ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

สงสัย(จิปาถะ)ค่ะ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 22 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ดอกบัวสวรรค์

ดอกบัวสวรรค์
  • Members
  • 60 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 April 2010 - 07:23 PM

เหมือนเดิมค่ะ "สงสัยไปเรื่อยๆ ตราบกระทั่งเข้าถึงที่สุดแห่งะรรม".........This is my logo
1.การคุมกำเนิดในวิธีต่างๆนั้น เป็นบาปไหม เข้าข่ายการขัดขวางไม่ให้มีมนุษย์เกิดขึ้นหรือไม่ ทั้งๆที่การเกิดขึ้นของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นได้ยาก
2.ความเข้าใจที่ว่า "1 รอบอสงไขยปี เท่ากับ 1 อันดรกัป
64 อันดรกัป เท่ากับ 1 อสงไขยกัป
4 อสงไขยกัป เท่ากับ 1กัป"
ถูกต้องหรือไม่
3.ในกัปหนึ่งๆ อาจมีพระพุทธเจ้า หรือปัจเจกพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ แต่หากไม่มีพระพุทธเจ้า หรือปัจเจกพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นก็จะเกิดพระเจ้าจักรพรรดิเกิดขึ้นมาเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ แบบนี้เข้าใจถูกไหม
4.อะไรที่เป็นปัจจัยทำให้โลกเกิดภัยพิบัติพร้อมกัน ปี2012เพื่อนๆพี่ๆคิดว่าจะเกิดเหมือนในภาพยนต์ไหม
5.ข้อความที่ว่า "การดูว่าขณะนี้เป็นเวลาวันพระหรือไม่ในจักรวาลนั้น ดูจากการโคจรของโลกมนุษย์ และดวงจันทร์ ในจักรวาลนั้น" ถูกต้องหรือไม่ ช่นการจะดูว่าในสวรรค์ชั้น ยามา ตอนนี้เป็นเวลาวันพระหรือไม่ ก็ดูจากโลกมนุษย์ว่าเวลานั้นโลก และดวงจันทร์ โคจรมาในมุมที่ขึ้น/แรม อย่างไร แบบนี้ถูกไหม
6.การจีบแฟนคนอื่นเข้าข่าย ศีลข้อ3กามเม ไหม
7.การถวายสิ่งของเครื่องใช้กับวัดเช่น เห็นสมัยนี้เวลาจะเข้าพรรษา คนจะนิยมถวายหลอดไฟ แต่วัดก็ยังไม่ได้ใช้ แบบนี้ผลแห่งทานจะเกิดในขณะที่ถวายนั้ยทันที หรือต้องรอให้ได้ใช้หลอดไฟนั้นก่อน
8.นับตั้งแต่ปฐมชาติตราบจนปัจจุบัน มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาแล้วกี่พระองค์ เคยได้ยินมาว่า 3 ล้านกว่าๆ จริงไหม
9.ป่าหินมพานห์ มีจริงไหม อยู่ที่ไหน
10.มักคลีผล มีจริงไหม อยู่ที่ไหน
11.เหตุใดมนุษย์จึงจำอดีตชาติไม่ได้
12.หากพระพุทธศาสนาอยู่ถึง 5000ปี แล้วพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปคือพระศรีอาริยเมตไตยใช่ไหม จะมาบังเกิดในประมาณปี พ.ศ.ใด
13.หากอธิษฐานตามติด ติดตามครูไม่ใหญ่ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมแล้ว ได้ไปบังเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิต แต่จู่ๆเปลี่ยนใจอยากตามพระโพสัตว์พระองค์อื่น แบบนี้จะได้ไหม
14.ที่คุณครูไม่ใหญ่บอกว่าท่านปล่อยปลา 500ตังบ้าง 700ตัวบ้างนั้นท่านปล่อยปลาอะไรเป็นประจำอยู่มั้ย ปล่อยที่ไหน จะได้ปล่อยตาม 555+
15.ทำไมพระที่บวชที่ประเทศไทยต้องโกนคิ้ว พระที่บวชต่างประเทศไม่เห็นโกนคิ้วเลย
16.การดูหนังโป๊ เป็นบาปไหม ผิดศีลไหม
17.ในหมู่คณะเรา ทราบไหมว่านอกจากครูไม่ใหญ่แล้วพระอาจารย์รูปไหนสามารถ "ฝันในฝัน" ได้อีกบ้าง
18.คนฆ่ากับคนใช้ให้ฆ่า คนไหนบาปกว่ากัน
19.การเก็บเงินที่ตกอยู่ โดยไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ แบบนี้บาปไหม ผิดศีลไหม
20.การกราบพระแบบเบจจางคประดิษฐ์ เวลากราบต้องเอามือไหนลงก่อน หรือลงพร้อกัน


ขอขอบคุณค่ะ

#2 ดินสอแห่งธรรม

ดินสอแห่งธรรม

    สร้างบารมีเป็นหมู่คณะ = ฝึกตนให้เป็นผู้ใจกว้าง

  • Members
  • 1478 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ดุสิตบุรี
  • Interests:สร้างบารมีแบบเต็มกำลัง

โพสต์เมื่อ 29 April 2010 - 07:50 PM

...โอ้วว แม่เจ้า อิอิ...เพียบเลย ขอตอบแค่ข้อ 15.

การโกนคิ้ว แบบเถราวาส หรือโกนผม เพราะยึดหลักคำสอนอย่างเคร่งครัดเพื่อขจัดกามรมณ์ทั้งปวง คือ ไม่สนใจในความหล่อ ทั้งผม คิ้ว หนวด เครา อันเป็นฆ่าศึกต่อพรหมจรรย์ และเป็นข้าศึกต่อการปฏิบัติธรรม เพราะไม่ต้องห่วงไม่ต้องตัด ต้องแต่งใดๆ คิ้วนั้น แม้นจะโกนผมก็ยังคงความหล่อของดวงตา ย่อมเป็นที่เผลอ อาจทำให้ใจของสตรีหวั่นไหว และคิ้วยังอาจนำมาซึ่งความวุ่นวายอื่นๆนั่นเอง

...สรุป เอาออกหมด เท่ากับปลดกังวลทุกสิ่ง หากนิกายใดเหลือไว้ ก็เท่ากับว่า ยังลังเลในการปลดกังวลต่อทุกสิ่ง
..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....

