นาฏกรรมเมืองหลวง
หลวงเมือง
ฝันร้าย
ศรัทธาเกลียดกลัวชายแก่คนหนึ่งจับใจไม่รู้จักหาย ปีหนึ่งพี่ชายอายุครบบวชไปบวช เขาเป็นลูกศิษย์หิ้วปิ่นโตสะพายย่ามติดหลังพระพี่ชายที่บิณฑบาตโปรดสัตว์ถึงบ้านโยมพ่อแม่ที่ตลาดพลู โดยข้ามประตูน้ำภาษีเจริญผ่านวัดปากน้ำขณะนั้นหลวงพ่อวัดปากน้ำยังมีชีวิตอยู่ และกำลังแจกพระวัดปากน้ำรุ่นแรกด้วยมือของท่านเองแก่ชาวบ้านธรรมดาที่ถวายปัจจัยตามมีตามเกิด
แต่วัดนี้ผู้ใหญ่เล่าว่าตั้งแต่หลวงพ่อเป็นเจ้าอาวาสท่านตั้งโรงครัวเลี้ยงพระเณรชีเด็กวัดและผู้ที่ไปปฏิบัติธรรมตลอดมา คนนั่งเรือไอเรือแท็กซี่เรือจ้างผ่านวัดย่ำรุ่งจะเห็นโรงครัวมีไฟสว่าง
และเมื่อหลวงพ่อสร้างศาลาการเปรียญหลังแรก ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานในพิธีเปิดโดยนั่งรถยนต์มาจอดที่ถนนเทอดไทหน้าวัดขุนจันทน์แล้วเดินบนสะพานไม้โย้เย้ข้ามคลองด่านผ่านวัดอัปษรสวรรค์หรือวัดหมูไปวัดปากน้ำ หลังจากนั้นไม่นาน สะพานข้ามคลองหน้าวัดขุนจันทน์กับวัดหมูก็สร้างใหม่ยังอยู่จนทุกวันนี้ โดยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นจากเรือไม่ให้ลอดสะพาน คนบนสะพานเบียดกันมากแต่ไม่มีใครเป็นอันตรายทั้งที่สะพานนั้นสูง
ลือกันว่าท่านจอมพลได้บอกบุญให้ท่านขุนนิรันดรชัย สร้าง จึงมีชื่อว่า "สะพานนิรันดรอุทิศ" จึงแจ้งมายังท่านทั้งปวงที่ได้เดินข้ามสะพานนี้ด้วยความสุขได้อนุโมทนาในกุศลแด่ท่านจอมพล ป. ด้วย
พระพี่ชายของศรัทธาแบ่งภัตตาหารที่มีผู้ถวายส่วนหนึ่งให้เขานำไปให้ลุงโห้ ชายแก่ที่ศาลาท่าน้ำ
เย็นวันหนึ่งขณะที่พระสงฆ์ลงโบสถ์ทำวัตร ศรัทธาไปยืนดูเรือแล่นผ่านศาลา นึกอยู่ว่าถ้าเรือจ้างผ่านมาแล้วเขาเรียกให้แวะรับก็จะได้กลับบ้านไปหาพ่อแม่ กำลังคิดถึงบ้านเพลินๆ ฝนตกหนัก มองไปแทบไม่เห็นเรือและบ้านฝั่งตรงข้าม ต้นพิกุลที่ลานวัดถูกลมพัดแรงจนกิ่งไกวสะบัดราวกับจะหัก
ทันใดนั้นมีชายหนุ่ม 3 คนเดินเข้ามาประชิดข้างหลัง เขารู้สึกตัวหันไป ชายคนหนึ่งถามว่ามึงเป็นลูกศิษย์พระกิมอุ่นใช่ไหม แล้วรุมชกต่อยเขาตะโกนว่า ผมไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงพี่กิมอุ่น ผมเป็นลูกศิษย์พระสุพล พวกนั้นไม่ฟังยังชกต่อยต่อไป ศรัทธาเห็นลุงโห้นั่งที่มุมศาลาจึงวิ่งไปหา ร้องว่าลุงโห้ช่วยด้วย แล้วเขาก็ผงะเพราะลุงโห้ยกเท้าถีบเขากระเด็นกลับไปหาชายหนุ่มพาลเกเรพวกนั้น พร้อมทั้งหัวเราะลั่น
เขาถูกมือเท้าของพวกมันจนสลบ
ศรัทธารู้สึกตัวในกุฏิของหลวงพ่อฮั้วซึ่งเป็นหมอ ซึ่งทายาและให้กินยาแก้ปวด พระพี่ชายไม่รู้เรื่องที่แท้จริง แต่ท่านก็ขู่ว่า ถ้ารู้ว่าเขาเป็นผู้ก่อเหตุจะเฆี่ยนและไล่กลับบ้านก่อนท่านสึก ส่วนศรัทธาคิดว่าเขาพูดอะไรไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร ส่วนลุงโห้ขู่เขาว่าบอกพระพี่ชายจะฆ่าให้ตาย
ศรัทธารู้สึกว่าเกิดมาเขาไม่เคยเกลียดกลัวใครเท่าลุงโห้
ต่อมาลุงโห้ไปมีเรื่องกับโยมของพระภิกษุรูปหนึ่ง โดยไปก้าวก่ายสั่งสอนเรื่องอาหารที่นำมาทำบุญจนโยมโกรธให้คนแบกถาดอาหารที่จะถวายเพลกลับบ้าน ตกลงวันนั้นพระรูปนั้นอดเพล พระผู้ใหญ่เห็นว่าลุงโห้จุ้นจ้านจึงให้ออกจากวัด แต่หัวใจของศรัทธายังเป็นแผลเพราะแกตลอดมา ต่อมาศรัทธามีลูกเข้าโรงเรียนได้แล้ว เขาคิดว่าควรมีรถยนต์รับส่งลูก ภริยาก็เห็นด้วย
วันหนึ่งขณะที่เขาขับรถกลับจากรับลูกที่โรงเรียน กลางทางมีรถตามหลังมาอย่างเร็วและส่ายไปมาหาทางแซงเขาคิดว่าคนขับเมาแน่ รถคันนั้นแซงขวาขึ้นหน้าแล้วหักเข้าเลนซ้ายทันที เขาเห็นรถคันนั้นชนจักรยาน 2 ล้อกระเด็นเข้าไปในดงหญ้าริมถนน ส่วนรถของเขาตกคูและพลิกคว่ำ
เขารู้สึกตัวที่โรงพยาบาล ลูกบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ คนถีบจักรยานบาดเจ็บสาหัส หาว่าเขาขับรถตามหลังด้วยความเร็วและพุ่งเข้าชนจักรยานที่หักหลบโดยยอมตกคูข้างทางแต่ไม่ทัน เมื่อศรัทธามีสตินึกถึงเหตุการณ์ได้จึงถามว่ารถคันที่ชนจักรยานไปไหน ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง
ศรัทธาคิดว่าคนขี่รถจักรยานคงไม่ได้ใส่ร้ายเขา เพราะแกถูกชนข้างหลังตกถนนสลบ แต่ศรัทธาก็แย่เพราะรถซึ่งซื้อผ่อนส่งมาไม่นานพังยับเยิน ค่ารักษาก็มาก คนถีบจักรยานเรียกค่าเสียหายนับแสน
เขายอมเป็นความสุดแท้แต่ศาลจะตัดสิน แต่ได้จำนองบ้านกับคำรณเพื่อนเก่าที่รักกันมาตั้งแต่เด็กๆ คำรณบอกเมียของศรัทธาว่ารับจำนองไม่คิดดอกเบี้ย เพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ เวลาที่ป่วยไข้เป็นซางเป็นโรคตาแดง พ่อของศรัทธาก็กวาดยาพ่นตาให้ เป็นฝีก็สูนฝีให้ทุกครั้ง ศรัทธาภูมิใจที่มีเพื่อนที่ร่ำรวยและไม่ลืมเพื่อนเก่า คุยอวดเมียทุกวัน ด้วยศรัทธาไม่รู้ว่าคำรณคิดจะยึดบ้านเขา
ต่อมา มีหญิงกลางคนชื่อคุณนายลินจงเป็นผู้ถือสัญญาเงินกู้ของคำรณ บอกว่าคำรณย้ายไปต่างจังหวัดได้ขายสัญญาเงินกู้ให้แก ศรัทธาขาดส่งดอกพ้นกำหนดมาหลายปี จะต้องยึดบ้านและที่ดินให้ย้ายออกไปภายใน 1 เดือน ไม่เช่นนั้นจะเผา
ศรัทธาไปหาคำรณที่บ้านบางพูน ซึ่งเป็นบ้านเก่านั้นเองมิได้ย้ายไปไหน คำรณไม่เต็มใจให้ศรัทธาพบ เมื่อจำเป็นก็ออกมายืนพูดด้วยที่หน้าบ้าน ทีแรกศรัทธาจำไม่ได้เพราะเห็นเป็นคนแก่ๆ ที่คุ้นหน้าอย่างมาก แล้วก็เห็นเป็นลุงโห้ก้าวช้าๆ ออกมา ท่าทางหยิ่งผยองและ####มโหด แต่เห็นเพียงพริบตาเดียว
แล้วกลับเป็นคำรณเพื่อนเก่าตามเดิม
คํารณพูดว่าตนยากจนลงมากเพราะภริยาเสียพนันหลายล้าน ถ้าไม่มีใช้หนี้จะถูกฆ่า จึงต้องขายใบกู้ทั้งหมดให้คนที่ร่ำรวยเพื่อนำใช้หนี้
"คุณคงเห็นใจผม เพราะผมไม่เคยคิดดอกเลยสักสลึงเดียวตั้งหลายปี จริงละพ่อคุณเคยกวาดยาพ่นตาแดงให้ผม แต่ก็คิดเงินครั้งละสลึง ไม่ได้มีพระเดชพระคุณแก่กัน พ่อผมเสียอีกยังมีบุญคุณต่อพวกคุณ"
"พ่อเราน่ะรึคิดค่าพ่นตากวาดยาเด็กครั้งละสลึง" ศรัทธาเสียงสั่น "ถ้าพ่อผมคิดค่ารักษาโรคอะไรแก่ใครก็ตามแม้แต่สตางค์เดียว เวลาที่ผมจะตายขอให้จงตายด้วยความทรมานที่สุด แต่ถ้าไม่คิดเงินใครเลยก็ขอให้เวลาผมตายขอให้ตายอย่างมีสติ"
ชายทั้ง 2 มองหน้ากัน แต่ศรัทธาไม่รู้จนนิดเดียวว่าเพื่อนเก่าของเขาเป็นอะไร แต่มองทีไรก็เห็นหน้าเหมือนลุงโห้ทุกที
amitabha
เป็นสมาชิกตั้งแต่ 04 Nov 2006ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Nov 04 2006 12:45 AM