อัตตา
#1
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 11:37 AM
เมื่อก่อนคิดว่าอัตตาแปลว่ามีตัวตน แต่เดี๋ยวนี้ไม่แน่ใจ เพราะบางคนก็บอกว่าแปลว่าความยึดมั่นถือมั่น
อยากทราบค่ะว่าอัตตาแปลว่าอะไรกันแน่
แล้วช่วยยกตัวอย่างการใช้คำว่าอัตตาในประโยคให้หน่อยได้ไหมคะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#2
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 12:04 PM
.........................................................................................
มีคำตอบของคุณตาลอยู่ช่วงกลาง ๆ ค่ะ
http://www.dmc.tv/fo....php/t4496.html
#3
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 12:08 PM
มีเพื่อให้ตัณหาทั้งหลายมาเกาะ ไม่ว่าจะเป็น ภวตัณหา กามตัณหาเป็นต้น
อัตตามีการมองได้หลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็น
"อัตตสัญญา" ภาพอัตตาที่มี
"อัตตานุทิฏฐิ หรือ อัตตทิฏฐิ"ความตามเห็นหรือมีทฤษฎีเกี่ยวกับตัวตน
"อัตตวาทุปาทาน "การถือมั่นวาทะว่าตน คือความยึดถือสำคัญมั่นหมายว่านั่นนี่เป็นตัวตน
ก็ตาม เกิดขึ้นเมื่อมีความคิดยึดถือเข้าใจว่าตัวตนมีจริง
หรือมีอวิชชาที่เข้าใจว่าตัวตนมี
จากคำถามของคุณประสงค์ที่ว่า " อัตตา เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ? "
ผมจึงตอบว่าเกิดขึ้นเมื่อเริ่มคิดว่าตัวเรามี
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#4
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 12:14 PM
อัสมิมานะ การถือตัวว่านี่ฉัน นี่กู
กูเป็นนั่นเป็นนี่, การถือเราถือเขา
ไงครับ
ผมไม่ใช่ให้ความสำคัญเฉพาะ
การเกิดดับของจิตเท่านั้น
ขณะตาเห็นรูป...จนถึงขณะกระทบสัมผัสทางกาย
ไม่ใช่มีแต่จิตเกิดดับ
รูปที่เป็นอารมณ์ของจิตก็เกิดดับด้วย
ถ้าไม่รู้ว่ารูปธรรม นามธรรมเกิดดับด้วยปัญญาประจักษ์แจ้ง
จะรู้จัก ทุกขอริยสัจจะ ได้อย่างไร
ถ้าไม่รู้จัก ทุกขอริยสัจจะ
ก็ไม่รู้จัก ทุกขสมุทัยได้
และก็ไม่รู้จักอริยะสัจ 4 ได้จริง
อนุสัยก็ควรกำจัดให้หมดไปจากจิต
แต่ผมคิดว่า ตัณหา(โลภะ) ควรกำจัดก่อนครับ
และรู้ได้ก่อน อนุสัยด้วย
#5
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 12:20 PM
ทุกคน ล้วนมีตัวตนอยู่ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนาย ก นาย ข ฯ แม้เป็นเพียงชื่อสมมุติ แต่ก็มีตัวตนอยู่ ตัวตนที่ คอยรับความทุกข์ ความสุข เป็นตัวเก็บบุญ บาป และวิบาก ที่จะต้องไปรับกันในภพชาติต่อๆไป เพราะหากทุกคนไม่มีตัวตนอยู่แล้ว การสั่งสมบารมีก็ไม่อาจเป็นไปได้เพราะไม่รู้ว่าบารมีจะไปเก็บอยู่ที่ไหน ใครเป็นคนทำ ใครเป็นผู้ได้รับ การระลึกชาติก็จะทำไม่ได้ เพราะตัวตนไม่มีไม่รู้ไประลึกชาติของใครกัน
และคำว่า "อัตตา" แปลว่า "ตัวตน" เฉยๆ ไม่ได้แปลว่า "มีตัวตน" คราวนี้เมื่อรู้ว่า อัตตา คือ อะไรแล้ว ก็มาดูที่ "อนัตตา" ซึ่งเป็นคำตรงข้ามกับ "อัตตา" เหมือน "อนิจจัง" ตรงข้ามกับ "นิจจัง" อนัตตา หรือ อนิจจัง เป็นคำปฏิเสธ ที่ปฏิเสธอีกฝ่ายหนึ่ง คราวนี้ คำที่ปฏิเสธ เราควรจะแปลอย่างไรดี หากต้องการจะปฏิเสธ "ตัวตน" ก็ต้องบอกว่า "ไม่ใช่ตัวตน" ไม่ใช่ "ไม่มีตัวตน" เพราะอัตตาแปลว่า "ตัวตน" ไม่ได้ แปลว่า "มีตัวตน" เช่นกันหากปฏิเสธ "เที่ยง" ก็คือ "ไม่เที่ยง" ปฏิเสธ "แท้" ก็คือ "ไม่แท้(ปลอม)" ปฏิเสธ "ถูก" ก็คือ "ไม่ถูก(ผิด)" ฯลฯ หรืออาจยกตัวอย่างได้ดังนี้ เข่น มีคนถามว่านี่ใช่(รูป) "คุณ" หรือเปล่า (คุณแสดงความเป็นตัวตน) หากไม่ใช่ เราจะตอบ "ไม่ใช่ฉัน" ไม่มีใครตอบว่า "ไม่มีฉัน" หรือ "ฉันไม่มี" กัน หรือหากใครอุตริ ตอบ ก็ไม่ได้หมายความว่า ฉันไม่มีเลยในโลกนี้ แต่หมายถึง ฉันไม่มีในรูปนั้นต่างหาก ซึ่งอาจมีในรูปอื่น หรืออย่างน้อยก็มีตัวจริงยืนอยู่ที่นั่น
และการที่จะแปล "อนัตตา" ว่า "ไม่มีตัวตน" นอกจากจะผิดแล้วยังเป็นสิ่งที่ล่อแหลมเป็นอย่างมาก เพราะจะนำไปสู่ความเชื่อ เรื่องบุญ บาป ไม่มีจริง กฎแห่งกรรมไม่มี ภพชาติไม่มี นรก-สวรรค์ไม่มี ตายแล้วก็สูญ เพราะ คัวตนไม่มี ร่างกายเป็นแค่ที่ประชุมของธาตุทั้งสี่ แค่นั้นเอง ความตายกับ "นิพพาน" แทบมีความหมายไม่ต่างกัน เป็น อุทเฉททิฏฐิ เป็น มิจฉาทิฏฐิ ชนิดหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามอย่างยิ่ง เพราะหากเป็นมิจฉาทิฏฐิมากๆ นอกจากจะขวางทางมรรคผลนิพพานแล้ว ยังอาจตกนรกอเวจี หรือ นรกโลกันต์ไปเลยได้
เราจะแปล "อนัตตา" ว่า ไม่มีตัวตนไม่ได้ เพราะตัวตนนั้นมีมาอยู่ก่อน ขอยกตัวอย่างดังนี้ หากเราจะกล่าวปฏิเสธสิ่งใด ว่า "ไม่ใช่" หรือ "ไม่มี" ก็ตาม สิ่งที่ "ใช่" หรือสิ่งที่ "มี" นั้นต้องมีมาอยู่ก่อน เพราะไม่อย่างนั้น การปฏิเสธ จะเกิดขึ้นไม่ได้ (การปฏิเสธ เกิดหลัง สิ่งที่ถูกปฏิเสธเสมอ) หากจะแปลว่า "ไม่มี" ก็ต้องตอบให้ได้ว่า "มี" อยู่ที่ไหน ไม่ใช่ บอกว่า "มี" ก็ไม่มี เพราะมีแต่ "ไม่มี" อ่านแล้วสับสนใช่ไหมครับ ความผิดพลาดคือ เราไปยึดแต่คำ "ปฏิเสธ" แต่ละเลยคำ "รับ" ไปเสีย เลยเลื่อนลอยเหลวไหลไป ในตอนต่อไปจึงจะอธิบายให้ทราบว่าทำไมพระสัมสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสอนเรื่อง ไตรลักษณ์ ซึ่งเป็นเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ค่อยกล่าวถึง นิจจัง สุขัง อัตตา ซึ่งเป็นคำรับ ที่ตรงข้ามกัน
สรุปว่า "อนัตตา" ต้องแปลว่า "ไม่ใช่ตัวตน" ไม่ใช่ "ไม่มีตัวตน" อย่างที่หลายท่านเข้าใจกัน คราวนี้ถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้า บอกว่า ร่างกายเราซึ่งเป็น "เบญจขันธ์" เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หากแปลได้ง่ายๆ ท่านก็ชี้ว่า " นี่แน่ะ ร่างกายเรานะ มันไม่เที่ยง มันคงสภาพอยู่ไม่ได้ มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน นะ" ซึ่งตามปกติ คนทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่ก่อนเกิดพระพุทธศาสนา ก็ล้วนเข้าใจว่า ร่างกายขันธ์ห้าเรานั้น เป็นตัวตนของตัวเองทั้งสิ้น เพราะทั้งรักทั้งหวงแหน เอาอกเอาใจ คอยปรนนิบัติ พัดวี สารพัด ใครมาว่าอะไร มาทำอะไรก็ไม่ได้ เป็นต้องโกธรเคืองกันไป เพราะคิดว่า นั่นเป็นตัวตนของตน
หากอยู่ๆ พระพุทธเจ้า เดินไปหาแล้วไปบอกว่า ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ซิ ปกติคนเรา มักไม่ชอบให้ใครมาสั่งบังคับ กันทั้งนั้น หากจะทำก็อยากทำด้วยตัวตัดสินใจเองเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งควรทำ ทำแล้วเกิดผลดีกับตัว ดังนั้น ศิลปะ ในการเผยแผ่ ธรรมะ ของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงใช้วิธีสอนด้วยการกล่าวปฏิเสธก่อนทั้งสิ้น เช่น เจอพราหมณ์ กำลังอาบน้ำล้างบาปในแม่น้ำคงคาอยู่ ก็ถามว่าพราหมฌ์ทำอะไร เมื่อพราหมฌ์ตอบว่า ล้างบาปอยู่ ท่านจึงค่อยสอนว่า ทำอย่างนั้นล้างบาปไม่ได้หรอก ธรรมะของท่านซิชำระล้างให้บริสุทธิ์ได้ แล้วค่อยสอนหมวดธรรมต่างๆไป หรือ ตอนเจอสิงคาลกมาณพ กำลังบูชาเทพเจ้าทั้งหกทิศอยู่ ท่านก็เริ่มด้วยการถามว่าทำอะไร แล้วค่อยบอกว่าทำอย่างนั้นไม่ใช่การบูชาที่ถูกต้องหรอก ที่ถูกต้องบูชาทิศทั้งหกอย่างนี้อย่างนั้น
หากสังเกตวิธีการเผยแผ่ธรรมของพระองค์จะใช้วิธีนี้ทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นการหักดามพร้าด้วยเข่าหรือข่มเขาโคให้กินหญ้า และไม่ได้ไปเปลี่ยนความเชื่อเขาโดยสิ้นเชิงในทันทีทันใด แต่ค่อยๆตะล่อม โดยเริ่มให้ใจของผู้ฟังพร้อมที่จะรับฟังก่อนแล้วจึงค่อยแนะนำสั่งสอน โดยการชี้ให้เห็นก่อนว่าสิ่งที่เคยคิดเคยปฏิบัตินั้นไม่ถูกต้องอย่างไร แล้วจึงเทศน์สอน กรณีไตรลักษณ์ ก็เช่นกัน เมื่อบอกปฏิเสธสิ่งที่เขาเคยยึดถือว่าไม่ใช่ คำถามก็ย่อมเกิดขึ้นในใจว่า แล้วอะไรที่มันใช่ล่ะ เพราะคงไม่มีผู้รู้ท่านใด ไปเที่ยวชี้นิ้ววิจารณ์คนอื่นว่า ไม่ใช่ ไม่ถูก แต่บอกไม่ได้ว่า สิ่งที่ถูกคืออะไร ถ้าเป็นอย่างนั้น คงจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เป็นแค่คนชอบติคนหนึ่งเท่านั้น คราวนี้เมื่อผู้ฟังมีใจยอมรับฟังแล้ว ท่านจึงค่อยชี้ในสิ่งที่ถูก สอนวิธีที่จะให้ได้ สิ่งที่เป็น นิจจัง สุขัง อัตตา (จริงๆ) ให้ ซึ่งก็คือ ธรรมะ ต่างๆ ที่เป็นอริยมรรค เส้นทางสู่มรรคผลนิพพานนั่นเอง
อีกสาเหตุหนึ่งที่ชาวพุทธ ตั้งข้อรังเกียจ "อัตตา" เป็นหนักหนา เพราะพระท่านสอนให้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น หรือที่ชอบเรียก "ตัวกู-ของกู" นั่นล่ะ คราวนี้ ปัญหา มันไม่ได้อยู่ที่ "กู" หรอก แต่มันอยู่ที่ "ของ" (กู) กับ "เป็น" (กู) ใน "กู" ที่ไม่ใช่ "กูจริง" ซึ่งก็คือ "อุปาทาน" คือการเข้าไปยึดมั่นยึดถือ ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นฉัน เป็นของเรา ในสิ่งที่ไม่ได้เป็นของเราจริงๆ ต่างหาก ลำพัง "กู" เฉยๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เมื่อเข้าไปยึดในสิ่งที่ไม่ใช่เป็นของตัวว่าเป็นของตัว เมื่อของสิ่งนั้นจากเราไป เราเลยเป็นทุกข์ เพราะ "กู" หรือ "อัตตา" นี่ มันมี "อัตตาแท้" กับ "อัตตาเทียม" หรือ ตนแท้ กับตนสมมุติ ซึ่งก็ใช้ "ตน" เหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน ซึ่ง "อัตตา" นี้ ไม่ว่าจะเป็น อัตตาแท้ หรือ อัตตาเทียม มันก็มีอยู่ของมันมาก่อนแล้ว หลักสำคัญต้องไปยึดหรือพึ่งให้ถูกว่า "ตน" ไหนพึ่งได้ "ตน" ไหนพึ่งไม่ได้ พึ่งผิดก็ทุกข์ พึ่งถูกก็สุข หลักมีแค่นี้ เอง
นอกจากนี้ มักจะเข้าใจผิด ว่า "อัตตา" มีความหมายเดียวกับ "Ego" ในภาษา อังกฤษ จึงยิ่งรังเกียจอัตตา เข้าไปใหญ่ ทั้งๆ ที่ Ego น่า จะใกล้เคียงกับ คำว่า "ทิฏฐิ" กับ "มานะ" เสียมากกว่า ซึ่งแน่นอน ทิฏฐิมานะ เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ที่ควรจะต้องละอย่างแน่นอน
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#6
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 12:38 PM







ขอเชิญร่วม อนุโมทนาบุญ งานบุญกฐินพระราชทาน ที่ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก คลิ๊กที่นี้
Who am I?__>>> CLick Here <<< to see my answer Post # 7
.
รวมภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า: คลิ๊กที่นี้คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 58 files, 120.99 MB, for easy listening dharmas.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 121 really-good-to-read e-books, 295.67 MB.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Free Download Manager ช่วย Download ไฟล์ใหญ่ๆ ต่างๆ ฟรีครับฟรี
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Acrobat Reader V.5
.
The basic knowledge of Buddhism to become a better buddhist Edition 2 คลิ๊กที่นี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
-= Hillary Clinton =-.... >>>>>>> CLicK HeRe <<<<<< To Be wisher, To Be smarter, and To Know Better !!!
#7
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 12:45 PM
คุณ "วัดในดวงใจ" ตอบได้ทะลุใจไปเลย
#8
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 01:13 PM
คีอ อยากได้ ภาพ องค์พระผดที่ละองค์ที่เป็นสีฟ้าๆมากคะ
ใครพอมีบ้างคะ ขอให้เป็นธรรมทานหน่อยเถอะคะ
อนุโมทนาบุญคะ
ขอใช้ กระทู้หน่อยคะ
คีอ อยากได้ ภาพ องค์พระผุดที่ละองค์ที่เป็นสีฟ้าๆมากคะ
ใครพอมีบ้างคะ ขอให้เป็นธรรมทานหน่อยเถอะคะ
อนุโมทนาบุญคะ
#9
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 01:16 PM
คุณ "วัดในดวงใจ" ตอบได้ทะลุใจไปเลย
ไม่แน่ใจค่ะว่าจากคุณตาลที่เคยพิมพ์ไว้ในกระทู้...วิธีตรวจจักรวาล ภพ ๓ และโลกันต์...หรือปล่าว ?
#10
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 01:18 PM
การตีความตามตัวอักษรเลยตีความไปถึงนิพพานโน่น ลองยกความเห็นและอ้างอิง
มาแบ่งปันกัน
อ้างถึง กิเลสทั้งหลายที่มัดใจมนุษย์ให้มีความทุกข์
สังโยชน์ ๑๐ หมายถึง กิเลสอันผูกใจสัตว์ ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือผูกกรรมไว้กับผล แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ
๑. โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เป็น สังโยชน์เบื้องต่ำ เป็นอย่างหยาบ เป็นไปในภพอันต่ำ ได้แก่
๑.สักกายทิฏฐิ = ความเห็นว่าเป็นตัวของตน เช่น เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณ เป็นตน เป็นต้น
๒.วิจิกิจฉา = ความสงสัย, ความลังเล ไม่แน่ใจ
๓.สีลัพพตปรามาส = ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ
กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร
๔.กามราคะ = ความกำหนัดในกาม, ความติดใจในกามคุณ
๕.ปฏิฆะ = ความกระทบกระทั่งในใจ, ความหงุดหงิดขัดเคือง
๒. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เป็นสังโยชน์เบื้องสูง เป็นอย่างละเอียด เป็นไปแม้ในภพอันสูง ได้แก่
๖.รูปราคะ = ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณีต, ความปรารถนาในรูปภพ
๗.อรูปราคะ = ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม, ความปรารถนาในอรูปภพ
๘.มานะ = ความสำคัญตน คือ ถือตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่
๙.อุทธัจจะ = ความฟุ้งซ่าน
๑๐.อวิชชา = ความไม่รู้จริง, ความหลง
เมื่อละสังโยชน์ ๑๐ ได้คือพระนิพพาน หรือ อรหันตผล
จะเห็นว่าคำว่า สักกายทิฏฐินั้น คือ ความเห็นว่าเป็นตัวของตนเป็นความเห็นผิดซึ่งต้อง
เข้าใจให้ถูกเพื่อจะละสังโยชน์ข้อต่อไปได้ นั่นคือ เข้าใจเรื่องอัตตากับอนัตตานั่นเอง
นั่นคือเข้าใจผิดว่า ขันธิ๕คือ ตัวตน นั่นคือ อัตตา
ว่าด้วยกรรมที่อนัตตากระทำจะถูกต้องอัตตา
[๑๙๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง ได้เกิดความปริวิตกแห่งใจขึ้นว่า ท่านผู้เจริญ
ทั้งหลาย ได้ยินว่า ด้วยประการดังนี้แล รูปเป็นอนัตตา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น
อนัตตา กรรมที่อนัตตากระทำ จักถูกต้องอนัตตาคือกรรมได้อย่างไร? ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค
ทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของภิกษุนั้นด้วยพระทัยแล้ว ได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่โมฆบุรุษบางคน ในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจอวิชชา มีใจถูกตัณหา
ครอบงำ จะพึงสำคัญสัตถุศาสน์ ว่าเป็นคำสอนที่ควรคิดให้ตระหนักว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ได้ยินว่า ด้วยประการดังนี้แล รูปเป็นอนัตตา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนัตตา
กรรมที่อนัตตากระทำ จักถูกต้องอนัตตาคือกรรมได้อย่างไร? นี้เป็นฐานะที่จะมีได้. ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เธอทั้งหลาย อันเราได้แนะนำไว้แล้ว ด้วยการทวนถามในธรรมนั้นๆ ในบาลีประเทศ
นั้นๆ จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่เที่ยง
พระเจ้าข้า.
พ. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตาม
เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เพราะเหตุนั้นแล ฯลฯ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมทราบ
ชัดว่า ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฉะนี้แล.
จากที่คัดมาอ่านจะเห็นว่า
คำว่า อัตตาและอนัตตาที่ในพระสูตร จะอธิบาย เรื่อง ขันธ ๕ เท่านั้น
อัตตาคือเห็น ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นตัวตน เป็นความเห็นผิต
อนัตตาคือเห็น ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ตัวตน เป็นความเห็นที่ถูกต้อง
ส่วนเรื่องนิพพานเป็นอนัตตาหรืออัตตาไม่เห็นจะมีข้อความใดอ้างอิงจากตรงนี้
จะสามารถตีความไปถึงนิพพานได้ เพราะธรรมะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจะใช้
หลักตรรกะวิทยาใด ๆ มาเทียบเคียงไม่ได้ ต้องพิสูจณเท่านั้น ท่านให้พิจารณาแค่สักกายทิษฐิให้ผ่าน
ก่อนแล้วค่อยละสังโยชน์ ๑๐ ต่อไปแล้วหมดสิ้นแล้ว จะรู้เองว่านิพพานเป็นอย่างไร
มาทำความเข้าใจเรื่องอัตตา กับ อนัตตาในที่นี่ก็ดีครับ ท่านใดมีความเห็นว่าผมยังเข้าใจไม่ตรงนัก
จะได้ช่วยแก้ไขด้วย
อ้างอิงมาจาก พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน
๑๐. ปุณณมสูตร
#11
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 01:41 PM
ที่มาร่วมให้คำชี้แนะในเรื่องอัตตา และอนัตตา
อนัตตาคือเห็น ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ตัวตน เป็นความเห็นที่ถูกต้อง
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#12
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 02:51 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#13
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 03:19 PM
น่าจะเอาเวลาที่เถียงกันมาปฏิบัติ มาศึกษาให้รู้กันจริงๆดีกว่า
#14
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 04:30 PM
#15
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 06:06 PM
#16
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 06:16 PM
อัตตาคือตัวผม



#17
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 08:33 PM
ด้ายเส้นเดียว .........ไม่เป็นผืนผ้า
อิฐก้อนเดียว .... ไม่เป็นบ้านเรือน
ทำบุญคนเดียว ...ไม่เป็นกัลยาณมิตร
#18
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 09:36 PM
#19
โพสต์เมื่อ 29 September 2006 - 10:04 PM
คนเราก็เช่นนี้แหละ เมื่อยังไม่ได้ธรรมจักขุ กิเลสก็ชักจูงให้เห็นผิดกันได้
อนัตตา + ความยึดมั่นถือมั่น = อัตตา (มิจฉาทิฐิ เข้าหลักทิฐิ ๖๒ เป็นอุเฉททิฐิ)
อัตตา + ความยึดมั่นถือมั่น = อัตตา (มิจฉาทิฐิ เข้าหลักทิฐิ ๖๒ เป็น สัสตทิฐิ)
อัตตา + ความไม่ยึดมั่นถือมั่น = อนัตตา (เกิดปัญญาเห็นความจริงด้านโลกีย์วิสัยคลายความเห็นผิดได้ เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นจึงเข้าใจว่าอัตตา ที่แท้คือ อนัตตา ตามความจริงในที่สุด)
อนัตตา + ความไม่ยึดมั่นถือมั่น = หลุดพ้น เป็นพระอรหันต์ ไปพบความรู้ภาค โลกุตรธรรมเรื่อยไป
พิจารณาขันธ์ทั้ง ๕ ออกเป็นกองๆ เราก็จะทราบว่า ขันธ์๕ ตกอยู่ในกระแสพระไตรลักษณ์ จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นใดๆ เราไปปฏิเสธว่า ไม่ตัวไม่มีตนเลยไม่ได้ ที่เห็นเป็นตัวเป็นตนน่ะ มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนต่างหาก
ขอให้ได้ธรรมจักขุ กันทุกคน