#3 Lonely_Wolf

Lonely_Wolf
  • Members
  • 68 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 April 2010 - 08:36 PM

ตอบข้อ 3 ให้ละกัน
ไม่เป็นอย่างนั้น กัปมี 2 แบบ คือ สุญญกัป และ อสุญญกัป
ถ้าเป็นสุญญกัป ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้า และไม่มีพระเจ้าจักรพรรดิ์ บังเกิดขึ้นเลย

เดียวดายใต้เงาจันทร์

#4 peter10

peter10
  • Members
  • 331 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 April 2010 - 09:16 PM

ถามกลับคำเดียว เคยนั่งสมาธิ เข้าถึงธรรม นิ่งๆ แน่นๆ มั้ยคับ
ถ้าไม่ ไปลองทำ รับรองได้ ที่ถามมานี่แทบไม่อยากถาม

เลือกเอา บัวมีสี่เหล่า
เลือกเอา ใจใสๆ

#5 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 29 April 2010 - 10:51 PM

1. หากรู้จักคุมกำเนิดอย่างถูกวิธีนั้น ไม่บาปครับ คุมกำเนิดอย่างถูกวิธี คือ สำรวมในกาม หรือ คุมกำหนัด ไม่เสพกามสำส่อนครับ อย่างนี้ถูกต้อง ไม่บาป แต่ถ้าคุมกำเนิดแบบเสพกามสำส่อนไม่เลือก อย่างนี้อาจบาปในแง่ผิดศีลข้อสาม คือ ไม่สำรวมในกามครับ แต่ไม่ผิดศีลข้อ 1 ในเรื่องฆ่าคนตาย เพราะไม่ได้ไปฆ่าเด็กทารกครับ เนื่องจากเขายังไม่เข้ามาเกิดในท้องครับ
2. คำว่า 1 อันตรกัป หรือ 1 รอบอสงไขยปี มีรายละเอียดคือ เริ่มต้นจากมนุษย์อายุยืนถึง 1 อสงไขยปี พอเวลาผ่านไป มนุษย์มีกิเลสกล้ามากอายุจะลดลงเรื่อยๆ ทุกๆ 100 ปี ลดลง 1 ปี จนเหลืออายุ 10 ปี แล้วมนุษย์จะเริ่มกลับมารักษาศีล ทุกๆ ร้อยปีอายุจะเพิ่ม 1 ปี จนเป็น 1 อสงไขยปี ระยะเวลาเช่นนี้จึงเรืยกว่า 1 อันตรกัป หรือ 1 รอบอสงไขยปีครับ
และอายุของโลกนั้นจะแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ
สังวัฏฏะอสงไขยกัป ระยะเวลาที่โลกเริ่มต้นสร้างขึ้นมาใหม่ กินเวลา 64 อันตรกัป
สังวัฏฏะถายีอสงไขยกัป ระยะเวลาที่โลกเจริญเรียบร้อยแล้ว กินเวลา 64 อันตรกัป
วิวัฏฏะอสงไขยกัป ระยะเวลาที่โลกเริ่มถูกทำลาย กินเวลา 64 อันตรกัป
วิวัฏฏะถายีอสงไขยกัป ระยะเวลาที่โลกถูกทำลายเรียบร้อยแล้ว กินเวลา 64 อันตรกัป
ดังนั้น 4 อสงไขยกัป(ระยะ 4 ส่วน) จึงเท่ากับ 1 มหากัป คือ อายุของโลกครับ
3. บางกัปก็ไม่มีทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเจ้าจักรพรรดิ ครับ
4. ทำกรรมร่วมกันมา หรือ บางทีก็ต่างกรรมต่างวาระ แต่กรรมมาส่งผลพร้อมๆ กัน
5. ดูจากพระจันทร์เต็มดวงครับ
6. เข้าข่ายครับ
7. เกิดทันทีครับ แต่จะได้บุญน้อยกว่าแบบที่พระท่านได้ใช้เลย แบบนั้นจะเรียกว่า กาลทาน (ทำทานถูกกาล)
8. ไม่จริงครับ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมามากกว่า เม็ดทรายในมหาสมุทรทั้งโลกอีกครับ
9. ป่าหิมพานต์มีจริงครับ อยู่เชิงเขาสิเนรุครับ ยอดเขาสิเนรุคือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่พระอินทร์อยู่ไงล่ะครับ
10. มักลีผล อยู่ในป่าหิมพานต์ครับ
11. เพราะมีกรรมบางอย่างขัดขวางดวงปัญญาของมนุษย์เอาไว้
12. เมื่อสิ้นพระพุทธศาสนาปัจจุบันไปแล้ว อายุมนุษย์จะสั้นลงเรื่อยๆ จนถึง 10 ปี แล้วจะเพิ่มขึ้นมาใหม่จนเป็น 1 อสงไขยปี แล้วจะลดลงมาจนเหลือ 8 หมื่นปี ตอนนั้น พระศรีอารียเมตไตร จะลงมาเกิดครับ
13. จะไปไม่ถึงไหนครับ เพราะใจโลเลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
14. ไม่ทราบ ให้ท่านอื่นตอบแทนครับ
15. รายละเอียดชัดๆ ก็ไม่ทราบครับ เพราะได้ข่าวว่า พระพม่าก็ไม่ต้องโกนคิ้ว
16. การดูหนังโป๊ จะทำให้ใจเข้าสู่ปากทางแห่งความเสื่อม พร้อมที่จะเสื่อมได้ทุกเมื่อครับ
17. เรื่องนี้ไม่อาจเปิดเผยในที่สาธารณะ เพราะเป็นดาบสองคมน่ะครับ
18. ผิดศีลทั้งคู่ แต่ใครจะบาปมากกว่า ขึ้นกับใครใจตรงอยู่ในอำนาจบาปมากกว่าน่ะครับ
19. ถ้าเงินนั้นมีมูลค่าน้อย เช่น 1 สลึง เจ้าของย่อมไม่หวงแหน อย่างนี้ไม่ผิดศีลครับ แต่ถ้าเงินนั้นมีค่ามาก เจ้าของย่อมหวงแหน อย่างนี้ผิดศีลครับ
20. ลงพร้อมกันครับ


ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#6 ธาตุล้วนธรรมล้วน

ธาตุล้วนธรรมล้วน
  • Members
  • 255 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 April 2010 - 11:12 PM

ดีครับ เสวนาธรรม

ข้อ 12. ในอนาคต ศาสนาสิ้นไป เป็นไปตามธรรมดา ต่อไปนี้เสริมๆนะครับ

มีเพื่อนกัลยาณมิตร ให้การเสวนาไว้ว่า..........................

