อาชีพหญิงขายบริการบาปหรือเปล่าครับ
#1
โพสต์เมื่อ 09 June 2008 - 01:54 PM
#2
โพสต์เมื่อ 09 June 2008 - 04:05 PM
#3
โพสต์เมื่อ 09 June 2008 - 04:50 PM
1. หักห้ามใจไม่เป็น เพาะนิสัยเอาแต่ใจตัว
2. ดูถูกคน (ดูถูกเพศแม่)
3. ไม่จริงใจกับใคร
4. หากใกล้ละโลกไปภาพหญิงขายบริการ และภาพไม่ดีต่าง ๆ จะมาให้เห็นทำให้ใจขุ่นมัว ถ้าไม่ไปอบาย ก็ไปเกิดเป็นหญิงบริการนั่นล่ะค่ะ
เพราะฉะนั้น อย่าไปยุ่งเกี่ยวดีกว่านะคะ
#4
โพสต์เมื่อ 09 June 2008 - 05:27 PM
http://www.dmc.tv/pa...2548-02-09.html
จะมีคำถามที่ 4 ที่ถามว่า
4.การที่มาทำอาชีพขายบริการอย่างปัจจุบัน เป็นการรับกรรมเก่าหรือเป็นการสร้างกรรมใหม่คะ ทำอย่างไรให้พ้นจากวิบากกรรมเหล่านี้
ลองดูคำตอบของครูไม่ใหญ่ดูนะครับ
4.การที่มาทำอาชีพขายบริการ เป็นเพราะกรรมเก่าในอดีต แต่ถ้าเป็นโสเภณีแล้วยังไปเสพยา เล่นการพนัน ไปซื้อบริการจากผู้ชายหรือไปหิ้วผู้ชายมาเพื่อความสะใจของตน จะเป็นกรรมใหม่ มันต้องแยกประเภทกัน
#5
โพสต์เมื่อ 09 June 2008 - 06:21 PM
#6
โพสต์เมื่อ 09 June 2008 - 08:51 PM
เรื่องบุญเรื่องบาปนี่.. อย่าด่วนสรุปเลย
ค่อยๆศึกษา Case ต่างๆให้ละเอียดก่อนที่จะปักใจเชื่อว่า บาปหรือไม่บาป
ตามที่กัลญาณมิตรท่านอื่นๆแนะนำให้ลองศึกษาดูอ่ะจ๊ะ
แล้วก็หาข้อมูลเพิ่มเติมด้วย..
เพราะถ้าพลาดแล้ว.. มันจะไม่คุ้มเลย..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#7
โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 08:47 AM
#8
โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 09:41 AM
1. หากคุณเจ้าของกระทู้มีแฟนหรือภรรยา หากคุณเจ้าของกระทู้ไปซื้อขายกับหญิงขายบริการ เท่ากับว่าคุณเจ้าของกระทู้นอกใจแฟนหรือภรรยาถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกคิดว่าจะบาปไหมล่ะครับ
2. หากผู้หญิงขายบริการคนนั้นมีสามีหรือมีลูกแล้ว ก็จัดว่าเป็นหญิงต้องห้าม หากคุณเจ้าของกระทู้ไปซื้อขายบริการกับเขาเท่ากับว่าทำให้หญิงคนนั้นนอกใจสามีถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกคิดว่าบาปไหมล่ะครับ
3. แม้หญิงขายบริการนั้นจะไม่มีสามีหรือลูก แต่เขาก็ยังมีพ่อแม่อยู่ ก็จัดว่าเป็นหญิงต้องห้ามถูกต้องใช่ไหมครับ
4. แม้การซื้อขายในทางโลกจะดูเป็นการยุติธรรม คือเราจ่ายเงินแล้วก็ได้ของตอบแทนมา แต่อยากให้คุณเจ้าของกระทู้คิดดูสักนิด แม้เราจะจ่ายเงินให้เขาแต่ความจริงแล้วใจของหญิงขายบริการนั้นเต็มใจมอบกายให้เราหรือไม่ เป็นเพราะเขาจำใจถูกต้องใช่ไหมครับ เพราะเขามีภาระทั้งครอบครัวและสังคมเขาจึงจำใจต้องมาขายบริการจริงไหม เพราะฉนั้นแล้วคุณเจ้าของกระทู้คิดว่า การใช้ร่างกายของคนที่จำใจขายบริการเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือเปล่า การกระทำก็คือกรรม หากเราประกอบกรรมที่ไม่ถูกต้องคิดว่าบาปไหมล่ะครับ
5. แม้หญิงขายบริการจะเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมกาเม แต่หากผู้ที่มาซื้อบริการเป็นบุคคลต้องห้าม คือมีแฟนมีภรรยามีลูกและมีพ่อแม่ และการขายบริการของหญิงขายบริการนี้สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวของผู้ที่มาซื้อบริการ คิดว่าจะบาปไหมล่ะครับ
เอาแค่5ข้อนี้ก่อนแล้วกันนะครับ ที่จริงมีอีกเพียบ หวังว่าคงทำให้คุณเจ้าของกระทู้กระจ่างขึ้นบ้างนะครับ
อ้อ อีกประการ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า มิจฉาอาชีวะนั้นประด้วย 1.ค้ามนุษย์ 2.ค้าอาวุธ 3.ค้ายาพิษ
การขายประเวณีนั้นหมายถึงการขายเรือนร่างและร่างกายของตัวเองให้กับผู้อื่น จึงจัดอยู่ในมิจฉาอาชีวะข้อค้ามนุษย์ จึงเป็นอาชีพที่ปราศจากความเจริญถูกต้องไหมครับ แม้คนขายจะไม่บาปแต่เราเป็นผู้ซื้อเท่ากับเราสนับสนุนเขาทำอาชีพที่มัวเมาผู้อื่นต่อไป คุณเจ้าของกระทู้คิดว่าบาปไหมล่ะครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#9
โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 10:34 AM
#10
โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 11:52 AM
องค์แห่งศีลข้อที่3นั้นประกอบด้วย (ยกมาจากพระธรรมเทศนาเรื่ององค์แห่งศีลของหลวงพ่อทัตตะชีโว)
1. บุคคลที่ละเมิดเป็นบุคคลต้องห้ามหรือบุคคลที่ยังมีเจ้าของอยู่ เช่น พ่อ แม่ สามี(ภรรยา)
2. บุคคลนั้นเป็นบุคคลที่ประเพณีหวงห้าม(เช่น นักบวช ฯลฯ)
3. ประกอบกิจในการเสพเมถุนธรรม นับตั้งแต่การถูกเนื้อต้องตัวกัน
4. อวัยวะมรรคจรดกัน ขาดสะบั้นทันที
ลองพิจารณา2ข้อแรกเราจะได้คำตอบครับ จะเห็นได้ว่าตามหลักกฎแห่งกรรม แม้จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย แต่หากพ่อแม่เขายังไม่อนุญาติก็ผิดอยู่ดีจริงไหมครับ แล้วถึงแม้จะเป็นแฟนกัน พ่อแม่รู้และยอมอนุญาติให้คบกันแต่ยังไม่ได้แต่งตามประเพณีก็ผิดจริงไหมครับ
ดังนั้นสามีภรรยาตามหลักกฎแห่งกรรมนั้นจะต้องประกอบด้วย2อย่างคือ
1. ผู้เป็นเจ้าของยินยอม นั่นคือพ่อแม่ หรือถ้าเป็นสามีภรรยากันก็ต้องเป็นสามีภรรยาที่เลิกกันโดยความยินยอมของทั้ง2ฝ่ายและถูกตามประเพณีเรียบร้อยแล้ว
2. ถูกจารีตประเพณีคือผ่านพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องเรียบร้อยแล้ว
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#11
โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 08:44 PM
อยากได้เพศบริสุทธิ์ ต้อง รักษา ศีลอย่างน้อย 5 ข้อ ให้ดีๆ
ถ้าให้ดีก็ต้องมีนิสัย รักการประพฤติพรหมจรรย์ครับ
จากผู้ได้โอกาส.......................
#12
โพสต์เมื่อ 10 June 2008 - 09:51 PM
#13
โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 09:14 AM
#14
โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 10:16 AM
#15
โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 12:36 PM
#16
โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 05:58 PM
การเที่ยว โสเภณี ยากที่จะให้บริสุทธิ์ เพราะต้องประกอบด้วยใจที่ต้องพร้อมยินยอมของผู้ขายบริการ(ซึ่งน้อยมาก)
กายที่ต้องไม่มีเจ้าของ (สามี)
คนเที่ยวก็ต้องโสด และก็วัยก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่ยังเป็นลูกของพ่อแม่ ทั้งสองฝ่าย
จึงจะไม่มีวิบากกรรมกาเม...ซึ่งยากแสนยาก ให้มีองค์ประกอบครบ
แถมยังทำให้ใจก็ยังไปหมกมุ่น คุ้นเคยกับราคะ ซึ่งเหมือนยางเหนียว อาจทำให้หลง ติดอกติดใจ เสียเงิน เวลา แทนที่จะไปทำงาน ไปถือศีล นั่งสมาธิ
วิธีแก้ ให้นั่งสมาธิมากๆ เวลาใจเริ่มวนเวียนเรื่องกามรมณ์ จะเป็นการขจัด กิเลสละเอียดเช่นนี้โดยตรง ความสุขจากสมาธิ จะทำให้ทดแทนสุขจากกามได้ เพราะเป็นความสุขที่แท้จริง
ให้ลองทำดู
#17
โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 07:37 PM
ตอบ ในกรณีนี้ เขาไม่ตัดสินว่าถูกหรือผิดด้วย ศีล หรอกนะ เขาตัดสินกันด้วยตัวบรรทัดฐาน คือ อบายมุข
อบาย แปลว่า ความเสื่อม ความฉิบหาย ที่ปราศจากความเจริญ
มุข แปลว่า หน้า หรือ ทางเข้า
อบายมุข แปลว่า โฉมหน้าแห่งความเสื่อม หรือทางแห่งความเสื่อม ผู้ชายคนไหนไม่ว่าจะเป็นโสด หรือเป็นคนมีคู่ครองแล้ว หากไปยุ่งเกี่ยวกับโสเภณีจะระดับไหนก็ตาม
ขอเตือนว่า โฉมหน้าแห่งความเสื่อม โฉมหน้าแห่งความฉิบหายได้ลอยมาประทับหน้าเดิมของเขาเข้าให้แล้ว นับแต่นี้ไปไม่ว่าเขาจะไปทำอะไร คนรอบข้างก็อดไม่ได้ที่จะเคลือบแคลง สงสัยไปในทางไม่ดีเอาไว้ก่อน
เรื่องนี้เราไม่ได้ตัดสินกันด้วยศีล แต่ตัดสินกันด้วยเรื่องความเสื่อม ความฉิบหายต่างๆ ที่จะมาถึงตัวผู้นั้น ซึ่งได้แก่
เรื่องที่ 1 ติดโรค ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าถ้าไปยุ่งเกี่ยวกับหญิงโสเภณีเมื่อใด กามโรค โรคเอดส์ก็ถามหาเมื่อนั้น ใครขืนไปยุ่งเข้า ก็นั่งนอนผวาไปเถิดว่าเราติดเอดส์มาหรือยังหนอ
เรื่องที่ 2 ผู้ชายคนนั้นกำลังดูถูกเพศแม่ของตัวเอง
เรื่องที่ 3 ผู้ชายคนนั้นกำลังเพาะนิสัยไม่ดีไว้ในตัว คือ นิสัยดูถูกเหยียบย่ำผู้หญิง พอถึงคราวมีภรรยาก็จะเอานิสัยไม่ดีที่เคยปฏิบัติกับโสเภณีมาใช้กับภรรยาของเขา นึกดูก็แล้วกันว่า อะไรจะเกิดขึ้น
เรื่องที่ 4 เป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุ พูดอีกอย่าง คือ เอาเงินไปซื้อความพินาศฉิบหายมาใส่ตัวแท้ๆ สู้เอาเงินที่จะต้องไปเสียให้กับหญิงโสเภณี ส่งไปให้คุณแม่ทำบุญเสียยังจะดีกว่า
คุณโยมนะ ต่อไปถ้าจะไปถกเถียงกับพวกผู้ชายในเรื่องนี้อีกละก็ บอกเขาไปเลยว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้พิจารณากันด้วยศีล ย้ำให้หนักเลยว่า ถ้าจะไปเสียเงินเสียทองด้วยเรื่องอย่างนี้อีก ให้นึกถึงคนเป็นแม่บ้างว่า กว่าท่านจะเลี้ยงลูกแต่ละคนจนเติบโตมาขนาดนี้ ท่านลำบากนักหนา ลูกที่ทำมาหากินได้แล้วควรจะส่งเงินให้ท่านทำบุญเป็นเสบียงติดตัวไปภพชาติข้างหน้าบ้าง เพราะคุณแม่บางคนเลี้ยงลูกจนแทบจะไม่มีเงิน ไม่มีเวลาแบ่งไปทำบุญสำหรับตัวเองเลย
ถ้าช่วยกันพูดช่วยกันทำอย่างนี้ หลวงพ่อว่าจะทำให้ได้บุญกันหลายฝ่าย ขอให้พยายามพูด พยายามอธิบายกันมากๆ เพื่อว่าในภายภาคหน้า คุณผู้ชายท้งหลายจะได้เห็นสตรีทั้งแผ่นดินมีคุณค่าเสมือนมารดาของเขา แล้วเรื่องการปลุกปล้ำ ทำอนาจาร เรื่องข่มขืน เรื่องฆ่า เพราะเหตุแห่งเพศ เหตุแห่งกาม จะได้หมดไปจากโลกนี้เสียที
ที่มา หนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหา โดย พระภาวนาวิริยคุณ ( เผด็จ ทัตตชีโว )
#18
โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 12:19 PM
#19 *นกขมิ้น*
โพสต์เมื่อ 29 January 2011 - 11:24 AM