมีการบันทึกเรื่องราวของการพัฒนาการของทารกในครรภ์มารดาตั้งแต่เดือนแรกที่มีการปฏิสนธิ จนกระทั้งครบกำหนดคลอดครับ โดยมีการกล่าวเอาไว้เช่น จุดกำเนิดของชีวิตจะมีขนาดเป็นจุดเล็กๆ ซึ่งก็คือ เอมบริโอ ต่อมา ก็จะมี ระยางทั้ง 5 ซึ่งก็คือ หัว แขน และ ขา เป็นต้น ทั้งๆ ที่ สมัยพุทธกาล ยังไม่มีกล้องที่สามารถเข้าไปดูทารกในครรภ์มารดาได้
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา

*********************

รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว

เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล


คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

#7 LiL' Faery

LiL' Faery
  • Members
  • 1160 โพสต์
  • Location:@ Time : Europe
  • Interests:Basic and Advance Meditation;วิชชา ธรรมกาย<br />Birth Day : 19 January

โพสต์เมื่อ 10 January 2006 - 05:10 AM

This long topic I like and enjoy reading it a lot thank you kah happy.gif
คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง

#8 noon

noon
  • Members
  • 29 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 January 2006 - 12:40 AM

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ นะคะ

ดีใจที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาค่ะ


#9 ป่าน072

ป่าน072
  • Members
  • 371 โพสต์
  • Location:โคราช
  • Interests:การศึกษาต่อในวิชา วิทยาศาสตร์<br />วิศวะปิโตรเคมี

โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 03:39 PM

เป็นอีกความรู้หนึ่งค่ะ สาธุ
เมื่อดวงตาปิดสนิมอย่างละมุน
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง

#10 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 11:08 PM

อนุโมทนาบุญด้วยนะ
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#11 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 11:30 PM

ขออนุโมทนาบุญ ยอดกัลยาณมิตรทุกท่านครับ
พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์