
รบกวนถามหน่อยได้ไหมค่ะ
#1
โพสต์เมื่อ 26 November 2008 - 09:11 PM
คือพ่อผิดศีลข้อ4 แล้วก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ตอนนี้แยกกันอยู่กับท่านนะค่ะ พ่อไม่ได้เลี้ยงดูลูก 4 คนอ่า ให้คุณแม่เลี้ยงดูคนเดียว ก่อนที่จะแยกกันอยู่ คุณพ่อชอบเอาครอบครัวไปว่าให้คนอื่นฟัง ชอบเล่าเรื่องไม่เป็นความจริง เกี่ยวกับครอบครัวทางเสียๆหายๆ แบบไม่เป็นความจริง ตั้งแต่ก่อนหนูเกิดแล้ว แล้วก็ชอบหลอกคนอื่นบางทีก็ทำงานให้เค้าไม่เสร็จแต่เบิกเงินล่วงเค้ามาหมดแล้ว ก็เลยมีปัญหากันบ้าง เป็นบางครั้ง แล้วก็ชอบพูดเอาหน้า หนูเคยคิดว่าถ้าคุณพ่อมาอาจจะไม่ได้เข้าวัดอีกก็ได้ เวลาคุณพ่อโทรมาไม่กล้าบอกว่ามาวัด กลัวเค้าจะว่าที่วัดให้เสียหายแล้วเป็นบาป มากขึ้นแล้วก็ผิดศีลข้อ 3 อีกด้วย แต่ถ้าไม่เป็นกัลยาณมิตร ก็กลัวคุณพ่อไปอบาย จะทำอย่างไรดีค่ะ
แล้ววิบากกรรมอะไรที่ทำให้คุณพ่อเป็นแบบนี้ค่ะ แล้วทำไมเราถึงมาเป็นครอบครัวเดียวกันค่ะ
อยากถามว่าจะทำอย่างไรดีให้คุณแม่หายโกรธคุณพ่อค่ะ คุณพ่อชอบทำให้แม่เสียใจ น้อยใจ แล้วคุณแม่ก็โกรธคุณพ่อมาเป็นสิบๆปี เพราะคุณพ่อทำกับครอบครัวไว้มากเหลือเกิน อาจจะทำเป็นอาจิณเลยก็ได้ จะทำอย่างไรดีให้คุณแม่หายโกรธคุณพ่อค่ะ แล้วคุณแม่จิตเศร้าหมองเพราะคุณพ่อชอบว่าเสียๆหายๆ เรื่องไม่จริงให้คนอื่นฟังตลอด จะเป็นกัลยาณมิตรให้ท่านอย่างไรค่ะ คุณแม่ท่านว่าอโหสิ แต่ท่านก็ยังคงโกรธอยู่ดีเหมือนเดิม อยากทราบว่าอโหสิแบบนี้จะจองเวรในภพชาติหน้าหรือเปล่าค่ะ
#2
โพสต์เมื่อ 26 November 2008 - 09:43 PM
สมาชิก 6 คน คือ สิริปโภ, chai189, ton16kij, ชัดใสปิ๊ง, minova, ตำรวจรักบุญ
เชิญรับฟังความคิดเห็นจากท่านต่างๆได้เลยครับ
#3
โพสต์เมื่อ 26 November 2008 - 09:48 PM
ออกบวช และได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ไม่อาจทำให้โยมมารดามีศรัทธาในพระศาสนาได้
กรณีของคุณนั้นก็คล้ายๆกับกรณีของพระสารีบุตร ต่างแต่ว่า คุณไม่ใช่พระอรหันต์ที่เลิศด้วยปัญญาและคงไม่มีพี่น้องที่เป็น
พระอรหันต์เลยสักคน(หรือถ้ามีบอกด้วย จะไปทำบุญกับท่าน) แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง วิธีการที่ดีมีอยู่คือ เปลี่ยนที่ตัวคุณก่อน
ทำตัวคุณให้เป็นคนดีของทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ใช้หลักสังคหวัตถุสี่ ทำให้ท่านรัก ทุกครั้งที่ท่านมาหาหรือเราไปหาท่าน
ให้ก้มกราบแทบเท้าท่านแล้วบอกท่านบ่อยๆว่าเรารักท่าน หมั่นชวนท่านคุยเรื่องบุญเรื่องการทำดีของท่าน
ทำตัวให้เรียบร้อยมาขึ้น ทั้หมดที่กล่าวมาต้องทำให้ติดเป็นนิสัย ถ้าทำได้ต่อเนื่องยาวนาน คุณจะรู้เองว่าควรชวนท่านมา
วัดเมื่อใด
#4
โพสต์เมื่อ 26 November 2008 - 09:54 PM
#5
โพสต์เมื่อ 26 November 2008 - 10:01 PM
ถ้าพ่อ อยู่ ก็คงไม่ได้มาวัดแล้วอ่าค่ะ ก็พ่อไม่อยู่ด้วยถึงได้มาช่วยงานที่วัดนี่ค่ะ ที่ไม่กล้าบอกก็กลัวว่าพ่อจะบาปขึ้นก็เลยไม่กล้าบอกว่ามาวัด ที่กลัวพ่อบาปก็เพราะ วาจา ของคุณพ่อนะค่ะ แล้วก็ความคิดของท่าน ที่ไม่รู้จะเริ่มแก้จากที่ไหนดี เพราะท่านเป็นก่อนหนูเกิดอีกอ่า...หรือว่าหนูจะไปช่วยท่านตอนที่ท่านไปอยู่ที่ๆรับบุญได้หรือเปล่าค่ะ

#6
โพสต์เมื่อ 26 November 2008 - 10:20 PM

ต้องอดทนมากมากเลยนะครับ
...
เป็นกรรมใหม่ของคุณพ่อ ที่ทำกับคุณแม่และครอบครัว
ซึ่งก็เป็นนิสัยข้ามภพข้ามชาติของคุณพ่อ
เป็นกัลยามิตรให้ท่าน ต้องอดทนมากมาก
ทำดีให้เป็นตัวอย่าง อาจต้องใช้เวลาตลอดชีวิต
ถ้าแยกกันอยู่ ก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้วกัน
เฮ้อ! เอาใจช่วยนะ
...
เป็นกรรมเก่าของคุณแม่ มาส่งผล ทำให้เจอคุณพ่อแบบนี้
ต้องชวนคุณแม่ทำบุญมากมาก ทำใจใสใส
แผ่เมตตาให้ ติดตามหมู่คณะ มองที่เป้าหมายที่สุดแห่งธรรม
พักกลางทางที่ดุสิตบุรีฯ..
...
ส่วนตัวเราเองก็สั่งสมทุกบุญ แผ่เมตตาให้คุณพ่อ
อธิษฐานให้ท่านมีสัมมาทิฏฐิในวันหนึ่ง
ขอให้สำเร็จ สาธุ สาธุ
....
ไฟล์แนบ
#7
โพสต์เมื่อ 26 November 2008 - 10:53 PM
#8
โพสต์เมื่อ 27 November 2008 - 08:41 AM
#9
โพสต์เมื่อ 27 November 2008 - 11:38 AM
ก็อยากจะบอกว่า ของบางอย่างต้องใจเย็นๆ สิครับ เราร้อนใจไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เหมือนหากมีใครมาถามน้องว่า
เขาไปปลูกต้นกล้วยอยู่ จะทำอย่างไรให้ต้นกล้วยได้ผลผลิตกล้วยภายในวันพรุ่งนี้เลย มีวิธีการใดบ้าง หากไม่ได้กินกล้วยวันพรุ่งนี้ เขาจะไม่มีอะไรกินอีกแล้ว
น้องเจ้าของกระทู้จะตอบเขาอย่างไรดีครับ น้องก็คงจะบอกว่า ใจเย็นๆ สิเพื่อน เพื่อนก็หมั่นรดดินพรวนดินให้ปุ๋ยไปเรื่อยๆ ปลูกต้นกล้วยให้สุดฝีมือไปเลย เดี๋ยวปีหน้าก็ได้กินกล้วย ส่วนวันพรุ่งนี้ถ้ายังไม่มีกล้วยกินก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราหาอย่างอื่นกินไปก่อนได้นะ
เช่นเดียวกันครับ กับคำถามว่า จะเป็นกัลยาณมิตรให้พ่ออย่างไรดี จะชวนมาวัดก็กลัววัดเสื่อมเสีย จะไม่ชวนก็กลัวพ่อทำบาปไปเรื่อยๆ
คำตอบนั้น พี่ก็จะตอบเหมือนปลูกกล้วยนั่นแหละว่า ใจเย็นๆ ครับ เพราะต่อให้น้องกังวลแทบตายอย่างไร เมื่อไม่ถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสม ต้นกล้วยก็ไม่งอกมาให้ทานหรอกครับ เช่นเดียวกัน ต่อให้กังวลแทบตายอย่างไร ก็ไม่อาจแก้ไขให้พ่อซึ่งคงสั่งสมนิสัยทำนองนั้นมานานแล้ว ดีขึ้นภายในวันสองวันหรอกครับ ของทุกอย่างต้องใช้เวลา คนใจร้อนด่วนได้ ไม่เคยประสบความสำเร็จสูงสุดแม้แต่รายเดียวครับ
ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ไม่ได้อยู่กับพ่อ ถ้ารู้ที่อยู่ก็ส่งหนังสือธรรมะไปให้พ่ออ่านทางไปรษณีย์ก็ได้นี่ มีเทคนิคเยอะแยะเลยถ้าเราไม่กังวล
ลองดูคนไม่กังวล จัดการเรื่องราวต่างๆ นะครับ เอ้าสมมุติเอาเรื่องที่ไม่กังวลดีกว่า เช่น เพื่อนอยู่ต่างประเทศ แต่เราอยากชวนเพื่อนมาเที่ยวทุ่งทานตะวันเมืองไทย ทำไงดี
พอไม่กังวล อ๋อ ง่ายนิดเดียว ก็ส่งเมล์ไปเล่าให้เพื่อนฟังว่า ทุ่งทานตะวัน สวยอย่างนั้นอย่างนี้ เดี๋ยวเพื่อนว่างก็มาเที่ยวเองแหละ
เช่นเดียวกัน เรื่องพ่อ ทำไงให้พ่อเป็นคนดี ก็หาหนังสือธรรมะเรื่องราวของคนดีส่งไปให้พ่อรับรู้สิ มันก็แค่นั้น
แล้วจะได้ผลเหรอ นั่นแน่ ความกังวลมาแล้ว ของอย่างนี้ไม่ลองไม่รู้หรอกครับ จะบอกให้
#10
โพสต์เมื่อ 27 November 2008 - 11:39 AM
...เมื่อเจอคุณพ่อ หรือมีโอกาสพูดคุยกับท่าน แม้ทางโทรศัพท์ก็ดี .....บอกท่านว่า...ลูกรักพ่อ...บอกให้ทุกครั้ง จากส่วนกลางที่สุดของใจค่ะ...
...SMILE.... SMILE.... SMILE...
...ยิ้ม... ใส... ปิ๊ง...
#11
โพสต์เมื่อ 27 November 2008 - 11:55 AM
พ่อแม่ ยังไงๆก็รักลูก พยายามเข้าถึงใจท่านให้ได้ก่อน ( รู้ว่ายาก ) แล้วอย่างอื่นค่อยๆตามมาเองค่ะ
เอาใจช่วยค่ะ
#12
โพสต์เมื่อ 27 November 2008 - 11:58 AM
#13
โพสต์เมื่อ 28 November 2008 - 08:38 PM
เราพรางคนอื่นได้ แต่เราพรางตนเองไม่ได้