ไม่ควรตีความว่า 5000 ปี ตามที่เรานับๆกัน อันตรายมากนะครับ ทุกท่านอยากให้ศาสนาเราเหลืออยู่แค่ 5000 ปีนี้หรือ ในขณะที่ชาวศาสนาอื่นๆพยายามให้ศาสนาเขายั่งยืนยงจนถึงที่สุด

ตามพระพุทธพจน์ ผมเข้าใจว่า ศัพท์นี้เป็นสำนวนสังขยา ที่หมายเอาความว่า มากๆ เสมือนเวลาภาษาบาลีบอกว่า พระ 500 โจร 500 เทวดา 5000 เป็นต้น หมายเอาว่ามากครับ ไม่ได้นับตามนั้นเป๊ะๆ

ที่พระพุทธองค์ตรัส ความหมายคือ พันแรก ปริยัติหายไป พันที่สอง ปฏิบัติ หายไป สมณะที่หนึ่ง สอง สาม หายไป เท่านั้นเองครับ หมายเอาเป็นยุคๆ เป็นช่วงๆ ไปครับ

เพราะมีพระพุทธพจน์ว่า หากปฏิบัติตามไตรสิกขาแล้ว โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์

ซึ่งก็รวมถึง โลกนี้ และเทวโลกด้วยนะครับ

ว่างๆจะแตกประเด็นกระทู้ประเด็นนี้ใหม่นะครับ
.......................

ข้อ 15. อีกข้อมูลคือ สมัยก่อน มีสงคราม พวกพม่าเข้ามาปลอมบวชเป็นพระเพื่อสอดแนมเป็นไส้สึก พระเรารู้เข้าก้เลยประชุมสงฆ์ ให้โกนคิ้ว เป็นอันรู้กันว่าเป็นพวกเรา ก็เลยมีการโกนๆติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ได้ยกเลิก


ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ

ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ

เราตถาคต คือธรรมกาย

#7 ดุสิตาเทวบุตร

ดุสิตาเทวบุตร
  • Members
  • 213 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 April 2010 - 11:16 PM

ผมไม่ค่อยกล้าตอบน่ะ ไม่ชัว ขอนั่งนิ่งๆฟังดูดีกว่า
ตอบแทนคุณ ดอกบัวสวรรค์ น่ะครับ ถึงคุณ peter10
ผมก็นั่งธรรมะทุกวันน่ะ จนเห็นดวงแก้วใสๆชัดเจนแล้ว แต่ก็ตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้น่ะ
อีกอย่างต้องขอขอบคุณ คุณดอกบัวสวรรค์ ด้วยน่ะครับที่มีคำถามดีๆมา เราจะได้ทราบเวลามีสมาชิกใหม่ถาม นี่แหละว่าทำไมพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ต้องแสดงธรรมโดยพิศดาร มีถึง 84000 เพื่อความยั่งยืนของพระพุทธศาสนาไงครับ ในอนาคตหากเจอคำถามเหล่านี้จะได้ตอบได้ทันที
ไงก็ขอขอบคุณ พี่หัดฝันก็แล้วกันน่ะครับที่ช่วยไขความกระจ่าง

"ขออ่านไปเรื่อยๆ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม"......This is my logo

#8 มองอย่างแมว

มองอย่างแมว
  • Members
  • 722 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:NYC

โพสต์เมื่อ 29 April 2010 - 11:46 PM

เสริมข้อ 9 ครับ
ป่าหิมพานต์เป็นส่วนหนึ่่งของสวรรค์ชั้นจาตุมฯ (ชั้นแรก) อยู่เชิงสิเนรุเขาดังที่พี่หัดฝันว่าไว้
เป็นที่อยู่ของพวกคนธรรพ์ วิทยาธร และสัตว์ป่าหิมพานต์ต่างๆ

ผู้นับถือศาสนาอื่นๆที่ไม่ได้สร้างกรรมชั่วไว้ แต่เน้นทำความดีแบบโลกๆตามที่ศาสนานั้นสอน
จะได้มาเกิดในที่นี้ครับ (ดังเคส ผู้อาวุโสที่จากไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนนี้ยังเฝ้ารอท่านผู้นำอยู่ที่ป่าหิมพานต์)

ถึงแม้จะสะดวกสบายและสวยงาม (เพราะเป็นสวรรค์) แต่ถ้าเทียบแล้วก็เหมือนชาวป่าในโลกมนุษย์
คือยังถือว่าเป็นที่ห่างไกลความเจริญ สำหรับผู้ที่กำลังบุญยังอ่อนอยู่ครับ
"ฉุดมันเอาไว้ หยุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันรวนเร ต้องหยุดนิ่งสุดใจ หยุดมันเอาไว้ ฉุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันซวนเซ ต้องฉุดให้ใจหยุด"
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)

#9 usr34404

usr34404
  • Members
  • 16 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 April 2010 - 02:47 AM

ตอบข้อ 1 นะครับ

คำว่า "กรรม" ความหมายคือ "อะไรก็ตามที่คุณทำให้ผู้อื่นมีประสบการณ์ถึง วันนึงคุณจะได้รับประสบการณ์นั้น" แล้วกรณีนี้คุณได้ไปทำใครให้มีประสบการณ์อย่างไรหรือไม่

จากกรณีศึกษาทางตะวันตก การสะกดจิตระลึกชาติ เผยให้รู้ว่า หลายๆครั้งพบว่า วิญญาณของเด็กที่จะมาเกิดในครรภ์ของมารดา หลายครั้งยังวนเวียนติดตามดูแลมารดาของตนอยู่แม้ขณะที่มารดาตั้งครรภ์แล้วหลายเดือน ยังไม่อาจหาข้อสรุปได้ว่า กระบวนการชีวิตที่มีจิตวิญญาณเข้าสู่ร่างแล้วนั้น เริ่มต้นเมื่อไหร่แน่ กี่เดือน?

