
โลกันต์
#1
โพสต์เมื่อ 29 January 2006 - 04:26 PM
#2
โพสต์เมื่อ 29 January 2006 - 05:38 PM
๑. เชื่อว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล
๒. เชื่อว่า การบูชาบุคคลที่ควรแก่การบูชา มีบิดามารดา อุปัชฌาย์อาจารย์ และอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย เป็นต้น ไม่มีผล
๓. เชื่อว่า การปฏิสันถารบุคคลผู้ควรแก่การต้อนรับเชื้อเชิญ (บัณฑิต) ไม่มีผล
๔. เชื่อว่า กฎแห่งกรรมไม่มีจริง
๕. เชื่อว่า โลกนี้ โลกหน้าไม่มี (เชื่อว่า "ตายแล้วสูญ" นั่นเอง)
๖. เชื่อว่า พระคุณของบิดามารดาไม่มี
๗. เชื่อว่า สัตว์โลกที่เกิดขึ้นแล้วโตทันที (โอปปาติกะ) อาทิ เทวดาและสัตว์นรก เป็นต้น ไม่มี
๘. เชื่อว่า สมณะผู้สามารถบำเพ็ญเพียรเพื่อเผาผลาญอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นได้ อาทิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันตสาวก ไม่มี
ไม่ใช่ครับ ยามใดที่สัตว์โลกันตร์ใกล้จะหมดวิบากผลที่ตนต้องชดใช้แล้ว ก็สามารถกลับมาสู่ภพสามนี้ได้อีก และสามารถเริ่มตั้งต้นสั่งสมความดี เพื่อมุ่งไปสู่ความวิมุตติหลุดพ้น คือ "นิพพาน" ได้ แต่ทั้งนี้ มิได้หมายความว่า ยามใดที่ยังเสวยวิบากผลอยู่ในโลกันตร์นั้น จะสามารถติดต่อกับภพ ๓ ด้วยอาการปกติธรรมดานั้น หามิได้ ซึ่งสัตว์โลกันตร์นั้น มีอายุขัยเฉลี่ยโดยประมาณ ๑ พุทธันดร (หมายถึง ช่วงระยะเวลานับตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งไปสู่อีกพระองค์หนึ่ง)
บรรณานุกรม
ฉลวย สมบัติสุข นวรัตน์ หิรัญรักษ์ และสมทรง สุดสาคร. ๒๔๙๒. คู่มือสมภาร.
#3
โพสต์เมื่อ 29 January 2006 - 06:01 PM
ผมได้ยินได้ฟังจาก DMC และจากหนังสือ ขอไปค้นก่อนครับจำไม่ได้ว่าจากเล่มไหน นรกขุมใหญ่มี 8 ขุม อเวจีขุม 8 ไม่รู้ว่าโลกันต์อยู่ตรงไหน อย่าหาว่าถามเรื่องที่ไม่ทำพ้นทุกข์เลยนะครับ ในหนังสือ DMC guide ก็พูดถึงนรกแค่ 8 ขุมและยังบอกว่า อเวจีมีอายุยืนยาวกว่าขุมอื่นๆ ไม่พูดถึงโลกันต์เลย ขอท่านผู้รู้ช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ ขอยืนยันว่าได้ยินมาว่าโลกันต์อยู่นอกภพ สามจริงๆ
ขอบคุณมากครับ เข้าใจแล้วครับ
#4
โพสต์เมื่อ 29 January 2006 - 07:05 PM
สาเหตุที่ต้องมาเกิดในโลกันต์มหานรกก็เพราะเป็นคนมีมิจฉาทิฐิอย่างแรง เที่ยงทำอกุศลกรรม ทำร้ายผู้ทรงศีลเป็นประจำ
รายละเอียดโดยย่อจาก จักรวาลวิทยา DOU ครับผม
#5
โพสต์เมื่อ 29 January 2006 - 07:29 PM
โลกันตริกนรก ที่ซึ่งไม่ใช่ที่เปิดเผย มีแต่ความมืดมิดซึ่งดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ มีอิทธานุภาพมากอย่างนี้ ส่องแสงไปไม่ถึง
ที่มา : เล่ม 14 พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๑๗๓๙] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกันตนรกมีแต่ความทุกข์ มืดคลุ้มมัวเป็นหมอกสัตว์ในโลกันตนรกนั้น ไม่ได้รับรัศมีพระจันทร์และพระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้.
