ทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดี
#1
โพสต์เมื่อ 05 September 2006 - 03:17 PM
#2
โพสต์เมื่อ 05 September 2006 - 04:48 PM
แม้ชาตินี้จะทำความดีมากมาย แต่บาปอกุศลที่เคยกระทำไว้ในอดีต ก็อาจมาส่งผลได้ นั่นคือกฏแห่งกรรม ทำอย่างไร ก็ต้องได้รับผลอย่างนั้นอย่างแน่นอน เราจึงควรดำรงตนอยู่บนความไม่ประมาท หมั่นสร้างบุญกุศลให้เต็มที่ เพราะไม่รู้ว่ากรรมจะมาตัดรอนเราเมื่อไหร่...
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#3
โพสต์เมื่อ 05 September 2006 - 05:01 PM
ทำชั่ว ย่อมได้ชั่ว
แต่บังเอิญมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ต่างก็ทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ทั้งทางกาย วาจา ใจ
เช่น คนดีคนนึงนี้เขาชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ไม่พูดโกหก ไม่นอกใจ แต่ชอบดื่มเหล้าเข้าสังคมนิดหน่อย ชอบยิงนกตกปลาเล่นบ้าง
แล้ววันหนึ่งหมอบอกว่าเขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ต้องทนทรมานมาก
หรือเด็กคนหนึ่งเป็นเด็กดี กตัญญูต่อพ่อแม่มีสัมมาคารวะ เรียนดี แต่เกิดอุบัตเหตุรถชน อายุสั้น
หรือโจรที่ชอบปล้นชาวน้าน เผาบ้านคน มีลูกหลายคน ไม่ถูกตำรวจจับ มีกินมีใช้ สุขภาพดี แถมอายุยังยืนยาว
ใครทำกรรมอะไรมาบ้าง ก็ไม่รู้ .....ใครทำกรรมใดมาบ้างมาในอดีต กระทั่งเจ้าตัวก็ไม่รู้ เพราะระลึกชาติไปดูยังไม่ได้
หรือบางท่านที่สามารถระลึกชาติไปดูได้ ก็อาจระลึกชาติไปได้ไม่กี่ชาติ ซึ่งชาติก่อนหน้านั้นก็อาจทำกรรมอะไรมาบ้างก็ไม่รู้
ที่เวียนว่ายต่ายเกิดมาในสังสารวัฎนั้น ระยะเวลายาวนานมาก แต่ละคนก็ทำทั้งความดีและบาปกรรมกันมาต่างๆกัน สะสมมามาก
ไม่ใช่ว่าทำดีจะได้ชั่ว ทำชั่วจะได้ดี แต่การมองดูแค่ระยะเวลาไม่กี่ปี แล้วก็อาจทำให้คนเข้าใจผิดไปได้
การส่งผลของกรรมนั้นซับซ้อน กรรมบางอย่างส่งผลก่อน บางอย่างส่งผลเร็ว บางอย่างส่งผลช้า
แต่ก็กรรมไม่ว่าดีหรือชั่ว ส่งผลทุกกรรม
เพียงแต่เร็วหรือช้า เท่านั้น
#4
โพสต์เมื่อ 05 September 2006 - 06:11 PM
ไม่ถูกดี เป็นอย่างไร ก็คือ ไม่ถูกจุดของความดี แก้ปัญหาไม่ถูกจุดนั่นเอง เช่น ผ้าของแฟน สกปรกที่คอ แต่ดันไปซักที่แขน ผลเป็นไงครับ แฟนก็งอนสิครับ ซักผ้าไม่สะอาด เพราะจุดสกปรกไม่ได้ซัก แล้วจะไปบ่นว่า ทำดีไม่ได้ดี ได้อย่างไร ในเมื่อทำไม่ถูกดี
ไม่ถึงดี เป็นอย่างไร ก็คือ ทำถูกจุดของความดีแล้ว แต่ยังทำไม่ถึงจุดของความดี เช่น ซักผ้าให้แฟน รู้แล้วว่า สกปรกที่คอเป็นหลัก จึงลงมือขยี้ที่คอ แต่จะต้องขยี้ 10 ครั้ง ผ้าจึงจะสะอาด ปรากฏว่า ขยี้แค่ 2-3 ครั้ง แฟนก็งอนอีกเหมือนเดิม เพราะซักถูกแล้ว แต่ยังไม่ถึงจุดของความสะอาด ใช่มั้ยครับ