และส่วนมาก แม้จะเกิดการแท้ง แม้จะธรรมชาติหรือด้วยความตั้งใจของมารดา พบว่าครั้งต่อไปที่ตั้งครรภ์ก็ยังจะคงเป็นดวงวิญญาณดวงเดิมที่จะมาเกิด เหมือนว่ามันเป็นวาระทางจิตวิญญาณของเขาที่จะมาเกืดเป็นลุกผู้นั้น


มารดาหลายคนที่เสียลุกไปจากการแท้งมักจะโศกเศร้า จนหลายครั้งไม่อาจทำใจที่จะตั้งครรภ์อีก หรือกลัวที่จะมีลูกอีก การค้นพบความจริงเหล่านี้อาจช่วยให้คนเราเอาชนะความกลัวในการใช้ชีวิตได้มากขึ้น





#10 usr34404

usr34404
  • Members
  • 16 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 April 2010 - 03:10 AM

ตอบข้อ 6 นะครับ(ผมก้อปมาจากที่เคยไปตอบไว้ที่อื่นนะครับ)

หากคุณมั่นใจว่าคุณจริงใจ หากแน่ใจว่ารักจริง ไม่ได้คิดจะจีบเล่นๆ หรือรักๆเลิกๆ ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเสียหาย เพราะคุณอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับเธอก้ได้ (ดีกว่าแฟนคนปัจจุบันของเธอ) ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นครับ ถ้าจะรักก็อย่ากลัวเลย

อะไรในทางลบที่อาจเกิดขึ้น นั่นมันจะเกิดก็ต่อเมื่อ คุณเป็นคนรักที่ไม่ดี ไม่ได้เรื่อง

แต่ถ้าคุณป็นแฟนที่ดีคบกะเธอแล้วทำให้เธอมีความสุขมากขึ้น ชีวิตเธอดีขึ้น ชีวิตคุณองก็ดีขึ้น แล้วมันจะเป็นบาปเป็นกรรมไปได้อย่างไร

ความรู้สึกของผู้ชายอีกคนนั้นเป็นเรื่องของการตอบสนองทางความรู้สึกของตัวเขาเองต่อค
วามจริงที่ว่าเขานั้นยังไม่ใช่ทางเลือกที่ดีพอ(หรือดีเท่ากะคุณ)

ตัวผู้หญิงคนนั้นมีสิทธิ์ที่จะเลือกสิ่งที่ดีกว่าสำหรับชีวิตเธอครับ (แต่แน่นอนในกรณีนี้คุณจะต้องจีบเธอ โดยการนำเสนอแต่เฉพาะสิ่งที่ดีของคุณแล้วให้เธอเลือกเอา ไม่ใช่ไปจีบโดยพาดพิงแฟนของเธอไปปลุกปั่นให้เธอมีความรู้สึกไม่ดีต่อคนๆนั้น)

ทำตามความปรารถนาเถอะครับ แต่ให้วางคาดหวังไว้ข้างหลัง แล้วคุณจะไม่เสียใจ

นรกที่แท้จริง ไม่ใช่การลงโทษหรือสาปแช่งใดๆ นรกที่แท้จริงคือการที่ได้รู้ว่า โอกาสที่เราจะได้สร้างสรรสิ่งใดๆจากความรัก จากทุกๆโอกาสในชีวิตได้ผ่านพ้นไปแล้ว ได้รู้ว่าเราไม่อาจกลับไปแก้ไขอะไรใดๆได้อีกแล้ว ความเศร้า ความสำนึกผิด ในความผิดพลาดเหล่านั้น ละแทนที่เราจะได้รับความท้าทายใหม่ๆในครั้งต่อไป กลับกลายมาเป็นเราต้องเฝ้าวนเวียนแก้ไขความผิดพลาดเก่าๆ

เคยได้ยินไหมว่า "ความรักไม่เคยทำร้ายใคร" นี่คือความจริงเสมอ

ความรักที่แท้จริงมีแต่ทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องนั้น ดีขึ้น พัฒนาขึ้น

แน่นอนเมื่อคุณเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแล้ว อนาคตย่อมอาจมีคนมาท้าทายตำแหน่งนี้ของคุณอีก

คเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น (เหมือนเมื่อมันเคยเกิดแล้วกะแฟนเก่าของสาวคนนั้น) คุณก็ต้องถามตัวเองด้วยคำถามนี้ว่า ถ้าคุณคือความรักคุณจะทำอย่างไร??

ความรักจะตอบว่า ถ้าคุณรักเธออย่างแท้จริง คุณย่อมดีใจที่เห็นเธอมีความสุข แม้ความสุขของเธอคือการเลือกหนทางใหม่

แต่ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าหนทางใหม่ของเธอนั้น จะดีจริงหรือไม่ สิ่งเดียวที่ความรักจะทำก็คือ..... การทำให้คนที่คุณรักแน่ใจว่าตัวคุณเองคือสิ่งที่ดีที่สุด

นั่นแปลว่า ความรัก จะทำให้คุณพยายามมากขึ้น เพื่อเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม พยายามพัฒนาตัวเองเพื่อให้เป็นทางเลือกที่วิเศษที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็ดีกว่าเดิมที่คุณเป็นอยู่ เพื่อให้เธอมีความสุขมากขึ้นและไม่จากคุณไป

คนที่มาจีบเองก็เช่นกัน หากเขาเข้าใจว่าความรักที่แท้คิดเช่นไร เขาก็จะปฏิบัติตัวในวิถีทางนี้เช่นเดียวกัน คือ พยายามเป็นคนที่ดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของผู้อื่นเสมอ

นี้เองคือผลลัพธ์ของผู้ที่เลือกหนทางของความรักที่แท้จริง ผลลัพธ์ที่ได้มีแค่อย่างเดียว คือ "การเป็นสิ่งที่ดีขึ้น" ไม่ว่าคุณจะสมหวังหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดคุณก้ได้ถีบตัวเองขึ้นไปอีกขั้น พัฒนาขีดความสามารถความเป็นคนขึ้นมาอีก พัฒนาความสามารถที่จะรักผู้อื่น และให้ความสุขแก่ผู้อื่นให้มากขึ้นไปอีก

เช่นนี้แล้วจึงขอพูดได้เต็มปากว่า "ความรักไม่ทำร้ายใคร"

และตรงกันข้าม จึงต้องบอกว่า "ความรักมีแต่ให้จริงๆ"


#11 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 30 April 2010 - 11:52 AM

ต้องขออภัยเจ้าของกระทู้ด้วยครับ สำหรับข้อ 6 ที่ผมตีความคำว่า แฟน ในยุคปัจจุบันว่า หมายถึงเขาได้เป็นสามีภรรยากันเรียบร้อยแล้ว เลยบอกว่า การไปจีบสามีภรรยาผู้อื่น เข้าข่ายผิดศีลกาเมฯ ครับ

แต่ถ้าฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง อยู่ในแค่เป็นเพื่อนๆ สนิทกัน และกำลังอยู่ในระหว่างการเลือกว่า จะเลือกใช้ชีวิตกับใคร ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตอบตามคุณ usr34404 คือ ยังอยู่ในระหว่างแข่งขัน ก็ไม่ผิดกติกาน่ะครับ ไม่ได้ไปแย่งมาหลังจากแข่งขันจบแล้ว อย่างนั้นผิดกติกา

ส่วนที่คุณ usr34404 ตอบไว้ในความเห็นที่ 9 ผมอ่านแล้วก็งงๆ เหมือนกันครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#12 PTDL

PTDL
  • Members
  • 175 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Chicago, USA

โพสต์เมื่อ 30 April 2010 - 11:54 AM

dry.gif

#13 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 30 April 2010 - 08:13 PM

อนุโมทนา การสนทนาธรรม จากคำถามที่น่าสนใจและคำตอบจากเพื่อนกัลยาณมิตร ด้วยครับ

เพิ่มข้อมูลให้เจ้าของกระทู้ศึกษา ในบางคำถาม นะครับ

QUOTE
11.เหตุใดมนุษย์จึงจำอดีตชาติไม่ได้


ทำไมจำชาติที่เพิ่งผ่านมาไม่ได้
http://dmc.tv/forum/...showtopic=18540
ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#14 ดินสอแห่งธรรม

ดินสอแห่งธรรม

    สร้างบารมีเป็นหมู่คณะ = ฝึกตนให้เป็นผู้ใจกว้าง

  • Members
  • 1478 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ดุสิตบุรี
  • Interests:สร้างบารมีแบบเต็มกำลัง

โพสต์เมื่อ 30 April 2010 - 08:34 PM

...ข้อ 14... ถ้าปล่อยวันอาทิตย์ต้นเดือน หรือเสาร์ก่อนอาทิตย์ต้นเดีอนจะเป็นของหอฉันท์ ไปปล่อยที่วัดที่ จ. ปทุมธานี บางแผนกก็จัดปล่อยที่วัดที่ จ. ปทุมธานีเช่นกัน แต่เป็นเฉพาะแผนก แต่เคยได้ยินแว่วๆว่า บางส่วน อาจไม่ทั้งหมดของหลวงพ่อ มีปล่อยที่วัดในบ่อ ก็ไม่ทราบว่าแบ่งไปให้หอฉันท์ปล่อยด้วยหรือเปล่าน่ะครับ

..ปลาที่นิยม เห็นเป็นปลาดุก กับปลาช่อนจ้า เพราะมันอึด เหอๆ นอนรอคนมาปล่อยได้นาน
..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....

#15 usr23182

usr23182
  • Members
  • 114 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 May 2010 - 12:45 AM

ขอร่วมแจมกับ คุณ 34404 ค่ะ
อ่านแล้ว ได้ข้อคิดดี ๆ เหมือนกันน่ะ ไม่เคยได้รู้มาก่อน อืมม

หากคุณ คิดที่จะแข่ง เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวของคนที่คุณรัก ก่อนจะแข่งถามตนเองก่อนน่ะค่ะว่า แข่งแล้วได้อะไร ได้มาแล้วสุขหรือทุกข์

ขอยืมคำคมจาก บทความ ขอคำแนะนำค่ะ จากคุณ 34161 ความรักไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยการแต่งงาน ถ้าคุณรักเป็น รู้จักระวังเป็น
ใจคุณไม่ลืมศูนย์กลางกาย ความรัก คือ การให้ ก่อนที่คุณจะให้ใคร คุณควรให้ความรักกับตัวของคุณก่อน รักตัวคุณให้เป็นก่อน
รู้จักระวังใจคุณที่ศูนย์กลางกายของคุณก่อน แล้วคุณจะรักใคร คุณก็จะได้รับความรักตอบ

แต่ถ้าคุณยังยืนยันกับตัวคุณเองว่าขาดเขาไม่ได้ ต้องได้เขามาจริง ๆ ล่ะก้อ และ คุณพร้อมจะลงสนามแข่งประลองฝีมือ เพื่อให้ได้เขามา
ก่อนลงแข่ง คุณควรถามตัวเองก่อนว่า รางวัลที่ได้คือ เขาที่คุณรัก เขามีความดีอะไรที่มากพอกับการรักษาไว้ไหม ถ้าเขามีดีอยู่มาก
ลงแข่งได้ค่ะ แต่ถ้าเขาไม่มีดีเลย คุณได้เขามาก็มีแต่เสียใจ อย่าลงแข่งเลย

โดยส่วนตัวของเราแล้ว เราดูว่า ผู้ชาย เขาต้องการเราไหม ถ้าเขาไม่ต้องการเรา แล้วเราล่ะ ต้องการเขาไหม และถามตัวเองว่า เขามีดีอะไรที่ควรแก่การได้มาทนุถนอม รักและดูแลเขา แค่นี้ ถ้าเขาอยากไป ก็ ยกให้เลยค่ะ ไม่แย่งมาด้วย เพราะ ได้แต่ตัวมา หัวใจไม่ได้มา จะมีประโยชน์อะไรที่ได้มาแล้วก็เป็นทุกข์ ก็ดีน่ะไม่ต้องมานั่งดูแลใคร

ถ้าจะแข่งกับใคร ให้ใช้วิธีที่ดี ๆ ถนอมน้ำใจทุกคนไว้ อย่าใช้วิธีรุนแรงหรือสกปรกน่ะค่ะ




#16 Tree

Tree
  • Members
  • 2076 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 May 2010 - 05:53 AM

เข้ามาอ่านครับ
สาธุ ในธรรมทานกับเพื่อนสมาชิกด้วยนะครับ

#17 usr23182

usr23182
  • Members
  • 114 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 May 2010 - 09:48 AM

ขอเพิ่มเติมนิดนึงค่ะ
ก่อนที่คุณจะลงแข่ง คุณลองมองดูข้อเสียของคนที่คุณรัก แล้ว ถามตัวเองว่าฉันรับได้ไหม ฉันจะทนกับนิสัยแย่ ๆของเขาได้ไหม
เพราะคุณไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนนิสัยของเขาได้ คุณทำได้แค่ปรับตัวเข้าหากับเขาค่ะ
และ คุณควรมองไปที่บุคคลรอบข้างของเขาด้วยตั้งแต่ เพื่อน ญาติพี่น้อง ของเขา ว่า คุณเข้ากับพวกเขาได้ไหม
ก่อนตัดสินใจควรพิจารณาให้ดีก่อนว่า คุณลงแข่งแล้วคุ้มที่จะได้คนที่ดีกับคุณมาคู่ครอง

แต่ หาเพื่อนที่รู้ใจที่ศูนย์กลางกายดีกว่าค่ะ ไม่เคยทำให้คุณร้องไห้ ไม่เคยทอดทิ้งคุณ อยู่และ ตามคุณไปทุกที่ ไม่ว่าหลับตื่นหรือตาย

ขอให้โชคดีค่ะ

#18 usr34404

usr34404
  • Members
  • 16 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 May 2010 - 03:44 PM

กลับมาสนมนากันต่อครับ

เรื่องความรักนี่ลึกซึ้งมากครับ เป็นสัจจะยิ่งใหญ่ที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในหลายๆเรื่องควบคู่กันไปด้วย

เห็นด้วยกะท่าน usr23182 มากที่กล่าวว่า ก่อนที่จะรักคนอื่นได้ ควรรู้จักและรักตัวเองให้เป็นก่อน

เพราะรักย่อมนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเองออกมา ในกรณีที่คุณรักผู้อื่นอย่างแท้จริง คุณจะรู้สึกอยากนำเสนอสิ่งดีๆของคุณแก่คนผู้นั้น คุณจะอยากให้ อยากแบ่งปัน อยากแชร์ มากกว่าที่จะอยาก"ได้" ทำไมเมื่อรักอย่าแงแท้จริงแล้วจะต้องอยากให้ล่ะ ก้เพราะคุณจะรู้นะสิ ว่าถ้าคุณเป็นเธอคุณก็ย่อมอยากจะได้สิ่งดีๆเหล่านั้น

แต่บางครั้งคุณไม่รู้หรอก ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้อื่น คุณอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนอื่นเขาต้องการอะไร ทำไมล่ะ เพราะตัวคุณเองยังไม่รู้เลยนี่ว่าตัวเองต้องการอะไรมากที่สุดกันแน่ เพราะคุณยังรักตัวเองไม่เป็นเลย คุณยังไม่รู้จักสิ่งที่ดีที่สุดต่อตัวเองเลย แล้วคุณจะรู้จักสิ่งที่ดีที่สุดต่อผู้อื่นได้อย่างไร คุณจะให้ในสิ่งที่คุณไม่รู้จักได้อย่างไร

ยกตัวอย่างครับ 1 ในสิ่งที่มีค่ามากที่สุดของกระบวนการชีวิต คือ "อิสระภาพ" ชีวิตทุกๆชีวิตมีอิสระภาพ

คุณรู้สึกอย่างไร ชอบใจไหม เวลาที่คุณมีอิสระเสรี
แล้วคุณรู้สึกอย่างไร ชอบใจไหม เมื่อคุณถูกริดรอนสิทธิ์อันชอบธรรมนั้น ไม่ว่าจะด้วยการบังคับให้ยอมตามทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กระทำหรือไม่กระทำอะไรก็แล้วแต่ที่คุณไม่อยากทำ แม้แต่การให้คุณต้องเชื่อในสิ่งที่คุณไม่เห็นด้วย ต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากจะพูด ต้องอยู่ในที่ๆไม่อยากจะอยู่

เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่น่าจะเข้าใจได้โดยสัญชาติญาณว่า "อิสระภาพ" เป็นหนึ่งในสิ่งที่คนเราต้องการสูงสุด เป็น1ในสิ่งที่มีค่ามากสุด เมื่อเรารักตัวเองเป็น เราก็ย่อมรู้ว่า อิสระภาพ เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราอยากจะได้เสมอ เป็น1ในสิ่งที่มีค่าของชีวิตเราเสมอ

แต่หลายๆครั้งหลายหน เมื่อเรายังไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวเอง เราจึงไม่รู้ด้วยโดยปริยายว่าสิ่งนั้นดีสำหรับคนอื่น จึงเป็นเหตุให้หลายๆครั้ง เราแอบอ้างคำว่า "รัก" ริดรอน "อิสระภาพ" ของผู้อื่นอยู่เสมอ เราอ้างว่ารัก จึงบังคับให้คนที่เรารักต้องทำตามสิ่งที่เราต้องการ บังคับให้คนที่เราต้องอยู่ในที่ๆเราอยากให้อยู่ ต้องเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น

แต่ในความจริงเมื่อเราทำเช่นนั้น เราไม่ได้แค่รักคนๆนั้นไม่เป็น แต่เท่ากับประกาศว่าเรายังไม่เป็นแม้แต่การรักตัวเองด้วย

#19 usr34404

usr34404
  • Members
  • 16 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 May 2010 - 04:06 PM

แต่มีกรณีหนึ่งที่อยากนำเสนอครับ

มีผู้รู้หลายท่านกล่าวว่า ทำยังไงถึงจะรู้ว่าใครเป็นคนที่ใช่นะเหรอ คนที่ใช่น่ะ ก็คือคนที่คุณอยู่ด้วยในปัจจุบันนั้นแหละ

หมายความว่ายังไง มันหมายความว่า จะใช่หรือไม่ใช่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กะคนๆนนั้น มันขึ้นอยู่กะคุณต่างหาก มีคำกล่าวที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีกต่างหากว่า "สันติภาพของโลกแท้จริงมันเป็นเรื่องส่วนบุคคล"

เอาง่ายๆว่า ถ้าคุณเข้าถึงและเข้าใจและบรรลุธรรมหรือสัจจะบางข้อได้อย่างแท้จริง ต่อให้คนๆนั้นเลวทรามแค่ไหน คุณก้รักเขาได้ เขาก้เป็นคนที่ใช่สำหรับคุรได้

เพราะรักที่แท้ คือ สิ่งที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีความคาดหวังสิ่งใดตอบแทน เมื่อคุณเข้าถึงแก่นของรัก คุณก็บรรลุเรื่องการปล่อยวาง คุณจะสนใจไหมว่าเขาจะต้องรักคุณตอบ ในเมื่อคุณวางความคาดหวังเรื่องนั้นไปแล้ว เพราะคุณจะกล้าพูดว่าคุณรักผู้อื่นได้อย่างไร ถ้ายังมีเงื่อนไขวางอยู่ว่า ฉันจะรักเธอก็ต่อเมื่อเธอรักตอบเท่านั้นนะ ฉันจะรักเธอก็ต่อเมื่อเธออยู่ระดับเดียวกะฉันนะ ฉันจะรักเธอก็ต่อเมื่อเธอเป็นคนดีนะ ฉันจะรักเธอก็ต่อเมื่อ....บลา บลา บลา (มีเงื่อนไขมากมายที่คุณสามารถเติมลงไปได้เท่าที่คุณจะนึกออก)

เขาถึงบอกไง ว่ารักของแม่นั้น เป็นรักที่บริสุทธิ์ เพราะส่วนใหญ่มันจะปราศจากเงื่อนไข แม่สามารถรักลุกได้ แม้ว่าลูกจะไม่รักแม่ตอบ แม้ว่าลุกจะเลว แม้ว่าลุกจะไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย แม้ว่าชีวิตลูกจะตกต่ำและทำผิดพลาดมากแค่ไหน รักแบบนั่นแหละคือความรักที่แท้

เมื่อพูดถึงเรื่องรางวัลที่ได้แล้วก็เช่นกัน เราจะไม่ทำดีใช่ไหม ถ้ามันไม่มีรางวัลตอบแทน เราจะไม่ช่วยเลหือผู้อื่น จะไม่รักผู้อื่นใช่ไหม ถ้าไม่ได้รางวัลตอบแทนเช่นบุญกุศล แท้จริงแล้วความคิดเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะนั่นหมายความว่าเรายังไม่อาจละวางในเรื่องความคาดหวัง แม้มันอาจจะไม่เสียหายอะไรที่จะคาดหวัง แต่มันก็เครื่องแสดงที่ชัดเจนมากว่า เรายังไม่ได้เป็นสิ่งๆนั้น

มันมีสัจจะอยู่เรื่องนึง ชื่อ กฏแห่งความพยายามที่น้อยที่สุด มันบอกว่า เราทำสิ่งใดก้เพราะเราเป็นสิ่งนั้น ไม่ต้องใส่ความพยายาม เราแค่ทำมันไปตามธรรมชาติที่เราเป็นสิ่งนั้น เช่น ปลามันไม่ได้พยายามว่ายน้ำ มันก็แค่ว่ายน้ำไปตามธรรมชาติที่มันเป็นปลา

ผิดกับมนุษย์ที่จะว่ายน้ำ ก็เพราะอยากจะได้ความหรรษาจากการว่ายน้ำ บางคนอยากจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง บางคนอยากรักษาเรือนร่าง มนุษย์พยายามว่ายน้ำ เพราะมีความคาดหวังบางอย่างเป็นตัวผลักดัน

เช่นกันเมื่อเราทำดีเพราะคาดหวังรางวัลตอบแทน คาดหวังในบุญกุศล นั่นย่อมแสดงว่า เราทำดีแบบพยายามทำเพราะมีความคาดหวังเป็นแรงผลักดัน หาใช่ทำดีเพราะว่าตัวเราเองคือคุณงามความดี แต่เมื่อใดที่คุณทำดีเพราะมันไม่ทำไม่ได้ มันทำดีไปเองโดยไม่ต้องพยายามเลย ทำไปเพราะตัวเราคือความดีงาม ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน ไม่ได้หวังรางวัลอะไรหรอก เมื่อนั่นแหละที่คุณได้พัฒนาและยกระดับจิตวิญญาณของคุณอย่างแท้จริงแล้ว

#20 usr34404

usr34404
  • Members
  • 16 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 May 2010 - 04:38 PM

ตอบข้อ 11 นะครับ เหตุใดมนุษย์จึงจำอดีตชาติไม่ได้

กระบวนการชีวิตนั้นดำเนินไปอย่างมีวัตถุประสงค์(ในโลกนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญหรอก ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างมีระบบและมีเหตุมีผล ขึ้นอยู่กะว่าในขณะนั้นเรารู้เท่าทันระบบและเหตุผลเหล่านั้นหรือไม่)

คำตอบที่สั้นที่สุดคือ เราต้องจำอดีตไมได้ เพื่อให้กระบวนการนี้ สามารถดำเนินต่อไปได้ตามวัตถุประสงค์ของมัน

(จะอธิบายให้ง่ายที่สุดนะครับ) เราจากมาจากสิ่งสูงสุด และเป้าหมายคือกลับไปหาสิ่งสูงสุดนั้น และเราจะกลับไปได้ก้ต่อเมื่อเราเป็นสิ่งสูงสุดนั้นแล้ว เราจะเป็นสิ่งสูงสุดนั้นได้ ก็ต่อเมื่อเรามีคุณสมบัติทุกอย่างเฉกเช่นเดียวกะสิ่งสูงสุดนั้น(ซึ่งแท้จริงแล้วเราก็เป็นสิ่งสูงสุดนั้นเสมอและมีคุณสมบัตินั้นเสมอติดตัวนะแหละ แต่มันเป็นการเป็นและเป็นการมี โดยอัติโนมัติ เป็นไปเช่นนั้นเองโดยธรรมชาติ หาใช่เป็นไปด้วย "เจตจำนงอิสระ"

อีกเรื่องหนึ่งคือ เราในฐานะที่เป็นสิ่งสูงสุดเพราะมันเป็นไปเช่นนั้นในตอนแรก หาได้มีประสบการณ์แท้จริงเกี่ยวกะตนเอง มีแต่ความตื่นรู้ แต่ไร้ซึ่งประสบการณ์ และในโลกนั้นไม่สามารถตอบสนองเรื่องประสบการณ์ได้ (ชีวิตในรูปแบบกายเนื้อเท่านั้นที่สามารถตองสนองเรื่องประสบการณ์แก่เราได้ เราจึงต้องลงเกิดในรูปแบบนี้) เฉกเช่น เมื่อเรานั่งสมาธิวิปัสนา แล้วเกิดตื่นรู้เรื่องว่า การทำดีเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม นั่นคือการตื่นรู้ แต่จะมีประโยชน์อะไร ที่จะตื่นรู้อย่างเดียว แต่ไร้ประสบการณ์ถึงการทำดี เราจะรู้ได้อย่างไรว่าทำดีแล้วมันเป็นยังไง รู้สึกยังไง ตราบใดที่เรายังไม่ได้รับประสบการณ์จากการลงมือกระทำความดีด้วยตัวเอง กระบวนการชีวิตก้เพื่อการนี้ มาเพื่อรับประสบการณ์ถึงการที่เราเป็นสิ่งสูงสุด

แต่มันจะสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเราเติมเต็มกระบวนการทั้งหมดนี้ ด้วยเจตจำนงเสรีของเราเอง เราคิดเราทำและเราเป็นด้วยการเลือกอันศักดิ์สิทธิ์ของเราเอง หาใช่เพราะเรารู้กติกาล่วงหน้า หาใช่เพราะเราจำกติกาได้ หาใช่เพราะเรารู้ว่าต้องลงมาทำสิ่งนี้ (แม้ว่าหลายๆครั้ง เราจะเลือกด้วยตัวเองผิดเสมอ จึงมักจะมีตัวช่วยมาช่วยเราเสมอ และที่สุดแล้วแม้เราจะต้องใช้ตัวช่วยเหล่านั้นมันก็ไม่เสียหาย) ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องจำไม่ได้ เพราะการจำได้จะทำให้อะไรๆมันง่ายเกินไป เรามีจิตวิญญาณที่เป็นอมตะอยู่แล้ว ก็เท่ากะว่าเราลงมาเล่นเกมส์ที่เราไม่มีวันแพ้อยู่แล้ว ล้มเหลวก็เอาใหม่ได้เสมอ เพราะงั้นยากหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร



#21 usr34404

usr34404
  • Members
  • 16 โพสต์

โพสต์เมื่อ 01 May 2010 - 06:00 PM

ตอบข้อ 1 อีกทีครับ ; 1.การคุมกำเนิดในวิธีต่างๆนั้น เป็นบาปไหม เข้าข่ายการขัดขวางไม่ให้มีมนุษย์เกิดขึ้นหรือไม่ ทั้งๆที่การเกิดขึ้นของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นได้ยาก


ก็ต้องทำความเข้าใจว่า บาปคืออะไร

ทำลายชีวิต บาปไหม? บาป

เพราะอะไร? เพราะทุกๆชีวิตมีจุดมุ่งหมาย มีเป้าหมายในการลงมาเกิด มีวัตถุประสงค์ที่ต้องทำให้สำเร็จ เราจึงไม่ควรไปทำลายชีวิตนั้นๆ แม้แต่ชีวิตของเราเอง เพราะการมีอยู่และดำเนินไปของชีวิตคือโอกาสในการทำเป้าหมายให้บรรลุ เมื่อเราไปทำลายชีวิตนั้นเสีย จึงเท่ากะไปทำลายโอกาสนั้นเสีย เราไม่ได้ทำให้เค้าตาย เพราะจิตวิญญาณไม่อาจถูกทำลายได้ กายเนื้อเป็นเพียงเครื่องมือ เป็นเพียงพาหนะที่เรานั่ง จิตวิญญาณข้างในคือตัวตนที่แท้ของเรา เราทำลายกายเนื้อได้ ทำลายพาหนะของตัวเองและผู้อื่นได้ แต่ไม่อาจทำลายจิตวิญญาณอันเป็นอมตะได้ แต่ทั้งหมดที่เราทำคือเราไปทำลายโอกาสอันเป็นของเขา วาระอันเป็นของเขา ในการที่จะบรรลุเป้าหมายของตน นั่นจึงเป็นความหมายของคำว่าบาปในกรณีนี้

เพราะงั้นต้องถามต่อ แล้วสิ่งอย่าง ก้อนดิน หรือ ก้อนหิน เราทำลายแล้วบาปไหม? เดินเหยียบก้อนดินจนแหลกเป็นผุยผง บาปไหม?
ก็คงไม่บาป ทำไมล่ะ? ก็เพราะมันไม่มีชีวิต ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีวาระในทางจิตวิญญาณ ไม่มีวัตถุประสงค์ในการดำรงอยู่ทางวิญญาณ เราจึงไม่ได้ทำลายอะไร เราทำแค่ทำให้มันเปลี่ยนสภาพไปจากลักษณะที่เป็นก้อน เป็นลักษณะที่เป็นผุยผง

เมื่อจะตอบคำถามได้ ก็ต้องมาถกเถียงกันว่า การคุมกำเนิดนั้นนะ ได้เกิดมีชีวิต มีจิตวิญญาณสิงสถิตแล้วหรือยัง แล้วโดยปกติจิตวิญญาณจะลงมาสิงสถิตในร่างกายเมื่อไหร่ ตั้งแต่ปฏิสนธิหรือไม่ ถ้าไม่แล้วเมื่อไหร่

ในกรณีของการคุมกำเนิด ก็คือการทำลายโอกาสในการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว ถ้ากระบวนการชีวิตเริ่มต้นตั้งแต่การปฏิสนธิ(คือมีจิตวิญญาณ) ก็ต้องถือว่าบาป แต่ถ้าไม่ก็คงไม่บาป

แต่ในปัจจุบัน ยังไม่อาจหาข้อพิสูจน์ในเรื่องการเริ่มต้นของกระบวนการชีวิตได้ ว่าตกลงแล้วมันควรจะนับว่าเริ่มเมื่อไหร่ มันก้เลยบอกไม่ได้แน่ชัดว่ามันบาปไหม

#22 tong_tong_tong

tong_tong_tong
  • Members
  • 169 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 May 2010 - 10:01 PM

เรื่องระลึกชาติ ผมเจอมากับตัว 2 ท่าน เคยลงไปแล้ว board นี้
ลอง search ดูในboard นี้

ส่วนตัวบุคคลมีตัวตนและ มีท่านนึงอายุเพียง 25 ปี อยู่แถวๆ นครพนม
อีกท่านเป็นพระ น้าแท้ๆของผมเอง อยู่ราชบุรี วัดหนองรี

ทุกคนที่ระลึกชาติได้ เหมือนกันตรง ที่เพิ่งตาย แล้วเกิดทันที เหมือนกับที่ ดร เอียน ที่ศึกษาเรื่องนี้กว่า 20 ราย และ แผลตอนที่ตาย ก็มาปรากฏให้เห็นด้วย

ดังนั้นทำให้ผมสรุปว่า ถ้าตายเวลาไม่นาน แล้วเกิดใหม่เลย จะระลึกชาติได้
ผมละสงสารคุณ usr34404 จริงๆ เพราะความไม่รู้แท้ๆ ทำให้มีมิจฉาทิธิไป

ตัวผมอยู่ รร คริส มา 9 ปีเต็มครับ

ท่านอยากรู้จริงๆ ลองพิมพ์ ดร เอียน และคำว่า ระลึกชาติ ดู
หรือหากท่านต้องการที่อยู่ ของ คนที่ผมรู้จักและระลึกชาติได้ ได้เลยครับ



#23 tong_tong_tong

tong_tong_tong
  • Members
  • 169 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 May 2010 - 10:08 PM

ผมหาให้เลยละกันครับ
http://www.dmc.tv/fo...showtopic=21914