ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

การสวดมนต์พลังพิเศษในตัวคุณ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ฟ้ายังฟ้าอยู่

ฟ้ายังฟ้าอยู่
  • Members
  • 2511 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 January 2006 - 01:00 PM

[attachmentid=1250]


การสวดมนต์พลังพิเศษในตัวคุณ



คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ

โดย น.พ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ หัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ เชียงราย

การสวดมนต์ทำให้เกิดเป็น "พลังงาน" ที่สามารถวัดค่าออกมาได้จริง และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ การสวดมนต์ที่ทำให้เกิดผลดีต่อสุขภาพนั้นไม่จำเป็นต้องมาจาก "ผู้มีพลังพิเศษ" หากแต่สามารถเกิดผลขึ้นได้จากปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ นี้เอง

------------------------------


แต่สิ่งที่ผมอยากจะขอย้ำเตือนในเรื่องของการสวดมนต์นั้นมีอยู่สองสามข้อก็คือ


หนึ่ง ผมต้องการทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านในประเด็นเหล่านี้ โดยอาศัยการอธิบายทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เท่าที่เป็นไปได้ เพื่อให้เห็นภาพรวมทั้งหมดของเรื่องจิตใจที่มีความสำคัญยิ่งต่อวิถีชีวิตของพวกเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ ที่กำลังจะ "ต้องมี" "วิวัฒนาการทางจิตใจ" ด้วยเพื่อก้าวข้ามไปสู่และสามารถใช้ชีวิตดำรงอยู่ "ยุคใหม่" ได้อย่างมีความสุข


สอง ผมยืนยันว่าการสวดมนต์เป็นเพียง "อุบาย" หนึ่ง เป็นวิธีการหนึ่งในหลายๆ อุบายในหลายๆ วิธีการที่จะนำพวกเราไปสู่ "สภาวะแห่งความเป็นปกติ" ตามที่เคยเขียนถึงวิธีการอื่นๆ ในครั้งก่อนๆ มาแล้ว มิได้มีความต้องการให้เห็นลงลึกเกินไปหรือยึดติดเกินไปกับเรื่อง "การสวดมนต์" หรือแม้แต่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ได้นำเสนอมา


เพราะวิธีการที่นำเสนอในแต่ละตอนของคอลัมน์นี้ ก็เป็นเพียงวิธีการหนึ่งในหลายๆ วิธีการ เพราะ "อุบาย" ในการที่นำให้แต่ละท่านเข้าไปสู่ "สภาวะแห่งความเป็นปกติ" นั้นอาจจะไม่เหมือนกัน ความชอบของแต่ละท่านอาจจะไม่เหมือนกัน ไม่มีสูตรตายตัว ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวใดๆ


แม้แต่ว่าจะสวดบทไหนตอนไหน อยากให้ลองทำและเลือกสรรเอง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการลองทำจะบอกเองว่าวิธีการนี้ดีกับตัวเรา เหมาะสมกับตัวเราหรือไม่


สาม ผลของการสวดมนต์นั้นมิได้เป็นกฎเกณฑ์ตายตัวว่าจะต้องเกิดขึ้นจริงเสมอๆ ด้วยการคิดที่เคยชินของพวกเราแบบลูกสนุกเกอร์สองลูกที่วิ่งชนกันในทิศทางหนึ่งที่แน่นอนด้วยแรงหนึ่ง ที่เท่าเดิมเสมอแล้วจะเกิดผลแบบนั้นทุกครั้ง


------------------------------



หากแต่พวกเราจะต้องมอง "ผลของการสวดมนต์" ในมิติของควอนตัมฟิสิกส์ด้วยว่า มันอาจจะเกิดผลแบบใดก็ได้ เหมือนอย่างอิเล็กตรอนที่อาจจะเป็นสสาร อาจจะเป็นพลังงาน มิใช่ว่าจะต้องเกิดผลจริงทุกครั้ง คือมีมิติของความไม่แน่นอนด้วยเสมอ (ตามหลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก Heisenberg"s Uncertainty)


ข้อมูลในเรื่องการสวดมนต์นั้นไม่ได้จบเพียงแค่งานของคุณหมออลิซาเบธ ทาร์ก (Elisabeth targ.M.D.) ตามที่ผมได้เขียนถึงไว้ในตอนที่สองเท่านั้น หากแต่ยังมีงานวิจัยของสถาบัน MAHI (Mid-American Heart Institute) ที่ยังน่าสนใจมากก็คือ


ในเวลาที่ไล่เลี่ยกับที่คุณหมอทาร์กได้ทำวิจัยเรื่องการสวดมนต์นั้น ในปี 1999 นี้เองทางสถาบัน MAHI ก็ได้ทำงานวิจัยในรูปแบบที่คล้ายๆ กันขึ้นมาด้วยเช่นกัน แต่มีแตกต่างกันและน่าสนใจมากก็คือ


งานวิจัยของสถาบัน MAHI นั้นผู้สวดมนต์มิได้เป็น "ผู้มีพลังพิเศษ" เหมือนอย่างที่ในงานวิจัยของคุณหมอทาร์กได้ทำ แต่เป็นบุคคลธรรมดาทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ นี้เอง เพียงแต่ขอให้มีความเชื่ออยู่บ้างในเรื่องของพลังอำนาจพิเศษที่ว่านี้ก็พอ


บางส่วนของผู้สวดมนต์ก็เป็นเพียงพยาบาลที่ทำงานในสังกัด ผลการศึกษาวิจัยก็ออกมาเป็นที่น่าทึ่งมากว่า ในเวลา 12 เดือนของการศึกษาผู้ป่วยโรคหัวใจในหอผู้ป่วยหนัก (CCU)


การสวดมนต์โดยบุคคลธรรมดาแบบเราๆ ท่านๆ นี้ก็สามารถทำให้เกิดผลดีต่อการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยเช่นกัน โดยที่อาการต่างๆ ของผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับการสวดมนต์ให้นั้นมีอาการลดลงมากกว่า 10%


ทั้งนี้การประเมินผลเหล่านี้เป็นการประเมินผลจากอายุรแพทย์โรคหัวใจที่มีความเชี่ยวชาญที่สุดของ MAHI จำนวน 3 ท่าน และการศึกษาเรื่องนี้ของสถาบัน MAHI ได้มีการควบคุมการวิจัยคล้ายกับของคุณหมออลิซาเบธ ทาร์ก ด้วยเพื่อเป็นการตัดความเป็นไปได้เรื่องผลทางจิตวิทยา คือ คณะแพทย์ในสถาบันไม่ทราบว่า คนไข้คนไหนเป็นผู้ถูกสวดมนต์ และคนไข้ทุกคนก็ไม่ทราบว่าจะมีการทำวิจัยเรื่องนี้ตลอดการวิจัย


ผมคิดว่างานทดลองของสถาบัน MAHI ชิ้นนี้จะช่วยทำให้ท่านผู้อ่านเกิดความมั่นใจได้และสามารถนำการสวดมนต์มาประยุกต์ในชีวิตประจำวันได้จริงๆ เพราะผลการทดลองก็ชี้ชัดว่า


ผู้ที่สวดมนต์ให้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้มีพลังอำนาจพิเศษอย่างที่เคยเข้าใจ พูดในอีกนัยหนึ่งก็คือ "พวกเราทุกคน" ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีพลังอำนาจพิเศษกันทั้งนั้น เพียงแต่พวกเราไม่เคยลองใช้ ไม่เชื่อที่จะใช้ ไม่เชื่อที่จะลองทำต่างหาก


ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้พวกเราสามารถนำเรื่องการสวดมนต์มาใช้งานได้อย่างจริงๆ จังๆ เสียทีและอาจจะมีประโยชน์ในอีกเรื่องหนึ่งตรงที่อาจจะช่วยให้พวกเราได้หลุดพ้นไปจาก "กรณีมิจฉาชีพ" ต่างๆ ที่อ้างเรื่องความวิเศษพิสดารตามที่คนไทยโดยทั่วไปมักจะตกเป็น "เหยื่อ" ได้อย่างง่ายๆ โดยไม่รู้ตัวนั่นเอง


นอกจากนี้ในปี 1991 ยังมีงานทดลองอีกชิ้นหนึ่งที่ช่วยอธิบายเรื่อง "คลื่นพลังงาน" ที่เกิดจากการสวดมนต์นั้นสามารถเดินทางออกจากตัวผู้สวดและออกไป "ก่อผลหรือเกิดผลดี" ภายนอกร่างกายได้


[attachmentid=1251]



และผมคิดว่าอาจจะนำมาอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้การสวดมนต์นั้นเกิดผลดีต่อสุขภาพของมนุษย์ได้ ก็คืองานวิจัยที่เรียกว่าโครงการกำแพงทองแดง (Copper Wall Project) ของนักวิจัยที่ชื่อเอลเมอร์ กรีน (Elmer Green,Ph.D.) ซึ่งได้ทำการทดลองมาตั้งแต่ช่วงปี 1983 โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจจากข้อมูลเรื่องการฝึกสมาธิของพระชาวทิเบตที่ให้ลูกศิษย์นั่งหันหน้าเข้าหา กำแพงเรียบ


การทดลองครั้งนี้ได้นำ "ผู้มีพลังพิเศษ" มาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งผนังทุกด้านนั้นสร้างขึ้นด้วยทองแดง ซึ่งทองแดงนี้จะเป็นตัวกันคลื่นพลังงานจากภายนอกทั้งหมดที่จะมามีผลต่อภายในห้องที่มี "ผู้มีพลังพิเศษ" ทำการนั่งสมาธิอยู่เป็นเวลานานครั้งละ 45 นาที ทำการทดลองทั้งหมด 600 ครั้ง


การวัดกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นวัดด้วยเครื่องวัดกระแสไฟฟ้าแบบพิเศษที่ติดไว้ที่ผนังห้องทั้งสี่ด้านและที่ติด กับตัวของ "ผู้มีพลังพิเศษ" เอง โดยที่กระแสไฟฟ้าที่วัดได้นี้เกิดขึ้นได้โดยไม่มีการเคลื่อนไหวของตัว "ผู้มีพลังพิเศษ" เลย พบว่า


"ผู้มีพลังพิเศษ" นี้สามารถสร้างให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่วัดได้ตั้งแต่ 4-221 โวลต์ในขณะที่เขาถูกขอให้เข้าสู่ "สภาวะ" หนึ่งที่ใช้ในการเยียวยาคนไข้ กระแสไฟฟ้าที่วัดได้นี้มีค่ามากกว่ากระแสไฟฟ้าที่วัดได้จากคลื่นไฟฟ้าจากหัวใจ (ECG) 10,000 เท่า และมากกว่ากระแสไฟฟ้าที่วัดได้จากคลื่นไฟฟ้าจากสมอง (EEC) 100,000 เท่า


ยังมีความน่าแปลกในอีกประเด็นที่เกี่ยวข้องกันกับเรื่องนี้ก็คือวิลเลียม ทิลเลอร์ (William Tiller, Ph.D.) ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์เรื่องคลื่นในโครงการนี้พบว่า


"ตัวให้กำเนิดพลังงานไฟฟ้า" หรือ "แหล่งพลังงาน" ที่ว่านี้มาจากส่วนหนึ่งของร่างกายของผู้มีพลังงานพิเศษและส่วนของร่างกายที่ว่านี้คือ "บริเวณท้องน้อย" ซึ่งไปตรงกับจุดตันเถียนล่างในศาสตร์ของซี่กงนั่นเอง (ในแนวคิดของซี่กงร่างกายมีตันเถียนสามจุดที่เป็นแหล่งของพลังงานซี่ (Chi) คือท้องน้อย หัวใจ และตาที่สาม)