ที่มา : เล่ม 19 พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๘๗๘] ในโลกันตนรกนั้นมืดที่สุด ไม่มีพระจันทร์และพระอาทิตย์ โลกันตนรกมืดตื้ออยู่ทุกเมื่อ น่ากลัว กลางคืนกลางวันไม่ ปรากฏ ผู้ต้องการทรัพย์คนไรเล่า จะพึงเที่ยวไปในสถานที่ เช่นนั้นได้ ฯ
[๘๗๙] ในโลกันตนรกนั้นมีสุนัข ๒ เหล่า คือ ด่างเหล่า ๑ ดำ เหล่า ๑ ล้วนมีร่างกายกำยำล่ำสันแข็งแรง ย่อมพากันมา กัดกินผู้ที่จุติจากมนุษยโลกนี้ ไปตกอยู่ในโลกันตนรก ด้วย เขี้ยวเหล็ก ใครเล่าจะไปทวงทรัพย์พันหนึ่ง ในปรโลก กะมหาบพิตรผู้ตกอยู่ในนรก ถูกสุนัขอันทารุณร้ายกาจ นำทุกข์มาให้ รุมกัดกินตัวขาดกระจัดกระจายเลือดไหลโทรมได้.
[๘๘๑] ในโลกันตนรกนั้น มีห่าฝนต่างๆ ชนิด คือ หอก ดาบ แหลม หลาว มีประกายวาวดังถ่านเพลิง ตกลงบนศีรษะ สายอัสนีศิลาอันแดงโชน ตกต้องสัตว์นรกผู้มีกรรมหยาบช้า และในนรกนั้นมีลมร้อนยากที่จะทน ได้ สัตว์ในนรกนั้น ย่อมไม่ได้รับความสุขแม้แต่น้อย ใครเล่าจะพึงไป ทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลก กะมหาบพิตรซึ่งทรงกระสับกระส่ายวิ่งไป มาหาที่ซ่อนเร้นมิได้.
ที่มา : เล่ม 28 พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกายชาดก ภาค 2
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ในรูปประจำตัวผมก็คือหลุมดำเช่นกันครับแต่เป็นหลุมดำที่กำลังกลืนกินดาวฤกษ์อยู่ ทำให้เกิดหางเป็นทางยาวครับ
ภายในหลุมดำจะไม่ปรากฎว่ามีแสงใดๆ เล็ดลอดออกมาได้ครับ แต่การที่เรามองเห็นหลุดดำได้นั้นเป็นเพราะแสงที่เกิดจากดาวฤกษ์ได้ถูกหลุมดำดูดกลืนแสงเข้าไปทำให้แสงเกิดการเดินทางบิดเบี้ยวหรือโค้งงอนั่นเอง
วิเคราะห์ในความคิดของผมคิดว่าโลกันต์นี้น่าจะมีส่วนที่คล้ายคลึงกับหลุดดำ(black hole)ในอวกาศมากครับ ส่วนที่ว่าหลุมดำจะมีภพซ้อนอยู่ภายในหรือไม่ถ้าจะให้แจ้งคงต้องไปดูให้เห็นกับตาด้วยตาทิพย์ของแต่ละท่านเองแล้วหละครับ
การที่คนโบราณบอกว่าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเพราะว่าระยะเวลาในโลกันต์ยาวนานมากๆ จนนับกันไม่ไหว และที่สำคัญถ้าใครลงไปแล้วอุปมาเหมือนโยนแท่งศิลาลงไปในบ่อที่ไม่มีก้นทีเดียว เป็นภพมืด ความมืดนี้จะบังคับใจของสัตว์ในโลกันต์ให้ทุกข์ร้อนมัวหมองตลอดเวลา โอกาสบุญจะส่งผลจึงแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ จนกว่าจะมีผู้ที่สามารถส่งแสงเข้าไปยังโลกันต์ได้ นั่นคือพระพุทธเจ้า สัตว์เหล่านี้ถึงจะมีโอกาสได้ได้ผุดออกมาจากโลกันต์มายังนรก 8 ขุมดังกล่าวได้ครับ มีคำกล่าวที่ว่า "นิพพานอยู่ส่วนบน ภพ 3 เป็นลำต้น โลกันต์เป็นรากแก้ว กายสัตว์โลกเป็นผู้อยู่อาศัย"
#6
โพสต์เมื่อ 29 January 2006 - 07:40 PM
#7
โพสต์เมื่อ 29 January 2006 - 08:13 PM
แต่ถ้าเป็น นิยตมิจฉาทิฏฐิ ก็คงอยู่ตลอดไป คงไม่เป็นมิจฉาทิฎฐิ เหมือนกับ นิยตโพธิสัตว์ยังไงก็ต้องตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน พวกนิยตมิจฉาทิฏฐิ คงหมดสิทธิไปนิพพาน
ผมเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันได้ไม่นาน มีอะสงสัยอีกหลายอย่าง คงได้รับวิทยาจากพวกท่านนะครับ
#8
โพสต์เมื่อ 29 January 2006 - 10:45 PM
#9
โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 12:08 AM
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#10
*ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 12:48 PM
โลกันต์ ไม่ได้อยู่ในภพ3
มีคำกล่าวว่า โลกันต์ คือใต้ฐานเทวทัต(อเวจีมหานรก)
ถ้าเล่าเป็นนิทาน เอาเป็นว่า หยินกับหยาง มีขาวมีดำ มีมืดมีสว่าง มีฝ่ายบุญมีฝ่ายบาป มีธรรมะมีอธรรม ซึ่งมีภพ3 เป็นสมรภูมิ
#11
โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 03:35 PM
เปรียบเหมือนช่องว่างในท่ามกลางของล้อเกวียน ๓ ล้อ หรือบาตร ๓ ใบ ซึ่งจรดกันและกันตั้งอยู่
โลกันตริกนรกนั้นมีปริมาณ ๘,๐๐๐ โยชน์
คำว่า ไม่ถูกคลุม หมายความว่า เปิดโล่งอยู่เป็นนิตย์
คำว่า ไม่ถูกปิด หมายความว่า แม้เบื้องล่างก็ไม่มีที่เหยียบยืน
คำว่า มืด คือเป็นที่มืด
คำว่า มืดสนิท หมายความว่า ประกอบด้วยความมืดอันทำให้ตาบอด โดยห้ามเสียซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่งจักษุวิญญาณ
(หมายความว่า ถึงจะมีนัยน์ตา แต่ก็มองไม่เห็นเพราะมืดมาก จักษุวิญญาณคือความรู้สึกว่ามองเห็นจึงไม่เกิด มีอาการดุจตาบอดนั่นเอง)
ได้ยินว่าจักษุวิญญาณไม่เกิดขึ้นได้ในโลกันตริกนรกนั้น
อัตตภาพของสัตว์นรกเหล่านั้น มีประมาณ ๓ คาวุต เป็นสัตว์มีเล็บยาวดุจค้างคาว
สัตว์นรกเหล่านั้นเอาเล็บเกี่ยวที่เชิงหรือขอบจักรวาลเหมือนค้างคาวเอาเล็บเกี่ยวที่ต้นไม้
ในเวลาที่เอามือควานไปถูกกันและกันเข้าก็จะคิดว่าได้อาหารแล้ว กระเถิบเข้าหา (เพื่อจะจับกิน)
หรือบางทีควานไปถูกอีกมือหนึ่งของตัวเองก็คิดว่าได้อาหาร ก็จะตะปบคว้า
ก็กลิ้งจะตกไปบนน้ำรองโลก เมื่อถูกลมกระทบก็แตกราวกะผลมะซางสุกตกไปในน้ำ
และพอตกลงไปก็ย่อยไปเหมือนก้อนแป้งในน้ำกรดอย่างแรง
สัตว์นรกในโลกันตนรกนี้เมื่อตกลงไปถูกน้ำกรดเย็นกัดกินละลาย เจ็บปวดแสบปวดร้อน เย็นยะเยือกถึงกระดูกจนเละไปแล้ว
ก็กลับเป็นขึ้นมาใหม่ ตะเกียกตะกายขึ้นไปเกาะตามขอบเขาจักรวาลนั้นอีก วนเวียนทุกข์ทรมานต่อๆ ไปอยู่อย่างนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด
คือไม่อาจจะนับเวลาที่จะสิ้นสุดเวรกรรมเช่นนี้เมื่อใด และเห็นว่าเวรกรรมที่หนักที่เขาได้ประกอบกรรมทำเข็ญมาแล้วนั้น
เป็นเพราะ มิจฉาทิฏฐิ เป็นเหตุเป็นปัจจัยหนุนนำให้ทำอกุศลกรรมต่างๆ
ด้ายเส้นเดียว .........ไม่เป็นผืนผ้า
อิฐก้อนเดียว .... ไม่เป็นบ้านเรือน
ทำบุญคนเดียว ...ไม่เป็นกัลยาณมิตร
#12
โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 05:27 PM
จากหนังสือ วิชามรรคผลพิสดาร ของพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
[attachmentid=1741][attachmentid=1742]
[attachmentid=1743][attachmentid=1744]
[attachmentid=1745][attachmentid=1746]
ไฟล์แนบ
#13
โพสต์เมื่อ 30 January 2006 - 07:59 PM
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#14
โพสต์เมื่อ 01 February 2006 - 05:45 PM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ

#15
โพสต์เมื่อ 23 February 2006 - 12:51 AM

#16
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 03:19 PM
#17
โพสต์เมื่อ 03 July 2006 - 04:55 PM
ให้เกิดความความเกรงกลัวต่อผลของบาป
หิริ โอตตัปปะ ควรมีกับทุกคน
#18
โพสต์เมื่อ 30 July 2007 - 05:12 PM
#19
โพสต์เมื่อ 22 January 2008 - 09:43 PM
ให้เกิดความความเกรงกลัวต่อผลของบาป
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#20
โพสต์เมื่อ 12 August 2008 - 07:46 PM
#21
โพสต์เมื่อ 09 November 2008 - 09:55 PM