นี่แหล๊ะเจ้าค่ะ...ข้อคิดดี ๆ ช่วงนี้อ่านสิ่งที่กัลยามิตรทุกท่านเข้ามาช่วยกันเขียนที่ค่อนข้างเป็นเสียงเดียวกัน.....เดี๋ยวทุกอย่างดีขึ้น แล้วหายไปจากใจเลยค่ะ...เข้มแข็งนะคะ "ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์"

ขอดึงข้อความที่ท่านอื่นให้ข้อคิดดี ๆ เขียนส่งมาให้อ่านนะคะ
....จากคุณพรชัย
ความรัก ความห่วงหาอาวรณ์ เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขจากความพอใจในสิ่งที่ตนรัก ในบุคคลที่เรารัก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รักเราแต่ขอให้เราได้รักเขาก็พอ ได้ดูแลเอาใจใส่เขาก็พอแล้ว มีความสุขแล้ว ถ้าจะว่านิยามแห่งความรัก ก็คงจะเป็นความรักคือการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน และให้อภัยทุกอย่างเมื่อเธอทำไม่ดีกับฉัน คนที่มีความรักเช่นนี้ เป็นคนที่น่ารักมากๆ ...แต่ก็น่าสงสารอย่างมากมิน้อยไปกว่ากัน จะว่าเป็นความคิดที่ไร้เดียงสาก็มิใช่ เพราะมีความรักที่แผงด้วยความจริงใจด้วยความมีเมตตาจิตมิตรภาพ มีความเอื้ออาทรและมีความเสียสละตลอดทั้งให้อภัย ถึงแม้ภายในจิตใจจะมีความสุขแต่มิวายที่จะมีความทุกข์เจือปนอยู่บ้าง สมดั่งพุทธพจณ์ที่ว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์
ทุกข์เพราะความอยากนั่นเอง เมื่อมีความอยากก็มีความยึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งนั้นเป็นของเราๆอยากได้สิ่งนั้นมาครอบครอง เมื่อไม่ได้สมปราถนาก็เป็นทุกข์ เมื่อไม่สมหวังดั่งที่คิด ก็ทำจิตปล่อยวางก็พอทุเลาเบาทุกข์ลงไปได้บ้าง แต่ก็ยังไม่ ส่างไม่หายไม่วายที่จะต้องเป็นทุกข์ เพราะยังมีความรักมีความอยากมีความยึดก็ต้องมีความทุกข์เป็นธรรมดา ถึงแม้ไม่ได้เขามาเป็นคู่ครองแต่ถ้าใจยังมีความรักต่อเค้า
ก็ต้องเป็นห่วงเป็นใยธรรมดา ในเมื่อมีห่วงคล้องใจมีสายใยมัดตัว จิตก็ขาดความเป็นอิสระภาพ แล้วจะมีวิธีแก้อย่างไร วิธีแก้คือการรู้จักมองโลกในความเป็นจริงตามธรรมชาติของโลก ถึงแม้เราจะมีความรักต่อกันอย่างเต็มร้อยฉันยอมตายเพื่อปกป้องเธอๆก็ยอมตายเพื่อปกป้องฉัน รักกันหวานชื่นและซื่อสัตย์ต่อกันถึงขนาดนั้น ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมีลูกมีหลาน ตราบจนถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร นี่หรือคือความสมหวังของความรัก ในที่สุดก็ต้องพรากก็ต้องจากกันไป
ตามกฏธรรมชาติของโลกก็คือความไม่เที่ยงนั่นเอง เราต้องมองโลกในแง่แห่งความเป็นจริง ถ้าเราไปหลงรักในสิ่งที่ไม่เที่ยง ก็จะพลอยเป็นทุกข์ เพราะสังขารทั้งหลายนั้นมิใช่ตัวตน มิใช่ของเรา มิใช่ตัวเรา ไม่อยู่ในบังคับบรรชาของใครทั้งนั้น ถ้าเราทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วรู้แจ้งตามเป็นจริงแล้ว จิตที่เคยมีความรักใครรักสิ่งใดๆก็จะจางคลายในความรักนั้นลงเสียได้ จิตที่เคยมีความชังความแค้นใครก็จะจางคลายจากความชัง นี่แหละจึงกล่าวได้ว่าจิตปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งใดๆในโลก จิตจึงมีความสะอาด ปราศจากความ โลภ ความโกธร ความหลง จิตสว่าง มีความเบิกบานสำราญใจไม่มีความเศร้าโศก จิตสงบมีความสุขที่เป็นบรมสุขคือสุขที่เกิดจากความสงบระงับดับสิ้นซึ่งกิเลส ...ดั่งพุทธพจณ์ที่ว่า นัตถิสันติปะระมังสุขัง ความสุขอื่นใดเสมอด้วยความสงบสุขไม่มี ที่กล่าวมานี้คงพอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาพิจารณาธรรมเพื่อความพ้นทุกข์
คำอวยพร :- ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ความรักและความชังเป็นปรปักษ์ต่อธรรม
จงมีความเมตตาแทนความรัก จงมีความให้อภัยแทนความชังความพยาบาท....แล้วเมื่อนั้นบรมสุขจะปรากฏขึ้นในจิตโดยมิสงสัยเลย
...จากคุณนนท์
ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ การที่เรารักเขาทั้งใจ แต่เขากลับไม่รักเราเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าจะพูดกันด้วยเรื่องกฎแห่งกรรม นั่นก็อาจเป็นเพราะกรรมในอดีตชาติ แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องกันในปัจจุบัน ทุกอย่างมันเริ่มจากความขาดสติ เพราะว่าเราไม่มีสติตามรู้เท่าทันในอารมณ์ที่มันเกิดดับ เมื่อรูปกระทบตา เราก็ไม่ได้กำหนดรู้ ปล่อยให่ปรุงแต่งว่าเขาดีเช่นนั้น เขาดีเช่นนี้ เราอยากได้เขามาครอบครอง เขาต้องเป็นของเรา ถึงเราจะบอกว่าเราไม่ทุกข์กับมัน แต่จริงๆแล้วในใจของเราก็ยังต้องการเขามาเป็นของเราอยู่ดี การที่เราปรารถนาดีต่อผู้อื่นนั้นเป็๋นสิ่งที่ดี แต่นั่นไม่ใช่จิตใจของพระโพธิสัตว์ เพราะพระโพธสัตว์ช่วยผู้อื่นไม่หวังสิ่งใดตอบแทน การที่จะให้เลิกรักใครนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะผมเองก็โดนปัญหาเดียวกับคุณจนชิน ตอนนี้ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรว่าใครจะรักหรือไม่รัก สนใจอย่างเดียวคือจะทำอย่างไรให้ตัวเราพ้นทุกข์เร็วๆ และช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้เข้ามาสนใจพระพุทธธรรม จนกว่าร่างกายนี้มันจะทำงานให้กับพระศาสนาไม่ได้ เราต้องการให้ผู้อื่นมีความสุข แต่เรายังไม่พ้นทุกข์ เราเองก็ต้องทุกข์ เอาเขาเข้ามาอีกเราก็ทุกข์เพิ่มไปอีก
ลองตื่นตอนเช้ามาพิจารณาดูนะครับว่า ตื่นขึ้นมาแล้วเราขับถ่ายอะไรบ้าง มันสกปรกหรือเปล่า สิ่งสกปรกเหล่านี้ล้วมมาจากร่างกายของเราทั้งสิ้น แล้วลองคิดไปดูว่าร่างกายของคนที่เรารัก เขาก็มีสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า เขาก็มีเหมือนกัน ร่างกายเหล่านี้ไม่ว่าของเราหรือของเขามันก็สกปรก เต็มไปด้วยของเสีย ของสกปรกโสโครก ไม่ว่าเราหรือเขาก็เต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ เราเดินออกไปข้างนอกเราพบคนแก่หรือเปล่า แล้วลองย้อนเข้ามาดูว่าเราเองต้องแก่ตามเขาหรือเปล่า และคนที่รักเขาก็ต้องแก่ ตอนที่เขาแก่เรายังรักเขาอยู่หรือเปล่า ลองพิจารณาอย่างนี้ทุกวันจนจิตมันชิน พอมันชินแล้วก็ให้หันไปพิจารณาดูว่าพอเราตายแล้วร่างกายของเรามันมีสภาพอย่างไร แล้วคนที่เรารักมีสภาพอย่างไร ให้พิจารณาตามในกายานุสติปัฐถาน ว่าด้วยเรื่องของกายคตานุสติ ดูนะครับ ต้องทำจนชิน จนจิตมันเห็นแจ้งและเกิดเบื่อหน่ายจึงจะทำให้เราวางเรื่องความรักลงได้
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ทำกันได้ง่ายๆ เพราะถ้าทำได้ง่ายๆแล้วก็คงจะพากันไปนิพพานหมด ผมเองก็ยังคงปฏิบัติอยู่ ก็ยังตัดขาดลงไม่ได้ แต่ก็ต้องตั้งใจนะครับ เพราะว่าถ้าตราบใดเรายังมีความรักอยู่เราก็ต้องมีความทุกข์อยู่
ถ้าคุณทำไม่ได้ทั้งหมดที่ว่ามา ลองมองไปดูรอบๆข้างตัวคุณดูสิว่ามีใครเขาสนใจคุณหรือเปล่า บางคนเขาอาจจะรักคุณ หรือเขาอาจจะสวดมนต์อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุณไปสนใจรักเขาอยู่ก็อาจเป็นได้ ซึ่งก็อาจจะเหมือนกับที่คุณเคยสวดอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้รักของคุณสมหวังก็อาจเป็นได้ และถ้าคุณไม่รักคนที่เขาสนใจคุณ คุณก็ต้องมานั่งคิดแล้วหละว่า เมื่อคุณอธิษฐานขอให้คนที่คุณรักรักคุณ แล้วก็มีอีกคนเขาขอให้คุณไปรักเขา แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลบันดาลให้ใครสมหวัง เพราะถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสมหวัง อีกฝ่ายย่อมไม่สมหวัง
คุณได้เรียนรู้ทุกข์แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะยอมออกจากทุกข์หรือไม่ ... คำอวยพร :- ขอให้โชคดีครับ