ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

การรักษาศีล


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 4 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 March 2007 - 11:11 PM

จากการสังเกตเห็นความประพฤติการปฏิบัติของคนจำนวนมาก มักจะไม่ค่อยยินดีในการรักษาศีล แม้จะอยู่ในพิธีกรรมทางศาสนาซึ่งจะมีการอาราธนาศีลจากพระสงฆ์ก็จะมีคนเมินเฉยเสียไม่ยอมรับเอามารักษา แม้แต่ศีลเบื้องต้นคือศีล ๕ ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งความเจริญทางจิตใจ จะตัดสินว่าเป็นเพราะไม่เคารพต่อคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าการรักษาศีลเป็นบุญกุศลก็คงจะไม่ใช่ เพราะต่างคนก็รู้ดีว่าคำสอนของพระบรมศาสดานั้นถูกต้องสมควรที่จะทำตาม แต่เป็นเพราะความเข้าใจผิด คิดว่าศีลนั้นเป็นของยากลำบาก จะต้องคอยสำรวมระวังตัวในการกระทำทั้งทางกาย ทางวาจา มิให้ผิดไปจากข้อห้าม ถ้าผิดไปแล้วก็จะกลายเป็นบาปอันใหญ่หลวงต่างคนจึงยึดมั่นว่า ถ้าไม่สามารถจะสำรวมตนให้อยู่ในศีลได้ตลอดไปแล้วก็ไม่รับเสียดีกว่า คิดว่าอยู่เฉย ๆ นั้นไม่ได้ผิดศีลไม่บาป ถ้าวันใดจะรับศีล วันนั้นต้องขังตัวเองอยู่ในที่จำกัดเพื่อจะได้ไม่ต้องมีโอกาสผิดศีล

ศีลนั้นเปรียบเสมือนอาภรณือันประเสริฐ ผู้มีศีลบริสุทธิ์จึงเหมือนกับได้สวมเสื้อผ้า เครื่องประดับอันงดงามหาที่ติมิได้ ส่วนผู้ที่มีศีลอยู่บ้าง แต่ยังด่างพร้อยไม่สมบูรณ์ก็เปรียบได้กับที่มีเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายอันไม่สวยงาม ขาดตกบกพร่องเศร้าหมองไปบ้าง ลดหลั่นกันลงมาจนถึงชนิดมีรอยปุปะมีรอยซ่อมเย็บชุน หรือขาดกะรุ่งกะริ่ง แต่ผู้ไม่มีศีลอยู่เลยแม้เพียงข้อเดียวก็ไม่ผิดอะไรกับคนเปลือยกาย

ถึงอย่างไร การสวมเสื้อผ้าเก่า ขาด ปะ ซอมซ่อเพียงไหนก็ยังดีกว่าคนเปลือยกายมิใช่หรือ

การรักษาศีลนั้น เป็นการฝึกตนเองให้เริ่มมีสติเป็นอันดับต้น ผู้ที่ผิดศีลก็คือผู้ที่ขาดสติในการกระทำนั้นเอง ศีลเป็นบันไดขั้นแรกที่จะนำไปสู่ความเจริญในอันดับต่อไป คือสมาธิและปัญญา ถ้าอันดับต้นถูกละทิ้งเสียแล้ว หนทางเจริญก็ถูกปิดบังแม้จะมีความรู้ในพระธรรมแตกฉานเพียงใดก็ไม่อาจนำตนไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์ได้

อันที่จริงถ้าได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถี่ถ้วนแล้วก็จะทราบได้ว่า ในชีวิตของเราซึ่งเต็มไปด้วยความไม่รู้อะไรเลยนี้ มีแต่บาปอกุศลตลอดเวลา การที่พระพุทธศาสนาสอนให้รักษาศีลก็เพราะในขณะที่ตั้งเจตนารับว่าจะรักษาศีลนั้นก็เป็นโอกาสให้เกิดบุญกุศลขึ้นในจิตใจ ขณะใดที่บุญกุศลเกิดขึ้น ขณะนั้นบาปอกุศลก็ถอยห่างไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ขณะที่รับศีลอยู่ บาปอกุศลย่อมชะงัก บุญที่เกิดจากเจตนารับศีลจะช่วยขับไล่บาปออกไป

หลวงพ่อเสือได้สอนให้คนเรารู้จักคุ้นเคยกับศีลด้วยคำพูดต่าง ๆ ดังนี้

.”เมื่อพระให้ศีล ข้อดื่มสุรา ไม่รับ กลัว กลัวทำไม รับเอาไปเถอะลูก ปัจจุบันอยู่ตรงนี้ ตอนนี้กินหรือเปล่า นั่งอยู่นี่กินเหล้าไหม ไม่ได้กิน รับศีลตรงนี้ก็ได้ศีลตรงนี้ เมื่อออกไปแล้ว ไปกินก็ไม่ได้ศีล ส่วนที่ได้แล้วก็ได้ไป มันไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน มันเก็บอยู่ในจิต รับไปเพื่อให้จิตมันชำนาญ แล้วมันจะได้มีกำลังประหัตประหารสิ่งที่ไม่ดีให้ออกไปเอง

ศีลนี่ไม่ได้ตั้งอยู่ทั้งวัน ศีลอยู่ที่ปัจจุบัน ตอนนี้พูดปดไหม กินเหล้าไหม ไม่ได้ทำ ตอนนี้มันก็ได้ศีล ศีลเกิดขึ้นที่ปัจจุบัน ถ้าเผื่อปัจจุบันไม่ได้ ก็ไม่ได้ตรงนั้น ๒๔ ชั่วโมงได้ศีลสักชั่วโมงหนึ่งก็ยังเป็นของที่ได้ ดีกว่าไม่ได้เลย แล้วการเก็บเข้าไปเรื่อย ๆ จิตมันเป็นตัวจำได้หมายรู้ สัญญา (ความจำ) มันก็มีของดี เมื่อเราปฏิเสธของไม่ดีอยู่เสมอ จิตมันจะเลิกของที่ไม่ดีออกไปเอง “

ดังนี้ ก็จะเห็นได้ว่า การที่เราออกปากรับศีล ๕ อยู่บ่อย ๆ แม้จะรักษาไม่ได้นาน ก็ยังเป็นวิธีการอบรมจิตของตนให้คุ้นเคยกับศีล ไม่ว่าจะรับจากพระสงฆ์หรือโดยสมาทานด้วยเจตนาจะรักษาด้วยตนเอง ยิ่งอธิษฐานทุกวันก็จะทำให้จิตได้รับการรักษาศีลทุกวัน การรับรู้ของดี จิตก็ได้สั่งสมเหตุดี และขณะใดที่รู้ตัวว่าทำผิดศีลแต่ละครั้งนั้น จิตย่อมเกิดสติรับรู้ว่าสิ่งที่กระทำไปนั้นเป็นของไม่ดี ความรู้เช่นนี้จะสะสมไปเป็นความเจริญแก่ตนเองในอนาคตได้ จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามความสำคัญไป เริ่มรักษาศีลเสียแต่วันนี้ สร้างความดีเพื่ออนาคต

หลวงพ่อเสือได้ย้ำสอนอยู่บ่อย ๆ ว่า “ การเริ่มต้นทำดีเป็นการทำดีที่เหนือกว่าการทำดีทั้งปวง “
เพราะอะไร เพราะการเริ่มต้นของการทำดีนั้นต้องใช้กำลังใจอันยิ่งใหญ่ เมื่อทำครั้งแรกได้แล้ว ครั้งต่อไปก็ทำได้ง่าย

อนึ่ง ในพระอภิธรรมได้แสดงไว้ถึงวิธีการเจริญสมถกรรมฐาน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าการปฏิบัติสมาธิซึ่งมีอยู่ถึง ๔๐ วิธีนั้น ในหมวดอนุสสติ ๑๐ ข้อที่ ๔ ว่าด้วยสีลานุสสติ อธิบายไว้ว่า การรักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้วระลึกถึงศีลนั้นบ่อย ๆ เป็นเหตุให้สมาธิเกิดได้ ฉะนั้น ศีลจึงเป็นต้นทางแห่งความเจริญในการปฏิบัติธรรมขั้นสูงต่อ ๆ ไป

พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#2 น้ำฝน มัชฌิมหญิงรุ่น14

น้ำฝน มัชฌิมหญิงรุ่น14

    เราคือ นักรบกล้าอาสาสมัคร กองทัพธรรม

  • Members
  • 1961 โพสต์
  • Gender:Female
  • Interests:ช่วยงานบุญที่วัด ให้ถึงที่สุดกำลัง ตราบวันที่ชีวิตจะสิ้นลมหายใจ

โพสต์เมื่อ 19 March 2007 - 08:58 PM

สาธุค่ะ
"ด้วยใจกล้าอาสา พัฒนาไม่หยุดยั้ง"

น้ำฝนลูกพระธัมฯ

#3 niwat

niwat
  • Members
  • 1420 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 19 March 2007 - 11:42 PM

"หมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา"

สาธุ ครับ smile.gif

#4 huy072

huy072
  • Members
  • 168 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:เชียงใหม่

โพสต์เมื่อ 28 March 2007 - 08:00 PM

โอโห้อ่านแล้วรู้สึกดีขึ้นมาทันทีค่ะ
เพราะเป็นคนหนึ่งที่พยายามจะรักษาศีลให้ได้ทั้งวัน
บางวันยังฆ่ามดเลย เจตนาแท้ๆแค่อยากปัดแต่ปัดแล้วตาย
ถือว่าไม่ตั้งแต่ก็ผิดอยู่ดี และศีลมุสาฯก็ยังไม่ค่อยได้ทั้งวันเพราะ
ยังเป็นคนชอบโม้ แล้วบางทีก็อำชาวบ้านเค้าเพราะ
อยากรู้ว่าเค้าคิดอย่างไร
อนุโมทนาด้วยนะคะ สาธุ

#5 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 26 May 2007 - 02:34 PM

ขอกราบอนุโมทนาบุญกับคุณ วัดในดวงใจ ด้วยนะครับ สาธุ