ไม่พอดี เป็นอย่างไร ก็คือ ทำเกินดี เช่น ซักผ้าให้แฟน รู้แล้วว่า สกปรกที่คอ แต่ดันไปขยี้ 30 ครั้ง ขยี้มากเกินไป ผลก็คือ ผ้าขาดเลย ที่นี่แฟนนอกจากงอนแล้ว อาจถึงขั้นเตะ กรณีผู้ชาย หรือ ตบกรณีผู้หญิง ก็ได้เลยนะครับ ทำผ้าเขา(เธอ) ขาดเนี่ย จะให้เรียกว่าทำดีได้ดีได้อย่างไร
ดังนั้น สรุปนะครับ จะทำดีได้ดี ต้องทำให้ถูกดี ถึงดี และพอดี แล้วก็ต้องรอเวลาให้ความดีส่งผลด้วยนะครับ ปลูกต้นกล้วยวันนี้ พรุ่งนี้จะรับประทานเลยหรือเปล่า ก็ต้องรอกันหน่อย ใช่มั้ยครับ
อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นชัด คือ เคส ที่เพิ่งออกไป เมื่อไม่นาน ที่เจ้าของเคส ถามครูไม่ใหญ่ว่า ทำไมเธอทำดีตลอด ผลงานประณีต แต่ทำไมเจ้านายไม่เลื่อนตำแหน่งให้ ครูไม่ใหญ่เฉลยว่า ลูกยังทำดีไม่ถูกจุดที่เจ้านายต้องการ ลูกไปดูเอาเถอะ
พอคุณครูพูดเช่นนี้ เพื่อนที่เงียบมานาน ไม่กล้าเตือน จึงได้บอกความจริงว่า งานเธอประณีตจริง แต่เธอทำช้ามากๆ เจ้านายคอยแล้วคอยเล่าเฝ้าแต่คอย เจ้านายก็เลยขึ้นให้แค่นี้ไง ถึงได้บ้างอ้อ
#5
โพสต์เมื่อ 06 September 2006 - 09:57 AM
1. ทำถูกบุคคล หากเราทำดีกับผู้ที่มีปัญญาหรือผู้ที่เป็นบัณฑิต แน่นอนเราย่อมที่จะได้ดีเป็นสิ่งตอบแทน หากผู้ที่เราทำดีด้วยเป็นมิจฉาทิฐิเราก็อาจจะได้สิ่งตอบแทนเป็นความไม่ดีหรือความทุกข์ใจมาให้ ยกตัวอย่าง หากเราทำดีกับผู้ที่มีศีล เช่น พระสงฆ์ที่เคร่งในทางพระวินัย แน่นอนเราย่อมต้องได้ความปลื้มปิติหรือความสบายใจเป็นสิ่งตอบแทน แต่หากเราทำดีกับผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิ หรือคนที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม บางทีเราอาจจะโดนผลตอบแทนที่ไม่เป็นธรรมสำหรับเรา อย่างเช่นเราทำดีกับเพื่อนร่วมงานที่เป็นมิจฉาทิฐิ แต่เพื่อนร่วมงานเราคิดเห็นแต่ผลประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว เขาได้รับผลประโยชน์ไปแต่เรากลับไม่ได้อะไรบางทีอาจจะโดนต่อว่า ทำให้กลายเป็นว่าเราทำดีกับเพื่อนคนนี้แล้ว แต่กลับต้องมาถูกเจ้านายต่อว่าเลยเป็นผลทำให้กลายเป็นเราทำดีแล้วไม่ได้ดีไป
2. ทำถูกกาลเทศะ หากเราทำดีแล้วถูกกาลเทศะเราก็ย่อมได้รับความสบายใจแต่หากเราทำไม่ถูกกาลเทศะเราก็อาจได้ผลตอบแทนที่ไม่ดี ยกตัวอย่าง สมมุติว่าเจ้านายของเรามีอารมณ์ดี พอเราทำงานดีทำงานให้เจ้านายเสร็จตามกำหนด เราก็ได้รับคำชมหรือบางทีเจ้านายก็ตอบแทนเราอาจจะพาเราไปเลี้ยงแลองความสำเร็จ หรือยกให้เราเป็นพนักงานดีเด่น แต่หากเจ้านายเรากำลังหงุดหงิดใจแล้วเราเข้าไปพูดปลอบใจหรือให้กำลังใจ แต่ด้วยโทสะและโมหะจริตที่เจ้านายยังหงุดหงิดอยู่ เราก็อาจจะถูกเห็นว่าเราเข้าไปยุ่งไม่เป้นเรื่องกลายเป็นว่าเราถูกต่อว่ากลับมาทั้งที่หวังดี
3. ทำถูกสถานที่ เช่นเราทำดีในบ้านของเรา เช่นซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน พ่อแม่เห็นเราทำความดีเขาก็ชื่นชมเรา แถมเรายังได้เสื้อผ้าสะอาดใส่ ได้ที่อยู่ที่สะอาดเป็นที่พักอาศัยเป็นสิ่งตอบแทน แต่หากเราทำผิดสถานที่ เช่น เราไปให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่เดินขบวนประท้วง อาจจะเป็นให้ข้าวให้นําแก้ผู้ร่วมขบวน เราก็อาจถูกคนอื่นมองว่าเราเป็นผู้สนับสนุนการประท้วงนั้นๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการไตร่ตรองและพิจารณาของผู้ที่ทำความดีและผู้ที่เราทำดีด้วยหรือบุคคลรอบๆข้างนั้นเอง แน่นอนครับ สิ่งที่ทำให้ความคิดของมนุษย์ผิดแผลกแตกต่างไปจากความเป็นจริงเห็นว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำชั่วแล้วได้ดี ก็คือกิเลสในใจของมนุษย์นั่นเอง ในปัจจุบันมนุษย์ทุกคนเอาความต้องการของตัวเองเป็นหลักเป็นตัวตัดสิน เมื่อมนุษย์เราเอาความต้องการเป็นตัวตัดสินแน่นอนกิเลสย่อมต้องบดบังสติปัญญา ทำให้คิดผิดเห็นผิด เมื่อทำแล้วไม่ได้ดั่งที่ใจคิด ก็ด่วนสรุปด้วยความเห็นที่ผิดๆนั่นเอง เช่น มีหลายคนที่คิดทำบุญเพื่อต้องการสิ่งตอบแทนคือความรวยหรือให้ได้มาซึ่งโชคลาภ แต่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรนั่งรอคอยแต่ความหวังลมๆแล้งๆอย่างเดียว แน่นอนครับเมื่อมีความต้องการกิเลสย่อมบังสติปัญญา เมื่อทำบุญแล้วไม่ได้มาในสิ่งที่ตัวเองหวัง ก็จะโทษที่บุญว่าทำบุญแล้วไม่ได้สิ่งตอบแทน โดยคิดไม่ออกว่าทุกอย่างอยู่ที่ตัวเองทั้งสิ้น คิดไม่ออกว่าการที่เราไม่ได้อะไรเป็นเพราะตัวเองงอมืองอเท้าไม่รู้จักไขว่ขว้า ซึ่งถ้าตัวเองตั้งใจทำมาหากิน บุญก็จะส่งผลช่วยหนุนให้ตัวเองได้มีความเจริญในชีวิต
สรุป เป้นเพราะความต้องการที่เป็นกิเลสในใจของมนุษย์บดบังสติปัญญาที่จะใช้คิดพิจารณาไตร่ตรอง ทำให้มนุษย์มีความคิดเห็นที่ผิดเช่นนั้นครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#6
โพสต์เมื่อ 06 September 2006 - 10:02 AM

อย่างนี้ให้ซื้อเครื่องซักผ้ามาใช้ ถ้าเครื่องซักแล้วผ้าขาด ก็ให้คุณสามีกระทืบเครื่องซักผ้าแทน จะได้รอดตัว

ทำดีที่เจ้านายชอบ คือ เจ้านายเขาต้องการอย่างไร ก็ทำให้ไปตามที่สั่ง ไม่ต้องขาดไม่ต้องเกิน
ถ้าชอบทำนอกเหนือคำสั่ง แล้วมาคิดเอาเองว่า ทำอย่างนี้ท่าจะดีกว่า(คิดเอาเอง) เจ้านายก็ไม่ชอบใจหรอก
จนเมื่อเราจับทางเจ้านายถูกทางแล้ว เราก็จะรู้ว่า"ถูกต้อง+ดี"ของเจ้านายนั้นเป็นไง
ต่อไปๆ ก็ทำตามทางนี้ให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ
#7
โพสต์เมื่อ 06 September 2006 - 11:22 AM
#8
โพสต์เมื่อ 06 September 2006 - 04:04 PM
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#9
โพสต์เมื่อ 06 September 2006 - 04:38 PM
แต่ได้มาอย่างนี้ค่ะ

...........................................................
ทำกรรมดีไม่ได้ดี
มีคนพูดกันเสมอว่า ทำกรรมดีไม่ได้ผลดี เพราะตนเองได้พยายามทำดีแล้ว แต่กลับเป็นทุกข์ไม่ได้รับความสุขหรือได้สิ่งที่ต้องการ คนบางคนพูดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่เข้าใจสัจธรรมของการเวียนว่ายตายเกิดว่า ชีวิตของเราในปัจจุบันนี้เป็นเพียงจุดเล็กๆจุดเดียว ในระยะทางอันยาวไกล กรรมดีกรรมชั่วที่ทำไว้แต่ละชาติแต่ละภพ มีการสะสมเก็บไว้เพื่อเกิดผลในภายหน้าไม่มีที่สิ้นสุด และจะไม่มีการหักกลบลบหนี้กันระหว่างกรรมดีและกรรมชั่วที่ทำ ดังนั้น สิ่งที่ตัวทำดีไว้ยังไม่ออกผลแต่กรรมชั่วนี้ทำมาก่อนที่ได้มาแสดงผลแล้ว จึงทำให้ ทำดีได้ชั่ว และในทำนองกลับกันเห็นคนบางคนเป็นคนเลวทำแต่ความชั่ว คอรัปชั่น กินบ้านกินเมือง แต่ได้เป็นรัฐมนตรี จึงเกิดคำพูดที่ว่า ทำชั่วได้ดีมีถมไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารู้เห็นกันอยู่ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะทำชั่วแล้วได้ดีแต่เป็นเพราะกรรมดีเก่ายังให้ผลอยู่ แต่จะไม่เป็นเช่นนี้ตลอดไป กรรมมีความยุติธรรมเสมอเพียงแต่จะต้องรอเวลาและดูผลรวม
ทางศาสนาสอนไว้ว่า การทำดีแล้วจะได้ดีตอบนั้นจะต้องพร้อมด้วยสมบัติ 4 ประการ คือ
มีคติสมบัติ คือการดำเนินชีวิตที่ดี สิ่งแวดล้อมที่ดีหนึ่ง
มีอุปธิสมบัติ คือมีร่างกายสมบูรณ์ดีหนึ่ง
มีกาลสมบัติ คือมีกาลเวลาที่ถูกต้องหนึ่ง
มีปโยคะสมบัติ คือมีการทำดีโดยสมบูรณ์ไม่บกพร่อง
ดังนั้น ผู้ที่รู้สึกว่าตนเองทำดีไม่ได้ดี ก็พึงพิจารณาว่าตนเองมีสมบัติทั้ง 4 นี้พร้อมแล้วหรือไม่ โดยเฉพาะกาลสมบัติ
เรื่องของกรรมเป็นเรื่องใหญ่แต่ละเอียดอ่อน หลักธรรม 84000 พระธรรมขันธ์นั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับกรรม เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับคนส่วนใหญ่ กรรมแรกที่ทำให้คนตายแล้วเกิดเรียกว่า ชนกกรรม ซึ่งเป็นตัวจำแนกให้เกิดในภพภูมิต่างๆกัน และถ้าเกิดเป็นมนุษย์ชนกกรรมจะเป็นตัวนำให้คนเกิดแตกต่างกัน สำหรับกรรมที่จะมีผลต่อชีวิตข้างหน้านั้น แยกได้สุดแต่ชนิดของกรรม คือ ครุกรรม หรือกรรมหนัก มีอำนาจเหนือกรรมใดๆทั้งสิ้นมีทั้งฝ่ายชั่วอย่างหนัก ฝ่ายดี เช่นการทำกุศลบารมี การทำฌาน ซึ่งจะนำไปเกิดสูงแน่นอน ส่วนกรรมฝ่ายชั่วอย่างหนัก ได้แก่การทำร้ายอรหันต์ การฆ่าพ่อแม่และสังฆเภท หรือยุแยงสงฆ์ให้แตกกันมีแต่ตกนรกอย่างเดียว รองลงมาคืออาสันนกรรม หรือกรรมที่ทำใกล้ตายจะมีผลต่อการเกิดในชาติหน้า ทุกศาสนาจึงให้นึกถึงคุณพระคุณเจ้า ฟังพระสวดมนต์ในเวลาจะสิ้นใจ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ก็สุดแต่จิตขณะดับยึดกับสิ่งนี้อยู่หรือไม่ ถ้าอยู่ได้ก็ได้ไปดี ต่อจากนั้นคือ อาจิณณกรรม คือ กรรมที่กระทำสม่ำเสมอ ถึงแม้มีน้ำหนักมาก แต่มีอิทธิพลต่ำกว่าในการสร้างภพใหม่ ซึ่งมีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว เช่น คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่ทุกวัน แล้วเวลาอาสัณณกรรมจะให้นึกถึงพระคงเป็นไปได้ยาก คงจะต้องนึกถึงสิ่งที่ทำเสมอ และกรรมที่มีผลน้อยที่สุด คือ กตัตตากรรม คือกรรมเล็กน้อย ดังนั้นในเวลาที่คนจะสิ้นลมจึงมีความสำคัญ ต้องทำจิตให้กุศลเข้ามาหา นึกถึงแต่สิ่งดีๆที่เป็นกุศล เพื่อให้เป็นชนกกรรมนำไปสร้างภพสร้างชาติที่ดีต่อไป
เคยมีผู้สงสัยว่าแก้กรรมได้หรือไม่ เพราะมีคนไปทำพิธีแก้กรรมกัน คำตอบคงจะมีได้ทั้งได้และไม่ได้ที่ไม่ได้คือ อนันตริยกรรมดังกล่าวแล้วอย่างหนึ่ง และคู่กรรมเขาไม่อโหสิกรรมให้อีกอย่างหนึ่ง แก้อย่างไรก็ไม่ได้ มีตัวอย่างว่าแม้แต่พระพุทธเองเคยเสด็จไปห้ามทัพพระเจ้าวิฑูฑภะ โอรสของพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งมีความแค้นต่อผู้ที่อยู่ในศากยวงศ์ของพระพุทธเจ้าเอง ทรงห้ามสำเร็จถึง 2 ครั้ง แต่เมื่อพระเจ้าวิฑูฑภะยกทัพมาเป็นครั้งที่ 3 พระพุทธองค์ไม่เสด็จไปห้าม ศากยวงศ์ถูกฆ่าทั้งเมือง พระอานนท์สงสัยจึงทูลถาม พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าว่าความแค้นและกรรมทั้งสองฝ่ายนี้เขามีกันมาก่อน เมื่อชาติก่อนผู้ที่อยู่ในศากยวงศ์ได้เอายาพิษโรยต้นน้ำ ทำให้บรรดาพวกที่ชาตินี้เป็นพระเจ้าวิฑูฑภะตายทั้งเมือง แต่ด้วยกรรมที่ทำทำให้กองทัพที่ได้ชัยชนะมาแล้วมาตั้งอยู่ริมแม่น้ำถูกพายุฝนน้ำท่วมพัดเสียชีวิตเกือบหมด เป็นตัวอย่าง อย่างไรก็ดีเนื่องจากเราไม่รู้ว่าเคยทำบาปทำกรรมอะไรบ้าง ดังนั้นตั้งใจแต่ทำกรรมดีและเวลาทำบุญกุศลครั้งใดก็ได้ตั้งจิตแผ่กุศลนั้นให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายและสัตว์ทั้งหลายโดยไม่มีประมาณให้เขา ส่วนเขาจะอโหสิให้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของวิบากที่เราต้องรับอยู่แล้ว
#10
โพสต์เมื่อ 08 September 2006 - 01:27 AM
เหมือนกันนะ แต่คนเราปลูกพืชหลายชนิดทั้งมะม่วงและกุหลาบ (เปรียบเสมือนหลงไปทำชั่วบ้าง ทำความดีบ้าง ปนกันไป ) แต่คนเรามักจะงงและไม่เข้าใจ
ว่าปลูกมะม่วงมาตั้ง ปีแล้วทำไมไม่มีผลมะม่วงกิน เห็นแต่ดอกกุหลาบเต็มสวนไปหมดนะ งงจังเหมือนเด็กๆไม่รู้ว่าปลูกมะม่วงต้องนานกว่านั้นนะ
มันขึ้นกลับเหตุปัจจัย สภาพธรรมชาติของมันเอง
แต่ตาม ความเป็นจริง แล้ว การโยนลูกบอลเข้าชนกระทบกำแพงนั้น ลูกบอลมันก็จะกระดอนกลับมาของมันเองอยู่แล้ว (ทำอะไรไปได้อย่างนั้น) แต่คนเรามักจะเอาใจไปคอยจดจ่อ คอยหวังว่าจะให้ผลการกระดอนของลูกบอลนั้น ควรจะให้ผลออกมา สวยงามดังใจปรารถนา ดังใจหวัง เมื่อไม่ได้ดังใจก็บอกว่าทำดีได้ชั่วนั่นละ
แต่ลืมไปว่าปัจจัยที่ทำให้ผลการกระดอนของลูกบอลกลับมานั้นมีหลายปัจจัย เช่น แรงและทิศของแรงที่ใช้ สภาพของกำแพง สภาพของลูกบอล และสิ่งแวดล้อม
ที่อยู่รอบๆนี้น เป็นต้น หมายถึง การที่ผลของกรรมที่จะแสดงออกมาได้นี้น มีปัจจัยหลายอย่างมาประกอบขึ้นเช่น กรรมอดีตที่มาประกอบเป็นสภาพปัจจุบันของเรา
กรรมแวดล้อมปัจจุบันเปิดช่องสนับสนุน และจิตปรุงแต่งเหมาะสม เป็นต้น
#11
โพสต์เมื่อ 12 September 2006 - 09:20 AM
เรื่องการสอนเด็กๆ ว่า
ทำดี ก็ต้องได้ดี
ทำชั่ว ก็ต้องได้ชั่ว
ที่คนดี ได้รับความวิบัติ ก็เพราะกรรมชั่วในอดีตของตัวเขา มาส่งผล
ที่คนชั่ว ได้รับความเจริญ ก็เพราะกรรมดีในอดีตของตัวเขา มาส่งผล
หากผู้ใหญ่บ่น หรือท้อใจ แล้วพูดระบายออกมาว่า ทำดีแล้วได้ชั่ว แต่คนทำชั่วได้ดี... ลูกๆหลานๆ เกิดไปได้ยินอย่างนี้เข้า เด็กอาจจะเข้าใจผิด คิดไปเองว่าผลของกรรมไม่มี หรือกฎแห่งกรรมไม่มี จนเป็นมิจฉาทิฎฐิ โดยที่ไม่ได้เจตนาได้นะ
#12
โพสต์เมื่อ 23 September 2006 - 05:41 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี