ผู้พลิกฟื้นพุทธศาสนาในอินเดีย
หากไม่เห็นด้วยตาก็ไม่อยากเชื่อเลยว่า สถานที่สำคัญยิ่งทางพุทธศาสนายังยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางหมู่ชนชาวฮินดู ทั้งยังเปิดให้พุทธศาสนิกชนไปเคารพสักการะได้อีกต่างหาก
และผู้มีคุณูปการอย่างยิ่งต่อเรื่องนี้คือ ท่านอนาคาริก ธัมมปาล (Anagarika Dharmapala) ภิกษุชาวศรีลังกา ผู้มีปณิธานแน่วแน่ว่าจะเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้แพร่หลายไปทั่วโลก
ท่านธัมมปาล (1864-1933) เดิมชื่อ ดอน เดวิด เป็นชาวสิงหล เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางที่มีฐานะในประเทศศรีลังกา บิดาเป็นผู้เชี่ยวชาญการผลิตเฟอร์นิเจอร์ ท่านถูกส่งไปเรียนในโรงเรียนของมิชชันนารี และเติบโตมาโดยมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของประเทศ ดอน เดวิด รู้สึกหดหู่กับศาสนาและความเสื่อมของประเทศ จึงพัฒนาองค์กรขึ้นมาโดยมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับอำนาจของต่างประเทศที่เข้ามารุกราน
ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น 'อนาคาริก ธัมมปาล' และยังได้แนะนำคนอื่นๆ ให้เปลี่ยนมาใช้ชื่อพื้นเมือง หรือคำในพุทธศาสนาแทนชื่อแบบชาวตะวันตก ซึ่งประชาชนก็ตั้งชื่อลูกๆ ของตนตามแบบที่ท่านธัมมปาลแนะนำ นอกจากนี้ท่านยังเป็นหนึ่งในผู้รณรงค์ให้ใช้คำพื้นเมืองเป็นชื่อประเทศ แทนที่จะใช้ว่า 'ซีลอน' ซึ่งเป็นชื่อตะวันตก
ปี 1893 ท่านธัมมปาลได้รับเลือกจากผู้นำศาสนาพุทธให้เป็นตัวแทนที่ Parliament of world religions ในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นท่านก็ได้รับเชิญให้ไปบรรยายเกี่ยวกับศาสนาตามที่ต่างๆ อีกมากมาย
หลังกลับสู่มาตุภูมิ ท่านธัมมปาลได้เยี่ยมเยียนตามหมู่บ้านต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อปลุกชาวพุทธ-สิงหล ให้ตระหนักถึงอันตรายของวัฒนธรรมชาติ
ท่านเป็นผู้ก่อตั้งมหาโพธิสมาคม ในนิว เดลี ประเทศอินเดีย และมีสาขาในนิวยอร์ก ลอนดอน รวมทั้งริเริ่มทำหนังสือพิมพ์ Sinhala Bauddhaya ด้วย
การก่อตั้ง Buddist Mahavihara ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ นับเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งในศตวรรษที่ 20 และได้รับการบันทึกไว้ในรายงานประจำปีของประวัติศาสตร์ศาสนาพุทธ
แม้ว่าท่านธัมมปาลจะมีชื่อเสียงไปทั่ว แต่ก็มีศัตรูไม่น้อย ทำให้ท่านต้องไปอยู่ที่ประเทศอินเดีย กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตที่มูลคันธกุฎีในชื่อของ ภิกษุเทวมิตต (Devamitta)
กลับมาที่อินเดีย...
ท่านธัมมปาลได้ก่อตั้งมหาโพธิสมาคมแห่งอินเดีย (Mahabodhi Society of India) ในปี ค.ศ.1891 โดยมีเป้าหมายสำคัญคือเชื้อเชิญพระชาวฮินดูที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา และครอบครองพุทธคยาอยู่ ให้ออกจากพื้นที่ และให้สถานที่แห่งนี้เป็นสิทธิอันชอบธรรมของผู้นับถืออย่างแท้จริง เหตุการณ์ยืดเยื้อถึงวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ.1953 ที่ได้มีการมอบกรรมสิทธิ์ให้กับท่าน Dr.S.Radhakrisshnan ซึ่งภายหลังได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดีแห่งอินเดีย
อ.เรืองอุไร กุศลาสัย เล่าถึงมหาโพธิสมาคมไว้ในหนังสือ 'วัฒนธรรมสัมพันธ์:ไทย-อินเดีย' ว่าเป็นสมาคมเผยแผ่พระพุทธศาสนา ก่อตั้งโดยภิกษุศรีเทวมิตตธัมมปาล และภายใต้การบริหารงานของท่านธัมมปาลนี้ ทำให้เกิดมูลคันธกุฎีวิหารหลังใหญ่ตระหง่าน ตรงข้ามกับธัมเมกขสถูป เมื่อปี ค.ศ.1924 ตามรอบผนังโบสถ์ด้านในเป็นภาพระบายสีแสดงพระพุทธประวัติไว้โดยตลอด ด้วยฝีมือช่างเขียนชาวญี่ปุ่น ชื่อ Kosetsu Nosu ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นส่งมาช่วยด้วยใจศรัทธา
นอกจากนี้มหาโพธิสมาคมยังสร้างโรงเรียนเป็นที่ศึกษาภาษาบาลี สร้างห้องสมุดของสมาคม อันเป็นที่รวบรวมวรรณคดีพุทธศาสนาทุกชิ้นทุกเรื่อง สร้างถนนให้ชื่อว่าธรรมบาล ฯลฯ มีผู้คนชาวพุทธมามกะทุกชาติทุกภาษา ทั้งญี่ปุ่น จีน ทิเบต เนปาล พม่า ลังกา ไทย ไปนมัสการกันปีละมากๆ...
สมาคมมหาโพธิได้รับความนิยมยกย่องในต่างประเทศมาก มีสาขาของสมาคมแพร่หลายอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ของอินเดียเอง ตลอดจนในต่างประเทศอีกหลายประเทศ ความเคลื่อนไหวของมหาโพธิสมาคมในอินเดีย ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอินเดียมาก มีการฉลองวันครบรอบปีของมูลคันกุฎีวิหารทุกปี และมีพุทธศาสนิกชนนานาชาติเดินทางมาร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง เพราะถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้มาสักการะพระบรมสารีริกธาตุด้วย
อ.เรืองอุไร เล่าด้วยว่า พระบรมสารีริกธาตุนี้มีขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย ได้มาจากเมืองตักศิลา บรรจุอยู่ในสถูปทองคำจำลอง ประดิษฐานในพลับพลาเงินจำลอง ฝีมือช่างพม่าประดับลวดลายฝังพลอยและทับทิมอย่างงดงาม ตามธรรมดาจะเก็บไว้ในถ้ำใต้องค์พระพุทธรูปภายในวิหารนี้ ส่วนพระพุทธรูปจำลองใหญ่ 4-5 ศอก ปีหนึ่งจะอัญเชิญออกมาให้ประชาชนได้นมัสการสักครั้งในวันที่ 23-24 พฤศจิกายนของทุกปี
เสียดายที่กระวานไปไม่ตรงกับช่วงที่มีงาน จึงไม่มีโอกาสได้นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไรหรอก แค่ได้มีโอกาสมาเยือนถิ่นพุทธภูมิ ก็เป็นบุญหนักหนาแล้ว...
(หมายเหตุ : ข้อมูลจากหนังสือ วัฒนธรรมสัมพันธ์:ไทย-อินเดีย โดย ดร.กรุณา-ศ.เรืองอุไร กุศลาสัย, หนังสืออินเดีย:ไม่ไปไม่เชื่อ โดย วิโรจน์ ถิรคุณ