ไปที่เนื้อหา


เด็กนอกวัด

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 06 Jan 2009
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Nov 02 2009 01:37 PM
-----

กระทู้ที่ฉันเริ่ม

“อ๊อด คีรีบูน” ความเป็นซูเปอร์สตาร์ ไม่ได้ให้อะไร.

02 September 2009 - 09:19 AM

<a href="http://2.bp.blogspot.com/_db6znip3RMM/Sp3V8XjNpKI/AAAAAAAAIqQ/b9SS7SMn41Q/s1600-h/v.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 268px;" src="http://2.bp.blogspot.com/_db6znip3RMM/Sp3V8XjNpKI/AAAAAAAAIqQ/b9SS7SMn41Q/s400/v.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5376688763240817826" /></a>


“อ๊อด คีรีบูน” ต้นตำรับบอยแบนด์รุ่นเดอะ จากเด็กหนุ่มคลั่งในเสียงเพลง ก้าวสู่การเป็นซูเปอร์สตาร์ เจ้าของต้นตำรับบทเพลง “รอวันฉันรักเธอ” ผู้ที่มีเสียงอันไพเราะนุ่มลึกจนได้ฉายาลูกคอ 7 ชั้นแห่งวงการเพลงไทยยุค 80 “อ๊อด รณชัย ถมยาปริวัฒน์” หรือที่รู้จักกันในนาม “อ๊อด คีรีบูน”ดังเกินจนหวิดตายเพราะแฟนเพลงมาแล้ว หลังประสบปัญหารายได้สวนทางความดัง ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากวงการ ก้าวสู่เส้นทางความฝันทำธุรกิจสื่อการเรียนการสอน และยังมีความฝันต่อ อยากปฏิรูปการศึกษาไทยให้ดีกว่าเดิม

“สิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจเลิกจริงๆ คือคำๆนึงที่พระอาจารย์ที่ผมนับถือพูดกับผมว่า อ๊อดนี่ด้านนึงก็เป็นคนดีนะ ทำให้คนมีความสุข แต่อีกด้านนึงมันคือทำให้คนหลง โอ้โห...คำนี้เหมือนเอามีดมาปักลงไปในกลางใจ แบบค่อยๆทิ่มค่อยๆลึกเข้าไปตรงกลางใจ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเหตุผลนึง ที่ทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายๆเลยว่า จะเลิก อยากเลิกแล้ว”

“เดี๋ยวมันจะเหมือนอ๊อด คีรีบูนในยุคนึง ที่พอขึ้นไปแล้วมันถึงรู้ว่า มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ศิลปินทุกวันนี้คุณควรลองกลับไปถามตัวคุณเองว่า คุณมีความสุขจริงกับการที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้หรือเปล่า ใครก็อยากจะเป็นซูเปอร์สตาร์กันทั้งนั้น แต่เราต้องเป็นในสิ่งที่เราได้เป็นตัวเอง และมีความสุขกับสิ่งที่ทำไปพร้อมๆกัน”



ที่มา : http://www.manager.c...e...7046&Page=1


ขอถามหน่อย

26 August 2009 - 12:11 PM

คนที่ทำหน้าที่ในการ แต่งกลอนเพื่อใช้ในพิธี
....งานบวชพระและเวียนประทักษิณ (บวชพระ 12,000 รูป)...
ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อานิสงค์อะไร?

ขอถามท่านผู้รู้หน่อยเถอะค่ะ อยากรู้จริง ๆค่ะ



เด็กนอกวัด

อานิสงส์ของการบรรพชาและอุปสมบท

20 August 2009 - 02:58 PM

<a href="http://3.bp.blogspot...71355.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 304px;" src="http://3.bp.blogspot...0/P7071355.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5371951744094427090" /></a>
<a href="http://2.bp.blogspot...53926.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 304px;" src="http://2.bp.blogspot...s400/53926.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5371951887549185586" /></a>
<a href="http://4.bp.blogspot...acha9.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 304px;" src="http://4.bp.blogspot.../komdacha9.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5371951572658842066" /></a>


อานิสงส์ของการบรรพชาและอุปสมบท

(คัดมาจากบาลีฉบับภาษารามัญ (มอญ) จากสุบินกุมารชาดก)
แปลโดยพระมหาช่วง อู่เจริญ


ทาสี ทาสา ฉกปฺปานิ สามเณราฯ สเจ ปพฺพชา ทฺวาทส กปฺปานิฯ เต ภยกาลภิสฺ สนฺติฯ อญฺเญชนา ปตฺตํเอว สามเณรา อฏ.ฐ กปฺปานิ โสรส ปพฺพชา มาตาปิตุ ลภติฯ อญฺเญ ปตฺโต มํสเอว จตุกปฺปานิ สามเณราฯ สเจ ปพฺพชา อฏ.ฐ กปฺปานิ เตทานกา ลภติฯ ภริยา ลภติ สามเณรา โสรส กปฺปานิฯ สเจ ปพฺพชา ทวตฺติสํ กปฺปานิ เต ภริยา ลภิสฺสนฺติฯ โย ปุคฺคโล จตุตฺนํเมว ทฺวตฺตึส กปฺปานิ สามเณราฯ สเจ ปพฺพชา จตุสฏ.ฐี สกปฺกานิ ลภติฯ

คำแปล

บุคคลใดมีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทาสหญิงทาสชาย ของตน และของคนอื่นด้วยได้อนุญาตและเป็นเจ้าของเจ้าภาพบวชให้ ถ้าบวชเป็นสามเณร เจ้าภาพจะได้อานิสงส์ 6 กัป ถ้าได้บวชเป็นพระ เจ้าภาพจะได้อานิสงส์ 12 กัป ชนบางจำพวกไม่มีบุตร ขอบุตรคนอื่นแล้วตัวเองเป็นเจ้าภาพบวช ถ้าบวชเป็นสามเณร ได้รับอานิสงส์ 4 กัป ถ้าได้บวชเป็นพระ ได้รับอานิสงส์ 8 กัป ชนเหล่าใดได้รับอนุญาตให้บุตรของตนบวช ถ้าบวชเป็นสามเณร ได้รับอานิสงส์ 8 กัป ถ้าบวชเป็นพระได้รับอานิสงส์ 16 กัป ชนเหล่าใดได้อนุญาตให้ภริยาของตนบวช ถ้าบวชเป็นสามเณรี ได้รับอานิสงส์ 16 กัป ถ้าบวชเป็นภิกษุณี ได้รับอานิสงส์ 32 กัป ชนเหล่าใดได้มีจิตเลื่อมใส แบบญาณะสัมปะยุต ผุดขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครชักชวน ถ้าบวชเป็นสามเณร ได้รับอานิสงส์ 32 กัปป์ ถ้าบวชเป็นพระ ได้รับอานิสงส์ 64 กัป


คำอรรถาอธิบายคำว่า กัปป์ ยาวนานเท่าไร

เอวกปฺปํ ตึสปมานํ ฑีฆโส ปพฺพตํ เอกโยชนํ ฯ จตุวิทฺฐํ วิตฺถานญฺจ ตเทวจ ทิพฺพวตฺถํ ฯ ตสฺสสตํ จุนํกตฺวาฯ ปพฺพตํ ปิสมํภูมิฯ เอกปฺปนฺติ จุจฺจติฯ

คำแปล

อานนฺท ดูกรอานนท์ คำว่า 1 กัปป์นี้ ยาวนานแสนนานเหลือที่จะคณานับได้ มีคำอุปมาดังต่อไปนี้ ภูเขา 1 ลูก หนา 400 เส้น กว้าง 400 เส้น สูง 400 เส้น ภูเขาลูกนี้เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส รวมเป็น 4 โยชน์ เมื่อครบ 100 ปี มีบุรุษผู้หนึ่งเอาผ้าทิพย์สีขาวอ่อนนุ่มมาเช็ดภูเขาลูกนี้สักหนึ่งครั้ง

ขออนุโมทนาบุญกับผู้ที่กำลังจะบวชทุกท่านนะคะ
smile.gif เด็กนอกวัด laugh.gif



พิณเปี๊ยะเครื่องดนตรีแห่งสรวงสวรรค์

18 August 2009 - 04:29 PM

<div align="left"><a href="http://2.bp.blogspot...cover.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5371212650388113458" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 290px; CURSOR: hand; HEIGHT: 400px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="http://2.bp.blogspot...ta10-cover.jpg" border="0" /></a>

อุ้ยบุญมา ไชยมะโน (2465-2548) ครูเพลงเปี๊ยะ อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง
พ่อครู พิณเปี๊ยะ คนสุดท้าย ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว


พิณเปี๊ยะเครื่องดนตรีแห่งสรวงสวรรค์ของลานนา

กล่าวกันว่า "พิณเปี๊ยะ" หรือ "เปี๊ยะ" เป็นเครื่องดีดตระกูลพิณที่ไพเราะ เสียงเบา และ เล่นยากที่สุดอย่างหนึ่งในบรรดาเครื่องดนตรีทั้งหมดทั้งมวล ช่างดนตรีทางเหนือพูดเปรียบเปรยให้เข้าใจได้ง่ายว่า "หัดเปี๊ยะ 3 ปี หัดปี่ 3 เดือน" ก็เพราะการจะบรรเลงให้ได้ดีนั้น ต้อง ใช้เทคนิคและความชำนาญเป็นอย่างมากผู้หัดจำต้องมีพื้นฐานทางดนตรีที่ดีมาก่อน การดีดต้องดีดด้วยเทคนิคพิเศษที่เรียกว่า "ป๊อก" เพื่อให้เกิดเสียง คม ใส ดังก้องกังวาลนานกว่าเสียงธรรมดา ไม่เพียงมีวิธีดีดที่พิเศษ เปี๊ยะยังมีโครงสร้างของระบบเสียงที่พิเศษอีกด้วยคือ เสียงที่เกิดจากการ "ป๊อก" จะส่งผ่านตามสายไปยังหัวเปี๊ยะ แล้วไหลผ่าน ตามสายมายังกล่องเสียงซึ่งทำจากกะลามะพร้าวผ่าครึ่งที่แนบอยู่กับหน้าอกผู้เล่น คลื่นเสียงจะผ่านอากาศในช่องของกล่องเสียง ไปสะท้อนกับแผ่นอกผู้เล่น แล้วสะท้อนออกมาทางช่องว่างระหว่างกะลากับหน้าอก ผู้เล่นต้องปรับขนาดช่องว่างนี้ด้วยมือซ้ายเพียง มือเดียว เพื่อให้ได้น้ำเสียงที่นุ่มนวลและทุ้มแหลม หนัก-เบา หรือโทนเสียงต่างๆได้อย่างต่อเนื่อง


เล่าขานตำนานพิณเปี๊ยะ

จากคำบอกเล่าของ อุ้ยบุญมา ไชยมะโน (2465-2548) ครูเพลงเปี๊ยะ อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง พ่อครู พิณเปี๊ยะ คนสุดท้าย ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว "ในสมัยก่อน ในส่วนของพิณ ถ้าอู้เข้าเข้าไปลึกๆ ก็คือเฮาจะได้ฮีตได้ฮอย มาจากของตางอินเดีย ก็คือมันจะเป็นพิณน้ำเต้า แล้วมันก็จะพัฒนามาเป็นสองสายหรือเฮาจะฮ้องว่าพิณเปี๊ยะ เพราะกับกำว่าพิณมันก็คือการจั้กสาย แล้วก็เป็นเครื่องสาย หรือว่าเครื่องดีด ละก้อเปี๊ยะก็คือการอวดเนี้ยะ เพราะฉะนั้นในส่วนการได้ฮีตได้ฮอยจากอินเดียมา เฮาก็จะหันได้ว่ามันคงจะมีการพัฒนามาเรื่อยๆ แล้วก็คนในสมัยตะก่อน เปิ้นก็ว่ากันว่าจะใจ้ในส่วนของพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ถ้าเฮากึ้ดย้อนนึกไปสมัยตะก่อน ในการตี้หัวของพิณเปี๊ยะทำด้วยสำริด มันก็จะต้องเป็นคนตี้ เป็นผู้ที่มีอำนาจ หรือว่าเป็นคนตี้อยู่ในศาสนาหรือคนจั้นสูง ถ้าจะมีหัวตี้เป็นสำริด แล้วก็สร้างขึ้นมาได้ แล้วแถมอย่างหนึ่งเปิ้นก็บอกว่า อาจจะเล่นในพระราชวังต่างๆ แล้วอยู่ต่อมา สืบทอดต่อๆ กันมาเรื่อยๆ อาจจะตกอยู่ใน สังคมของชนชั้นเจ้า แล้วก็ลงมาเรื่อยๆ ถอยมาเรื่อยๆ อาจจะเป็นสังคมที่สืบทอดจากเจ้ามาสู่คนธรรมดา ละก็มีว่ากันว่า เปิ้นก็ได้เอาพิณเปี๊ยะเนี้ยะ ไปเล่นแอ่วสาวเหมือนกัน เพราะว่าพ่ออุ้ยแปง นวลจา เปิ้นก็ได้เกยอู้ไว้ว่าพิณเปี๊ยะในสมัยตะก่อนเปิ้นก็เกยหัดเล่น เปิ้นก็เอาไปเล่นแอ่วสาวตามบ้านตามจองต่างๆ ละก้อ ช่วงจากป้ออุ้ยแปง นวลจา รู้สึกว่ามันก็จะหายไป แล้วก็มีการฟื้นกันขึ้นมาใหม่"...

ชาวล้านนาสมัยก่อนเรียกพิณเปี๊ยะ (เอกสารโบราญสมัยกรุงศรีอยุธยาเรียกพเยีย บางเล่มเรียก เพลี้ย, เพียะ) สั้นๆว่า “ เปี๊ยะ ” ในภาษาเหนือแปลว่า อวด หรือ เทียบเชิง คนที่เล่นเปี๊ยะได้จะดูโก้เก๋มากกว่าคนที่เล่นดนตรีพื้นๆ อย่างสะล้อ ซอ ซึง เวลาเล่นแต่ละครั้งจึงเหมือนเล่นอวดกัน เป็นการเล่นประชันขันแข่ง จึงทำให้สันนิษฐานกันว่า ชื่อ “ พิณเปี๊ยะ ” หรือ “ เปี๊ยะ ” อาจจะมีที่มาด้วยเหตุนี้ก็ได้ ส่วนใครเป็นคนคิดประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรก ไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันแน่ชัด ได้แต่สันนิษฐานกันว่าพิณเปี๊ยะพัฒนามาจากพิณน้ำเต้าที่พวกพราหมณ์ เป็นผู้ทำขึ้นเล่นก่อน เพื่อประกอบการสวดโองการอ่านภควัตคีตา ต่อมาพราหมณ์ได้เผยแพร่เข้าสู่สุวรรณภูมิเมื่อประมาณพันกว่าปีมาแล้ว ดนตรีชนิดนี้จึงติดตามเข้ามาด้วยไม่ว่าจะเป็นที่รัฐฉานของประเทศพม่า ประเทศเขมร ภาคเหนือตอนบนของไทย แม้กระทั่งในกรุงศรีอยุธยาเองก็มีหลักฐานยืนยันว่ามีการเล่นพิณเปี๊ยะมาก่อน ช่วง ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา แทบจะไม่ปรากฏว่ามีการเล่นพิณเปี๊ยะในแถบภาคกลางและภาคอีสานอีกเลย แต่ยังคงเล่นอย่างแพร่หลายในภาคเหนือมาจนถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ระบบเศรษฐกิจและวัฒนธรรมจากภายนอกไหลบ่าเข้ามาแทนที่ วิถีชีวิตแบบสังคมเกษตรกรรมในชนบทเริ่มเปลี่ยนแปลงไป พิณเปี๊ยะเริ่มหายไปเพราะไม่ค่อยมีใครหัดหรือทำขึ้นมาเล่นอีก


ลักษณะของพิณเปี๊ยะ

พิณเพียะลักษณะคล้ายพิณน้ำเต้าแต่พิณเพียะทำเพิ่มขึ้นเป็น ๒ สาย และ ๔ สายก็มี คันทวนยาวประมาณ ๑ เมตรเศษ ลูกบิดก็ยาวประมาณ ๑๘ ซม. ใช้เชือกคล้องสายผูกโยงไว้กับทวนสำหรับเร่งเสียงเหมือนกับพิณน้ำเต้า กะโหลกก็ทำด้วยเปลือกลูกน้ำเต้าตัดครึ่งลูกก็มี ทำด้วยกะลามะพร้าวก็มีเวลาดีดก็เอากะโหลกประกบติดไว้กับหน้าอกขยับเปิดปิดเพื่อให้เกิดเสียงก้องกังวานตามต้องการเช่นเดียวกับดีดพิณน้ำเต้า ตามที่ปรากฏในท้องถิ่นภาคเหนือผู้เล่นมักจะดีดคลอขับร้องของตนเองและนิยมเล่นในขณะที่ไปเที่ยวเกี้ยวสาวตามหมู่บ้านในเวลาค่ำคืน เดี๋ยวนี้หาผู้ที่เล่นได้ยากแล้วแต่ยังพอมีพี่น้องชาวไทยทางภาคเหนือของประเทศไทยเล่นได้บ้าง ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมีเครื่องสายชนิดหนึ่งบอกไว้ว่า พิณเพียะ แต่ใช้ไม้จริงชนิดเบาทำเป็นกะโหลก ยาวตั้งแต่กะโหลกจนตลอดคันทวนประมาณ ๑.๒๒ เมตร แกะสลักฝังงาลงไปในเนื้อไม้เป็นลวดลายแพรวพราว ตัวกะโหลกกว้างประมาณ ๒๘ ซม. คันทวนแบนใหญ่กว้างประมาณ ๔๘ ซม. มีสายถึง ๕ สาย


พิณเปี๊ยะเครื่องดนตรีแห่งสรวงสวรรค์...ที่กำลังจะสูญหาย...

เรื่องราวของเครื่องดนตรีล้านนาที่เรียกว่า "พิณเปี๊ยะ" ที่กำลังจะสูญหาย เนื่องจากขาดผู้ที่จะรับสืบทอดหรือเผยแพร่ ทำให้ คุณคำหล้า หรือ “ธัญยพร อุตธรรมชัย” ศิลปินรุ่นใหม่แห่งลานนา เริ่มรณรงค์ผู้ต่อสู้เพื่อที่จะเผยแพร่ ศิลปะวัฒนธรรมล้านนา และเธอได้แต่งเพลงชื่อ เพลง “เพลงพิณเปี๊ยะ” ขับร้องท่วงทำนองด้วยภาษาคำเมืองของภาคเหนือ ประกอบดนตรีบรรเลงด้วย พิณเปี๊ยะ จนกระทั่งได้รับรางวัลพระพิฆเนศทองคำพระราชทาน : สาขา เพลงไทยพื้นบ้านภาคเหนือยอดเยี่ยม (21 มิ.ย. พ.ศ. 2548)

-----------------------------

เพลง “เพลงพิณเปี๊ยะ”
คำร้อง - ทำนอง - ขับร้อง : คำหล้า ธัญยพร



งาม….หนอไหนมาเปรียบปาน
สาย…ลมพริ้วพัดผ่าน
กาสะลองดอกน้อยกลีบบาน
หอมนวลภมวลซาบซ่านดังวิมานเพลงพิณ

ใจ …..ข้าเจ้าถวิล
โบก….โบยบิน.. คิดถึง
บอกเมฆขาว ลมหนาวตราตรึง
เสียงพิณปานสังข์ซาบซึ้ง เฝ้ารำพึงถึงเธอ

****เพลงพิณนี้ดั่งมนต์สวรรค์
มานพหนุ่มน้อยคนธรรพ์แดนสวรรค์ฉิมพลี
ฮ่วมกันบรรเลง เพลงพิณเปี๊ยะตามสายนที
ล่องลอยเหนือห้วงวารีกล่อมโลกนี้ชื่นบาน

...ลม…หนาวครวญแผ่วมา
แว่ว…พิณเปี๊ยะ ลานนา
มวลบุปผาบ่หอมโรยรา
หมอกเหมยเจ้าเย้ยใจข้า จำต้องลาเพลงพิณ ...



ลิ้งฟังเพลง : http://www.tawanyimc...eo/03-kamla.wma

กาญจน์มุนี ศรีวิศาลภพ (ร้อยตะวัน) : เขียน


ที่มาของบทความ : http://proshot4u.blo...og-post_18.html

ตามไปอ่านบทความของพี่ร้อยตะวันมาค่ะ เลยเอามาใส่ในเวป DMC เสียเลย laugh.gif smile.gif laugh.gif

ขอบคุณนะคะ

จาก เด็กนอกวัด laugh.gif