งานวิจัยทั้งสองชิ้นนี้ พอจะสรุปได้ว่าการสวดมนต์ทำให้เกิดเป็น "พลังงาน" ที่สามารถวัดค่าออกมาได้จริง และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ


การสวดมนต์ที่ทำให้เกิดผลดีต่อสุขภาพนั้นไม่จำเป็นต้องมาจาก "ผู้มีพลังพิเศษ" หากแต่สามารถเกิดผลขึ้นได้จากปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ นี้เอง

--------------------------------------------------------------------------------
มติชน วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9578

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  pray.jpg   7.37K   45 ดาวน์โหลด
  • แนบไฟล์  praying.jpg   11.25K   47 ดาวน์โหลด


#2 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 January 2006 - 02:28 PM

QUOTE
"บริเวณท้องน้อย" ซึ่งไปตรงกับจุดตันเถียนล่างในศาสตร์ของซี่กง

เหมือนตรงศูนย์กลางกายเลยครับ สวดให้เพลินเป็นฌานสิครับถึงจะเกิดผลดีครับ
โมทนาสาธุกับความรู้ดีๆ ด้วยครับ
หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#3 noon

noon
  • Members
  • 29 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 January 2006 - 12:08 AM

อนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับความรู้ดีๆ
^^


#4 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 19 January 2006 - 02:36 AM

อนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณค่ะที่มีบทความที่เป็นประโยชน์ให้อ่าน จะพยายามตลอดไปค่ะ

นาฏ

#5 abcd

abcd
  • Members
  • 50 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 January 2006 - 08:40 PM

Hi xlmen,
How to สวดให้เพลินเป็นฌาน?
Please suggest.



#6 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 22 January 2006 - 09:11 PM

สวดมนต์ไป ใจจรดศูนย์กลางกายครับ ผู้ที่ฝึกจนชำนาญ ใจจรดศูนย์กลางกายเร็วมาก เห็นดวงธรรมองค์พระชัดใสสว่าง ทางวัดนิยมเรียกว่า สวดมนต์จนเห็นธรรมน่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#7 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 22 January 2006 - 09:16 PM

อนุโมทนาบุญค่ะ
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#8 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 05 February 2006 - 08:53 PM

saadhoo

#9 extra

extra
  • Members
  • 409 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 February 2006 - 06:18 PM

สาธุค่ะ happy.gif

#10 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 February 2006 - 09:55 PM

สวดเป็นฌาน คือ สวดมนต์ด้วยใจสบายๆ ปลอดโปร่งเพลินในการสวด สวดด้วยเสียงไม่ดังไม่เบา และสวดด้วยเสียงในใจด้วยครับ รักษาอารมณ์ใจที่เพลินสบายให้ต่อเนื่องอย่าให้ขาดสายเรียกว่าสวดมนต์เป็นฌานครับ ถ้าฌานแก่กล้ามากจะลืมคำภาวนาไปเร็วมาก เพราะจิตจะหยุดนิ่งเป็นอัตโนมัติครับ
หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#11 ป่าน072

ป่าน072
  • Members
  • 371 โพสต์
  • Location:โคราช
  • Interests:การศึกษาต่อในวิชา วิทยาศาสตร์<br />วิศวะปิโตรเคมี

โพสต์เมื่อ 23 August 2006 - 08:51 AM

อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
เมื่อดวงตาปิดสนิมอย่างละมุน
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง

#12 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 06:31 PM

จริงครับถ้าเราสวดมนต์ให้เสียงออกมาจากกลางท้องจะมีพลังมากและช่วยให้เราแข็งแรงได้อีกด้วยเพราะปอดเราจะขยายใหญ่ขึ้นอีกกว่าปกติ
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี