ผู้ใดไม่มีสิ่งอันเป็นที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีความทุกข์ เรากล่าวว่าผู้นั้น ไม่มีความเศร้าโศก ปราศจากกิเลสดุจธุรี ไม่มีอุปายาสคือ ความตรอมใจ ความกลุ้มใจ โบราณท่านสรุปเป็นข้อเตือนใจไว้ว่า "มากรัก ก็มากน้ำตา หมดรัก ก็หมดน้ำตา มากรักก็มากทุกข์ หมดรักษ์ ก็หมดทุกข์"
พวกเรา ปุถุชนทั่วไป แม้ยังไม่สามารถตัดรักได้เด็ดขาด แต่ถ้าหมั่นทำ สมาธิ เจริญมรณานุสติเป็นประจำ ก็จะทำให้ ความรัก มามีอิทธิพล เหนือใจเราไม่ได้มาก มีสติ มีความเด็ดเดี่ยว ก็จะมีจิตโศกน้อยกว่าคนทั่วไป อาการ ไม่หนักหนาสาหัสนัก เพราะนึกถึง ความตายแล้ว ทำให้ใจคลายออกจาก รัก ซึ่งเป็นต้นทางของความโศก พอคิดว่า เราเองก็ต้องตาย จะตายเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ เท่านี้ ก็เริ่มจะได้คิด ความโศก ความรักเิริ่มหมดไปจากใจ มีสติ มาพิจารณาตนเอง ไม่ประมาท ขวนขวายในการสร้างความดี จากนั้น ตั้งใจเจริญสมาธิ ภาวนาเต็มที่ ก็จะสามารถทำนิพพานให้แจ้งได้ และตัดความรัก ตัดความโศก ออกจากใจ ได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด
ข้อเตือนใจ
"ความโศก ความร่ำไร ความทุกข์" อันมากมายอย่างนี้ อยู่ในโลก ก็เพราะ อาศัยสัตว์ หรือ สังขาร อันเป็นที่รัก เมื่อไม่มีสัตว์ สังขาร อันเป็นที่รัก ความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ เหล่านี้ย่อมไม่มี
ผู้ใด ไม่มีสัตว์ หรือ สังขาร อันเป็นที่รักในโลกไหน ๆ ผู้นั้น ย่อมเป็นผู้มีความสุข ปราศจากความโศก เพราะเหตุนั้น ผู้ใดปรารถนา ความไม่โศก อันปราศจาก กิเลสดุจธุรีแล้ว ไม่พึงทำสัตว์หรือ สังขารใด ๆ ในโลกไหน ๆ ให้เป็นที่รักเลย....
จั๊ว
เป็นสมาชิกตั้งแต่ 15 Nov 2005ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Sep 02 2015 09:38 PM