ศรัทธา มีกำเนิดมาจากอะไร ?
#1
โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 09:46 AM
ทำอย่างไรถึงจะเริ่มเชื่อและพัฒนาอย่างไรกลายเป็นความศรัทธาได้
ไม่รู้ว่าอยู่ในหมวดธรรมข้อไหนน่ะคะ
รบกวนผู้รู้หน่อยนะคะ
#2
โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 11:43 AM
มนุษย์เมื่อมีความโลภหรือความอยาก ไม่ว่าอยากอะไรก็ตาม เช่นอยากรวย อยากสวย อยากให้ลูกเป็นคนดี อยากเรียนเก่ง ย่อมต้องหาที่พึ่งเช่นคนทรง หมอดู หมอผี ศาลเจ้า เมื่อพบที่พึ่งที่ตนคิดว่าพึ่งได้ก็ทำให้เกิดความหลง เช่น เห็นคนไปบนบานศาลกล่าวแล้วได้ตามที่ขอ หรือเห็นว่าหมอดูคนนี้ทายแม่น ความหลงก็เกิดหรือที่เรียกว่าหลงไปตามกระแส เมื่อความโลภและความหลงรวมกันเข้าจึงเป็นศรัทธา
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#3
โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 11:58 AM
ศรัทธาก็เหมือนกันครับ ก็เป็นอย่างที่คุณเคยเข้าวัดอธิบายไว้ แต่ขอเสริมว่าต้นตอของศรัทธา ก็มีที่อยู่ภายในใจลึกๆ(เกิดจากการสั่งสมของที่เห็น ที่จำ ที่คิด จนเป็นนิสัย สันดาน) และมีอิทธิพลทำให้เป็นความคิดความศรัทธา ในเชิงบวก หรือเชิงลบ คือถ้าเป็นบวกก็เป็นความคิดถูก มีศรัทธาที่ถูกต้องมีปัญญาประกอบไม่หลงไม่งมงาย หรือ ทำให้คิดเป็นเชิงลบ ก็เป็นตรงกันข้ามกับทางบวก
#4
โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 12:26 PM
#5
โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 01:32 PM
น่าจะเกี่ยวกับหลักธรรม อินทรีย์ ๕ และ พละ ๕ นะ
ศรัทธาโดยทั่วไป หมายถึงความเชื่อ ความเลื่อมใส
ในทางพุทธศาสนา ศรัทธา หมายถึง สภาพความผ่องใส ไม่ขุ่นมัวที่เกิดขึ้นกับใจ ไปในทางกุศลจิต อันมี
ทาน ศีล ภาวนา ไม่ได้ไปในทางอกุศลจิต ศรัทธาเมื่อเกิดขึ้นย่อมข่มนิวรณ์5ประการได้แก่
1กามฉันทะ 2 ความโกรธ พยาบาท 3 ความหดหู่ท้อถอย 4 ความฟุ้งซ่าน 5 ความลังเลสงสัย
ทำให้กิเลสสงบ จิตผ่องใส ไม่ขุ่นมัว , ทาน ศีล ภาวนา ต้องมีศรัทธานำก่อน
เปรียบเหมือนสารส้มที่ทำให้น้ำที่ขุ่นไปด้วย จอก แหน โคลนตมสงบลง กลายเป็นน้ำใส
สารส้มเหมือน ศรัทธา ,จิตเหมือนน้ำ ,กิเลส เหมือน จอก แหน โคลนตม
จะเชื่อสิ่งใดให้พิจารณาตามหลักกาลามสูตร 10 ประการ อย่าเชื่อด้วย
1 ด้วยการฟังตามกันมา
2 ด้วยการถือสืบต่อกันมา
3 ด้วยการเล่าลือ
4 ด้วยการอ้างตำรา อ้างคัมภีร์
5 ด้วยตรรกะ
6 ด้วยอนุมาน
7 ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
8 ด้วยเพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน
9 ด้วยเพราะมองเห็นลักษณะแล้วน่าเชื่อถือ
10 ด้วยเพราะสมณะท่านนี้เป็นครูของเรา
แต่ให้เชื่อด้วยการพิจารณาด้วยปัญญา เห็นว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศล เป็นอกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ
เป็นต้น แล้วจึงควรละหรือถือปฏิบัติตาม
#6
โพสต์เมื่อ 14 June 2008 - 05:46 PM
#7
โพสต์เมื่อ 15 June 2008 - 07:22 PM
faith คือ เชื่ออย่างห้ามถามห้ามสงสัย, ยิ่งเชื่อมากยิ่งfaithมาก, ไม่ใช่ยิ่งfaithมากยิ่งเชื่อมาก, กล่าวคือ ถ้าคุณสั่งตนเองให้เชื่อๆๆๆๆๆๆๆๆเท่านั้นโดยไม่ถามไม่ยอมสงสัยใดๆทั้งสิ้น ฝรั่งก็จะชมคุณว่า You're so faithful.
"ศรัทธา(สันสกฤต)" คือเชื่อโดยประกอบด้วยปัญญา, ยิ่งมี(สุตมย,จินตมย,ภาวนามย)ปัญญามากขึ้น ศรัทธาก็จะยิ่งมากขึ้น มี ๔ อย่าง
(๑) กัมมสัทธา(บาลี) เชื่อกรรม
(๒) วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม
(๓) กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
(๔) ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต
แต่ถ้าคุณไม่ยอมศึกษา( สุ จิ ปุ ลิ )พุทธธรรมเลย ไม่ยอมถามไม่ยอมสงสัยเลย จะเอาแต่เชื่อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆเท่านั้น ก็จะ " ไม่มี " ใครชมคุณว่า ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธาหนอ
ดังนั้นให้ทับศัพท์ "faith" ไปเลย เวลาต้องใช้คำศัพท์นี้ , อย่าใช้คำว่า "ศรัทธา"
(๒) ความเชื่อที่ประกอบด้วยกิเลสโลภะโทสะโมหะคือ "งมงาย" , ไม่ใช่ "ศรัทธา"
จากพระไตรปิฏก พระพุทธเจ้าไม่เคยใช้คำว่า "ศรัทธา" ในทางเชิงลบ,เทา,ดำ,เลยแม้แต่ครั้งเดียว
"ศรัทธา" เป็นหนึ่งในพละ ๕ , อินทรีย์ ๕ ได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
(๓) ศรัทธามีกำเนิดมาจากปัญญา ถ้าจะพัฒนาศรัทธา ก็ต้องสร้าง "พุทธิปัญญา" ก่อน โดยอ่านฟังดู "พุทธธรรม" ให้มากๆ ขอเน้นว่าให้อ่านพระไตรปิฏกโดยตรง อย่าอ่านพวก "เกจิ(แปลว่า someone,something)" โดยเฉพาะพวกปนๆไอสไตน์ลับสุดยอด ทั้งมั่วทั้งเพี้ยน ดูจากที่ออกTV ก็คิดเองเออเอง เพราะความรู้ความเข้าใจของเขา มันขาดๆเกินๆแหว่งๆวิ่นๆ
(๔) ดู DMC ดีที่สุด
กระทู้ต่อเนื่อง http://www.dmc.tv/fo...showtopic=17362
#8
โพสต์เมื่อ 16 June 2008 - 08:53 PM
สาธุ.. สาธุ.. สาธุ..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#9
โพสต์เมื่อ 18 June 2008 - 11:42 AM
#10
โพสต์เมื่อ 12 September 2010 - 09:31 AM
สาธุกับธรรมทานค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 12 September 2010 - 09:37 AM
ศรัทธา vs มักง่าย งมงาย เชื่อง่ายตามเขาบอก? ไม่นะมันคนละขั้วกันเลยนี่
#12
โพสต์เมื่อ 12 September 2010 - 02:26 PM
และดังที่ท่าน Dj กล่าวไว้ อย่าสับสนนะครับ ศัพท์ของตะวันตก และศัพท์ทางตะวันออก ความหมายไม่เหมือนกัน แต่ที่นำมาใช้แทนกันเป็นการยืมศัพท์ให้ได้ความหมายที่ใกล้เคียงเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นคำว่า ศาสนา ความเชื่อ พระ สามเณร สวดมนต์ วัด โบสถ์ และอีกมากมาย ความหมายของฟรั่งกับทางพุทธไม่เหมือนกันหรอกครับ
และผมเห็นว่าในอนาคตจะมีการใช้ศัพท์ทางศาสนาพุทธแบบทับศัพท์กันได้ Dou และศูนย์ต่างประเทศของวัดพระธรรมกายควรเป็นต้นแบบ เราควรใช้ทับศัพท์ไปเลย อย่างศาสนาฮินดู พุทธนิกายเซน วัชรญาณ หรือชาวมุสลิมเป็นต้น เขาก็พยายามใช้คำทับศัพท์กันไปก่อนหน้าเราแล้วครับ
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#13
โพสต์เมื่อ 12 September 2010 - 05:09 PM
ชะอุ๊ย.....
ขอกราบอนุโมทนากับเพลงหลายต่อหลายเพลงที่สร้างความสดชื่น สดใส เบิกบาน และกล้าหาญ ให้กับทุกๆคน ด้วยนะคะ สาธู๊.........ธู๊ค่ะ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ
#14
โพสต์เมื่อ 12 September 2010 - 09:14 PM
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