วิญญาณกลับบ้านได้จิงหรือ...???
#1
โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 01:42 AM
- เคยมีใครฝันถึงเทวดา นางฟ้าบ้างหรือไม่? และจะรู้ได้อย่างไรว่าเทวดานางฟ้ามีจริง?
- ใครเคยฝันเห็นพระพรหมบ้าง? ถ้าพระพรหมมีจริงเหตุใดไม่เข้าฝันมนุษย์ทุกคน(อย่างน้อยน่าจะมาบอกหวย 3 ตัวบนบ้างนะ)??
- ใครเคยฝันเห็นพระพุทธเจ้าบ้าง? เหตุใดจึงไม่มีใครเคยเห็นหน้าพระพุทธเจ้า??
#2
โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 02:52 AM
เทวดา นางฟ้า ไม่อยากมาบอก เพราะเหม็นกลิ่นคน
พรหม คงติดอยู่ในฌาน
พระพุทธเจ้า พระองค์อยู่ในพระนิพพานแล้วครับผม
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#3
โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 12:45 PM
ในอดีตกาล พระเจ้าปายาสิ ได้พูดคุยเรื่องนรกสวรรค์มีจริงหรือไม่ กับพระกุมารกัสสปะ
พระเจ้าปายาสิ : ข้าพเจ้า เคยสั่งนักโทษประหารว่า ตายแล้ว ถ้าไปเจอนรกขอให้กลับมาบอกด้วย ทุกคนก็รับปาก แต่ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกสักคน
พระกุมารกัสสัปปะ : ท่านปายาสิ ถ้าทหารของท่านจับนักโทษได้ผู้หนึ่ง กำลังจะพาตัวไปลงโทษ ถ้านักโทษผู้นั้นบอกทหารของท่านว่า จะขอกลับไปบอกญาติๆ ก่อน ท่านจะให้ทหารปล่อยตัว เขาไปบอกญาติๆ ก่อนหรือไม่
พระเจ้าปายาสิ : ย่อมปล่อยตัวไม่ได้หรอกท่าน
พระกุมารกัสสัปปะ : อย่างนั้นแหละท่าน สัตว์นรกทั้งหลายก็กำลังถูกลงโทษอยู่ ย่อมไม่ได้รับการปล่อยตัวให้มาบอกใครได้
พระเจ้าปายาสิ : ยังมีอีกท่าน ข้าพเจ้ายังทดลองโดยสั่งคนที่ทำดีมาตลอดชีวิตที่ใกล้หมดอายุ บอกว่า ตายแล้วถ้าเห็นสวรรค์ขอให้มาบอกด้วย แต่ไม่เห็นมีใครมาบอกเลย
พระกุมารกัสสัปปะ : ท่านปายาสิ ถ้าท่านตกอยู่ในหลุมอุจจาระที่ทั้งเปื้อน ทั้งเหม็น แล้วมีใครช่วยท่านขึ้นมาจากหลุม และอาบน้ำให้ท่านเสียใหม่อย่างดี ถ้าเขาขอร้องให้ท่านลงไปในหลุมอุจจาระอีกครั้ง ท่านยินดีลงไปหรือไม่
พระเจ้าปายาสิ : เรื่องอะไรจะลงไปล่ะท่าน
พระกุมารกัสสัปปะ : อย่างนั้นแล ท่าน สำหรับชาวสวรรค์ เขาก็รู้สึกว่า โลกมนุษย์เหมือนหลุมอุจจาระ ที่เขาขึ้นมาได้แล้ว ย่อมไม่คิดลงไปอีก
พระเจ้าปายาสิ : เทวดาหรือสัตว์นรก (พรหมด้วย) มีจริงหรือ ถ้ามีจริงทำไมข้าพเจ้ามองไม่เห็น
พระกุมารกัสสปะ : ถ้าคนตาบอดมาบอกท่านว่า พระอาทิตย์กับพระจันทร์ ไม่มีจริงหรอก เพราะเขาไม่เคยเห็น คำพูดเขาจะเชื่อถือได้หรือไม่
พระเจ้าปายาสิ : ย่อมเชื่อถือไม่ได้ เพราะคนตาดี ที่มองเห็นพระอาทิตย์กับพระจันทร์นั้นมีอยู่
พระกุมารกัสสปะ : เทวดาสัตว์นรกก็เช่นเดียวกัน คนธรรมดาทั่วๆไป มองเทวดา ก็เหมือนคนตาบอดมองพระอาทิตย์ เขาย่อมมองไม่เห็น แต่สมณะพราหมณ์ผู้มีตาทิพย์ ย่อมมองเห็นกายทิพย์เหล่านี้ได้
ตัดตอนมาเลยนะครับ
พระเจ้าปายาสิ : ข้าพเจ้ายังเคยทดลองขั้นสุดยอดเลย โดยชั่งน้ำหนักคนใกล้ตาย กับน้ำหนักคนที่ตายแล้ว พบว่า แทนที่น้ำหนักจะเบาลง กลับหนักขึ้นว่าเดิม แสดงว่า วิญญาณไม่มีจริง ถ้ามีจริง วิญญาณออกจากร่างไป น้ำหนักต้องเบาลงสิ ทำไมหนักขึ้นล่ะ
พระกุมารกัสสัปปะ : ท่านปายาสิ ท่านเคยนำเหล็กไปเผาไฟ เพื่อตีเป็นดาบหรือไม่ เหล็กนั้นน้ำหนักขณะที่ยังร้อนอยู่ กับน้ำหนักเมื่อทิ้งไว้ให้เย็นแล้ว ต่างกันอย่างไร
พระเจ้าปายาสิ : เหล็กที่ยังร้อนอยู่น้ำหนักจะเบากว่า เหล็กที่เย็นตัวแล้ว
พระกุมารกัสสปะ : อย่างนั้นแหละท่าน ร่างกายที่ยังมีไออุ่นและวิญญาณ ย่อมเบากว่า ร่างกายที่ไม่มีวิญญาณแล้ว เช่นเดียวกัน
พระเจ้าปายาสิ : แจ่มแจ้งจริงหนอ เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง จุดประทีปในที่มืด ข้าพเจ้าขอนับถือพุทธศาสนาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ต่อมาอีกเรื่อง เรื่องพระพุทธเจ้า ก็มีอีก พระเจ้ามิลินทร์ ถามพระนาคเสน คุณ Xmen นี่ไม่ธรรมดา ถามดังเช่น บรรดากษัตริย์ผู้ทรงปัญญาสมัยก่อนเชียวนะเนี่ย
พระเจ้ามิลินทร์ : พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น แล้วจะให้เชื่อได้อย่างไรว่ามีจริง
พระนาคเสน : ท่านมิลินทร์ เชื่อว่า ท่านมีปู่ของปู่หรือไม่
พระเจ้ามิลินทร์ : ข้าพเจ้าเชื่อว่า มี
พระนาคเสน : แล้วท่านเคยเห็นปู่ของปู่ ของท่านหรือไม่
พระเจ้ามิลินทร์ : ข้าพเจ้าไม่เคยเห็น
พระนาคเสน : ท่านไม่เคยเห็นแล้วทำไมเชื่อว่ามี
พระเจ้ามิลินทร์ : เพราะมันเป็นสิ่งที่สืบเนื่องกันมา คือ มีปู่ ย่อมมีพ่อ แล้วก็ย่อมมีตัวข้าพเจ้า ตัวข้าพเจ้าจึงเป็นสิ่งยืนยันว่า ปู่ของปู่ของข้าพเจ้าก็ย่อมต้องมี
พระนาคเสน : เช่นเดียวกันแหละท่าน พระพุทธเจ้าท่านมีลูกศิษย์ลูกหาคือ พระภิกษุสงฆ์ผู้เห็นธรรมทั้งหลาย เมื่อพระภิกษุสงฆ์ผู้เห็นธรรมยังมีอยู่ พระพุทธเจ้าย่อมต้องมี
พระเจ้ามิลินทร์ : ท่านเห็นธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วหรือ
พระนาคเสน : ข้าพเจ้าไม่อาจบอกเช่นนั้นได้ แต่ยืนยันว่าสมณะพราหมณ์เหล่าใด ที่ตั้งใจประพฤติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า สมณะพราหมณ์เหล่านั้นย่อมละกิเลสทั้งปวงใด
#4
โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 01:30 PM
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#5
โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 01:52 PM
เพราะผู้ที่บุญบาปไม่มากนั้น มักจะได้ไปเกิดเป็นภุมมเทวา (เทวดาตามพื้นมนุษย์) รุกขเทวา (เทวดาตามต้นไม้) ซึ่งพวกนี้อยู่ใกล้มนุษย์ ไม่เหม็นกลิ่นมนุษย์ สามารถมาเข้าฝันมนุษย์ได้ครับ หรือแม้ไปอบายเบื้องต้น เช่น ไปเป็นเปรต ก็เข้าฝันมนุษย์ได้ เช่น เปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร มาเข้าฝันพระองค์
และอีกประการหนึ่ง พวกที่บุญบาปไม่มาก จะไม่ดิ่งลงนรก หรือขึ้นสวรรค์ทันที โดยปรกติจะต้องรอภายใน 7 วัน ถึงจะมีเจ้าหน้าที่มารับตัว ระหว่างนี้พวกไหนที่มีบุญพอ ก็สามารถเข้าฝันมนุษย์ที่เป็นญาติได้เช่นกัน ซึ่งจะได้ยินหลายเคส ที่มาเข้าฝันลา ก่อนไป
#6
โพสต์เมื่อ 25 January 2006 - 09:13 AM
and as your other questions....yes..pls review the other posts but keep in mind for those who doesn't give up the answer lies within....center of your body....072....
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง
#7
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 10:46 PM
*****มีหลายกรณีทีเดียวที่มีผู้ที่ตายแล้วฟื้นกลับมาเล่าว่าตนได้ไปเห็นภพภูมิต่างๆ มาแต่โดยมากเขาจะบอกว่าเขารู้สึกว่าไปเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งเหตุการณ์ทำนองนี้ได้พอดีมาสอดคล้องกับ ผู้ที่ฝึกสมาธิ พบว่าเมื่อนั่งสมาธิจิตหยุด นิ่ง สงบ ลึกพอสมควรเวลาจะผ่านไปเร็วกว่าช่วงขณะจิตที่ไม่สงบ และไม่เป็นสมาธิ *****
*****ดังนั้น จึงเกิดข้อสันนิฐานที่ว่า ผู้ที่ตายไปแล้วขึ้นสวรรค์สาเหตุที่กลับมาบอกพี่ น้อง หรือญาติบนโลกมนุษย์ไม่ได้น่าจะเป็นดังนี้ เช่น สมมุติ นาย A ตายเมื่ออายุ 50 ปี นาย B ตายเมื่ออายุ 100 ปี หลังจากนาย A ตายใหม่ๆ นาย B บอกว่าผีไม่มีเทวดาไม่มีไม่เห็นเข้าฝันเขาเลย หลังจากตายไปแล้วนาย B ไปพบนาย A ณ ภพๆ หนึ่งที่เป็นสุคติ เขาถามนาย A ว่าทำไมไม่ยอมเข้าฝันมาบอกว่าสวรรค์มีจริงหละ นาย A ตอบว่า เขาเองก็เพิ่งขึ้นมาบนสวรรค์ได้ไม่กี่นาทีเอง ยัง งง งง กับภพภูมิใหม่อยู่เลย ทำไมคุณ B ตามผมมาไวจังหละ!??
สรุปคือ มิติเวลาของภพมนุษย์กับสวรรค์มีความห่างกันมากนั่นเองครับ ถ้าเป็นคนสมัยก่อนคงจะใช้อธิบายบอกด้วยวิธีนี้ไม่ได้แน่ครับฟังไม่ขึ้น ดังนั้นคำตอบคุณหัดฝันใช้ตอบได้กับทุกคนที่ยังไม่ตายแต่ยังนั่งสมาธิไม่เห็นวิญญาณครับ*****
*****กรณีที่วิญญาณนั้นตกไปในอบายภูมิ เช่น สัตว์เดียรัจฉาน หรือเปตร อสุรกาย สัตว์ในนรกภูมิ ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลยเพราะวิญญาณเหล่านั้นไม่มีเวลาว่างมาคุยแน่เพราะต้องรับบาปกรรมที่ทำไว้ เหมือนอย่างที่คุณ มองอย่างแมวได้บอกไว้ครับ*****
*****ข้อสันนิษฐานอีกข้อก็คือ อายตนะของมนุษย์ มีความหยาบ เมื่อเทียบกับอายตนะของ เทวดา นางฟ้า พรหม อรูปพรหม พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ในอายตนะนิพพาน อุปมาเหมือนโทรทัศน์ที่ช่องรับกับช่องส่งไม่ตรงกันย่อมไม่สามารถที่จะติดต่อกันได้ แต่จะติดต่อกันได้ก็ต่อเมื่อ มนุษย์คนนั้นได้ฝึกจิตให้หยุด ให้นิ่ง สงบ นิ่ง ลึก นานๆ จนอายตนะคือใจละเอียดเข้าไปตามภพภูมิดังกล่าว *****
*****คำถามที่ว่า เหตุใด เทวดา พรหม หรือพระพุทธเจ้าไม่มาปรากฎตัวให้เห็นด้วยตาเนื้อเลยหละ
คำตอบ คือ การมีกายต่างๆ นั้น กิเลสประจำกายย่อมไม่เท่ากันยังผลให้เกิดกายละเอียด หรือหยาบที่ต่างกัน ใจเทวดามีหิริ-โอตัปปะแล้วจะให้ละธรรมของเทวดามาทำกายให้หยาบจึงเป็นไปไม่ได้ที่เทวดาจะทิ้งคุณธรรมประจำใจเช่นนั้น จะมีกรณีที่ทำได้อยู่ก็คือ กายมนุษย์ละเอียด หรือวิญญาณที่บุญไม่มากพอจะขึ้นสวรรค์ และบาปไม่มากพอจะลงนรก พวกนี้ยังพอมีโอกาสเห็นได้ทั่วไปครับ เกิดช่วงเวลาที่ตาใจของมนุษย์หรืออายตนะภายใน กับภายนอกตรงกันพอดี ดังนั้นผู้ที่ต้องการเห็นสิ่งเหล่านี้ขอเพียงหยุดตาใจในกายละเอียดให้หยุด ให้นิ่ง ก็จะสามารถพิสูจน์ว่าวิญญาณมีจริงได้แล้วครับ*****
#8
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 11:09 PM
จากประโยคนี้ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของ "มาลาภารีเทวบุตร" เลย ว่าไหมครับพี่ xlmen
#9
โพสต์เมื่อ 27 January 2006 - 11:12 PM
ไหนๆ ก็เกริ่นมาแล้วรบกวนน้องเกียรติก้องฯ เล่าประวัติท่านเสริมเลยครับ อันนี้ผมไม่รู้จริงๆ ครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#10
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 01:00 PM
สำหรับเวลาที่ต่างกันที่คุณ xlmen ให้ความเห็นมาก็มีเหตุผล แต่ต้องลองย้อนไปดูข้อมูลจริงในสมัยพุทธกาลด้วย ผมจะยกให้ฟัง 2 เคส
เคสแรก คุณครูไม่ใหญ่เคยเล่าให้ฟังแล้ว เรื่องนางสิริมา เป็นโสเภณี ตอนหลังกลับใจ มาสั่งสมบุญ ตายแล้ว ไปเป็นเทพธิดา แล้วก็ลงมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้คนกำลังเผาศพนางพอดี เห็นมั้ยครับว่า ตามข้อมูลจริง เทวดาก็ยังลงมาทันเวลาได้ ถ้าต้องการพบมนุษย์
อีก 2 หนึ่ง เป็นเทพบุตรชื่อ มัจถกุณฐลี ตอนเป็นมนุษย์มีพ่อจอมขี้งก ปล่อยให้ลูกป่วยตาย แต่ก่อนตาย พระพุทธเจ้ามาโปรด มัจถกุณฐลี เห็นพระพุทธเจ้าแล้วเลื่อมใส ตายไปไปเป็นเทพบุตร แล้วก็ลงมาให้สติพ่อ ที่กำลังร้องไห้ถึงลูกที่ตายไป จนพ่อได้สติ
โดยพ่อร้องไห้ค่ำครวญถึงลูกชาย เทพบุตรแปลงเป็นพ่อค้า มาร้องไห้ข้างๆ บอกว่า อยากได้ล้อรถที่ดีที่สุดในโลก แต่ไม่มีใครทำให้
พ่อหยุดร้องไห้ ความงกเข้าครอบงำทันที บอกพ่อค้าแปลงว่า เขาทำล้อให้ได้ จะเอาเพชรหรือพลอยเป็นล้อรถล่ะ พ่อค้าแปลงบอกว่า อยากได้พระอาทิตย์กับพระจันทร์มาทำล้อ พ่อหัวเราะบอกท่านบ้าไปแล้ว จะไปร้องไห้เพื่อสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ย่อมไม่มีประโยชน์
พ่อค้าแปลงจึงสอนใจว่า เราร้องไห้จะเอาพระอาทิตย์กับพระจันทร์บนฟ้า ที่ยังมองเห็นได้ เพียงแต่เอามาไม่ได้ แต่ท่านร้องไห้ถึงลูกชายที่ตายไปแล้ว ไม่รู้ไปอยู่ไหน มองก็ไม่เห็น ใครบ้ากว่ากัน แล้วก็กลับร่างเป็นเทพบุตรลูกชาย นั่นแหละพ่อจึงได้สติ
ทีนี้อาจสงสัยอีกว่า แล้วไหนบอกว่า เทวดารังเกียจมนุษย์ แล้วลงมาทำไม คำตอบก็คือ ถ้ามนุษย์นั้นเป็นญาติที่เคยเกื้อกูลกันมา เทวดาที่อยากช่วยจริงๆ ก็ลงมาได้ และอีกอย่างคือ ถ้าลงมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ลงมาได้ เพราะกลิ่นศีลของพระพุทธเจ้า หอมทวนลม
โดยสรุป แม้เวลาจะต่างๆ แต่เทวดาย่อมสามารถลงมาได้ทันเวลาได้ ถ้าต้องการลงมา ซึ่งผมคิดเอาเองว่า เป็นเพราะกะจังหวะรอยต่อของวงโคจรของมนุษย์กับสวรรค์ให้เหมาะสม ก็ไม่มีปัญหาแล้ว ถ้า 2 เคส ที่ยกตัวอย่างมาครับ
#11
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 01:14 PM
เนื่องจากเรื่องในพระไตรปิฎกสมัยพุทธกาล ก็มีเรื่องอยู่หลายตอนเหมือนกันที่ฟังดูแล้วออกแนวอจินไตยมากไปนิด อย่างกรณีเทพบุตรชื่อ มัจถกุณฐลี มาโปรดบิดาเพื่อปราบความตระหนี่ อันนี้ผมก็ทราบมานานแล้วครับ แต่เป็นเพียงฟังหูไว้หูเท่านั้นครับ ยังไม่ปักใจเชื่อ กรณีนางสิริมา หลังจากตายแล้วกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าขณะที่เผาศพพอดี อันนี้ผมก็ทราบครับ แต่ก็ฟังหูไว้หูอีกแหละครับ
******เพราะถ้าเราหันมาจับข้อมูลที่เป็นปัจจุบันกัน กับอดีตที่ไม่นานเกินไปนักนับแต่วิทยาศาสตร์เริ่มเข้ามามีบทบาท โดยเฉพาะช่วงยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์เริ่มมีความเชื่อเรื่องของจิตวิญญาณมากขึ้น จะพบว่าคนที่ตายแล้วฟื้นหลายคนจะกลับมาบอกให้ข้อมูลที่ออกจะตรงกัน นั่นคือ เวลาในระหว่างที่เขาเดินทางข้ามมิติเขารู้สึกว่าสั้นมาก ในขณะที่เวลาบนโลกผ่านไปเนิ่นนานแล้ว อันนี้สิครับที่ผมเชื่อถือครับ เพราะมีหลักฐานข้อมูลทางสถิติยืนยันแน่ชัดแล้วครับ เรื่องของเวลา และมิติ ยังเป็นสิ่งเร้นลับอยู่ครับ เพราะก็มีอีกเหมือนกันที่เขาบอกว่าเขาหลุดไปอีกโลกหนึ่งเป็นเวลานานมาก แต่กลับเป็นเวลาบนโลกเพียงแค่ 8 ชั่วโมงก็มีครับ สรุปคือ ยังคงต้องหาข้อมูลพิสูจน์ต่อไปครับ*****
******สำหรับเรื่องข้อมูลทางพระไตรปิฏก ก็มีจุดที่น่าคิดอยู่อีกข้อก็คือ พระไตรปิฎกที่เราๆ ท่านๆ ได้อ่านๆ กันนั้นฉบับปัจจุบันนี้ล่าสุดมีเนื้อหาครอบคลุมใกล้เคียงกับพระไตรปิฎกสมัยแรกเริ่มปฐมสังคยานามากน้อยแค่ไหน ข้อนี้ผมก็ชักสงสัยว่าจะต้องใช้วิจารณญาณในการเชื่อถือตำราอยู่เหมือนกันครับ*****
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#12
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 02:42 PM
แต่เทพบุตรเจี๊ยบ คุณครูไม่ใหญ่บอกว่า ลงมานั่งพับเพียบ (ผมว่า สงสัยอาจจะยังติดมารยาทแบบผู้หญิงอยู่) แต่อย่างไรก็ตาม ก็เป็นพับเพียบแบบผู้ชายครับ เพียงแต่ไม่เหมือนเทพบุตรทั่วๆไปเท่านั้น
อีกเคสหนึ่ง คือ โยมแม่ของหลวงพี่รูปหนึ่ง ท่านก็ได้เป็นเทพบุตรชั้นดุสิต และลงมาฟังสวดอภิธรรมงานศพตัวเองเช่นเดียวกัน แต่ตอนเป็นมนุษย์ท่านเข้าถึงพระธรรมกายแล้ว ดังนั้น เวลาลงมา คุณครูไม่ใหญ่บอกว่า ไม่ได้นั่งพับเพียบเหมือนเทพบุตรเจี๊ยบ แต่ก็ไม่ได้นั่งชันเข่าข้างเดียวแบบเทพบุตรทั่วๆไปเช่นกัน แต่ท่านนั่งขัดสมาธิฟังสวดกลางอากาศเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องตำรานั้น ผมก็ยังคงมั่นใจว่า เทวดาเลือกเวลาลงมาให้เหมาะกับจังหวะของปัจจุบันในโลกมนุษย์ได้ครับ ยังมีอีกข้อมูลหนึ่ง คือ พระพุทธเจ้านั้น อดีตชาติท่านก็คือเทพบุตรบนสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งเวลาจะลงมาเกิดนั้น ตามตำราบอกว่า เทพบุตรโพธิสัตว์ ท่านจะต้องเลือกช่วงเวลา เลือกประเทศ เลือกทวีป เลือกมารดา ฯลฯ ก่อนลงมาเกิด ที่นี้ลองคิดเล่นๆ ว่า ถ้าเทพบุตรท่านไม่สามารถกะเวลาได้ แล้วตอนจังหวะลงมาเกิด ท่านกำลังพิจารณาเลือกช่วงเวลา ประเทศ มารดา ฯลฯ อยู่ พอเลือกเสร็จบอกเอาตอนนี้แหละ ที่นี้พอจุติลงมา เวลามิคลาดเคลื่อนเป็นร้อยปี พันปีเลยหรือไร ฤทธิ์ของเทวดา เรื่องแค่นี้ย่อมไม่เหลือวิสัยครับ ในการกะเวลาให้พอดี
#13
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 03:20 PM
#14
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 04:00 PM
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#15
โพสต์เมื่อ 28 January 2006 - 04:55 PM
เรื่องราวของท่านโด่งดังไปทั่วประเทศ คุณลองถามผู้หลักผู้ใหญ่ดูก็ได้ครับ เพราะเรื่องของท่านนี่เอง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมมาสนใจพระพุทธศาสนา
#16
โพสต์เมื่อ 29 January 2006 - 01:06 PM
#17
โพสต์เมื่อ 29 January 2006 - 09:20 PM
ผมมีเทปพันเอกเสนาะแล้วครับ เมื่อก่อนฟังบ่อยครับ นี่แหละครับที่เรียกว่า ภพเร้นลับ เข้าใจยาก ถ้าจะยกตัวอย่างง่ายๆ ไม่ไกลตัวมาก เช่น เวลาเราดูหนังในโรงหนัง 2 ชม. ถ้าเรื่องไหนสนุกเราจะรู้สึกว่าเรื่องนั้นจบไวจัง แต่ถ้าเรื่องไหนน่าเบื่อหรือเครียดเราจะรู้สึกว่า เอเมื่อไหร่หนังจะจบซะทีนะนานเหลือเกิน ซึ่งข้อนี้ก็มาสอดคล้องกับเวลาที่คนเราฝันครับ ให้สังเกตว่าเวลาเราฝันนั้นถ้าเราจำเนื้อเรื่องที่ฝันได้ครบให้เราลองเอาเนื้อเรื่องที่เราฝันมาทำเป็นหนังดูและจับเวลาดูครับ จะพบว่าเวลาฉายหนังในฝันของเรามันสั้นนิดเดียวครับ แต่เวลาในโลกมนุษย์โอ้โห นานเหลือเกินครับ แหมะสงสัยต้องฝันในฝันเองหรือป่าวครับเนี่ยถึงจะแจ้งหนะครับ 55555
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#18
โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 11:51 AM
ดังนั้น เวลา 1 ชั่วโมงของสวรรค์ ก็เท่ากับ 50 หารด้วย 24 ผลลัพธ์ออกมาประมาณ 2 ปีมนุษย์
ดังนั้น เวลา ครึ่งชั่วโมงของสวรรค์ ก็เป็นประมาณ 1 ปีมนุษย์
แล้วถ้าเวลา 5 นาทีของสวรรค์ จะเท่ากับ 2 เดือนมนุษย์ ซึ่งถ้าคิดง่ายๆ แบบนี้ สมมุติว่า พันเอกเสนาะตายไป 5 นาทีสวรรค์ แล้วไปทัวร์สวรรค์มา เมื่อฟื้นมาอีกที เวลามนุษย์จะผ่านไป 2 เดือน ถ้าไม่ได้ใช้ฤทธิ์ช่วยเรื่องเข้ามาในรอยต่อเวลาที่พอดีกัน
ถ้าเป็นเช่นนั้น สงสัยคงปิดตำนานพันเอกเสนาะ ตายแล้วฟื้นไปเรียบร้อยแล้วล่ะครับ เพราะเวลามนุษย์ผ่านไปถึง 2 เดือนค่อยฟื้นมา ป่านศพคงถูกเผาเรียบร้อยไปแล้วล่ะครับ อิ อิ อิ
#19
โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 04:39 PM
เทพธิดาซึ่งเป็นบาทบริจาริกานั้น ทำกาละเมื่ออายุขัย ๑oo ปีพอดี ไม่ใช่เหรอครับ?
ดังนั้น เวลา ครึ่งชั่วโมงของสวรรค์ ก็เป็นประมาณ 1 ปีมนุษย์
ขอตอบแบบชัวร์ๆ ไปเลยนะครับ ๑ ชั่วโมงบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เท่ากับ ๒ ปี ๑ เดือนครับ
#20
โพสต์เมื่อ 02 February 2006 - 01:32 AM
มีเหตุมีผลดีมากครับ เรื่องรอยต่อของเวลา สงสัยผมคงต้องเก็บเอาไปคิดวันหลังแล้วหละครับ วันนี้ยังคิดไม่ออกครับ โมทนาสาธุกับคุณหัดฝันและน้องก้องฯ ด้วยนะครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#21 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 02 February 2006 - 12:24 PM
แต่ยังไม่ได้ศึกษา
#22
โพสต์เมื่อ 09 February 2006 - 11:34 PM
ในป่าหิมพานต์ แต่ยังไม่เจอเพราะที่นั่นเค้าพบกันทุก 7 วันสวรรค์ (ชั้นจาตุมฯ)
คุณครูไม่ใหญ่บอกว่า เค้าไม่ได้เดินแบบสโลว์โมชั่นอยู่นะ ก็เดินชมสัตว์ต่างๆแบบปกตินี่แหละ...
อย่างนี้จะหมายความว่าอย่างไรครับเนี่ย?
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#23
โพสต์เมื่อ 09 February 2006 - 11:39 PM
ปล.ถ้ามีนักเรียนเตรียม หรือนักเรียนปริญญาเอกจิงนะครับ ผมอยากเจอมากครับคนจริงเนี่ย
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#24
โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 03:17 PM
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง
#25
โพสต์เมื่อ 12 October 2006 - 08:31 PM
คิดกันไปดิสคัสกันไปก็ฟุ้งกันไป
ดิสคัสกันเสร็จแล้ว คุณ จขกท ก็อย่าลืมไปนั่งสมาธิด้วยนะครับ
#26
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 06:33 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี