“เป็นเด็กเป็นเล็ก ทำอะไรต้องคอยดูตามผู้ใหญ่ไว้ รู้ไหม” พระอาจารย์มักจะเตือนสามเณรน้อยด้วยประโยคเหล่านี้บ่อยๆ เพื่อให้สามเณรคอยดูพระอาจารย์หรือพระภายในวัดว่าปฏิบัติตัวอย่างไร แล้วจะได้ยึดถือเอาเป็นแบบอย่าง
แต่เหมือนกลายเป็นการสื่อว่าสามเณรก็ไม่ต่างจากเด็กที่จะทำอะไรก็ต้องอาศัยผู้ใหญ่คอยช่วยแนะนำเสมอ จนกลายเป็นความอึดอัดบ้างที่เด็กๆ ต้องมาคอยระวังว่าจะทำอะไรผิด ผิดกับผู้ใหญ่ที่ทำอะไรก็ได้ไม่ผิด นั่นทำให้สามเณรน้อยรอวันที่ตนเองจะได้เป็นผู้ใหญ่กับเขาบ้าง
แต่ก็อดสงสัยเกี่ยวกับคำว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ไม่ได้ จึงต้องปรึกษากับสามเณรปุ้ยสหายธรรมที่สนิทเสียก่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้
“แล้วจะรู้ได้อย่างไรละว่าใครเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่” สามเณรน้อยถามขึ้น
เสียงเกาศีรษะแสดงอาการครุ่นคิดสักครู่ อันเป็นท่าที่สามเณรปุ้ยบอกว่าได้มาจากเณรอิกคิวซังหนังการ์ตูนที่ดูจนติดตา ท่านี้ก็ทำให้คิดอะไรได้เร็วขึ้น จะจริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าจะถามอะไร เวลาสามเณรปุ้ยทำอย่างนี้ต้องได้คำตอบเสมอ
“ก็สังเกตที่สิวสิ เวลาเป็นหนุ่มจะเกิดสิว แล้วก็คอยฟังเสียงตอนดึกๆ” สามเณรปุ้ยตอบอย่างมั่นใจ
“เสียงอะไรหรอ” สามเณรน้อยสงสัย
“เสียงแตกเนื้อหนุ่ม” สามเณรปุ้ยตอบพร้อมอมยิ้ม
สามเณรน้อยพยักหน้าเห็นด้วยกับเรื่องสิว แต่เรื่องแตกเนื้อหนุ่มนี่ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การรอคอยสิวเม็ดแรกในชีวิตของวัยหนุ่มก็เริ่มขึ้น
กระจกดูจะจำเป็นอย่างยิ่งในช่วงนี้ แต่สามเณรน้อยก็เคยถูกตำหนิเรื่องนี้มาแล้วจากพระอาจารย์
“เป็นพระเณรจะใช้กระจกดูไม่เหมาะนะ”
สามเณรน้อยจึงค้นหาอุปกรณ์ทดแทนซึ่งก็ไม่ใช่อะไรอื่นไกล เป็นฝาบาตรที่ใช้อยู่มันสะท้อนพอให้เห็นใบหน้าได้ ถึงจะไม่ดีนักแต่ก็พอถูไถไปได้
แล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลง เมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้น
“ปุ้ยๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงสามเณรน้อยดังมาแต่ไกล
“มีอะไรหรอ เสียงดังมาเชียว เดี๋ยวพระอาจารย์ก็ว่าเอาหรอก” สามเณรปุ้ยบอกเตือน
สามเณรน้อยไม่ได้สนใจ กลับชี้ให้ดูเม็ดบางอย่างที่ขึ้นอยู่บนใบหน้า ก่อนจะพูดด้วยอารมณ์ดี
“สิว ๆๆๆ ดูสิ”
“เออ จริงด้วย หลายเม็ดเสียด้วย ดีใจด้วยนะ” เสียงตอบรับจากสามเณรปุ้ยหลังจากพิจารณาสักครู่
หลังจากนั้นมาสามเณรน้อยได้แต่นั่งยิ้มพร้อมกับจ้องฝาบาตรตลอดเวลา จนพระอาจารย์สงสัยจึงถามขึ้น
“ทำอะไรนะเณร”
“พระอาจารย์ครับผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว” สามเณรน้อยตอบด้วยความภาคภูมิใจ
“แล้วเณรรู้ได้อย่างไร”
“ก็นี่ไงครับ สิวนี่ไงครับ และไม่ใช่ขึ้นเม็ดเดียวด้วย ตอนนี้ขึ้นเพียบเลยครับ” สามเณรตอบพร้อมกับชี้ไปบนใบหน้าด้วยความภูมิใจ
พระอาจารย์เลยจ้องไปที่สิวของสามเณร
“แล้วสิวทำไมขึ้นหลายเม็ดจัง ไหนดูสิ” พระอาจารย์เริ่มสงสัยก่อนจะให้สามเณรน้อยรีบถอดจีวรออก
พอถอดออกก็เห็นเม็ดขึ้นอีกเต็มตัว จึงรู้ว่านี่ไม่ใช่สิวแล้ว ก่อนจะบอกว่า
“นี่ไม่ใช่สิวหรอกเณร แต่เป็นเม็ดอีสุก อีใสต่างหาก”
“อีสุก อีใส!!!” สามเณรร้องขึ้น
“ใช่ เดี๋ยวกินยาแล้วไม่นานก็หาย” พระอาจารย์จึงพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
นั่นนับเป็นประสบการณ์การแตกเนื้อหนุ่มครั้งแรกของสามเณรน้อยอย่างแท้จริง เพราะหลังจากกินยาเข้าแล้ว เม็ดอีสุกอีใสก็แตกเต็มตัวไปหมด กลายเป็นสามเณรที่มีรอยหนุ่มเต็มตัว เพราะแผลเป็นที่เกิดจากอีสุก อีใสนั่นเอง
“การเป็นผู้ใหญ่เขาไม่ได้ดูที่ร่างกายเท่านั้น เขาดูกันที่ความคิดว่ามีเหตุมีผลหรือไม่ เธอยังเด็กจึงไม่รู้จักคิดและไตร่ตรองให้ดี ทำอะไรก็เลยผิดพลาดได้ง่าย” พระอาจารย์เตือน
ชื่อหนังสือ : ผ้าเหลืองเปื้อนยิ้ม ตอน เณรน้อยชวนคิด
ชื่อผู้แต่ง : กิตติเมธี
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: ธรรมะดีดี
สถิติเว็บบอร์ด
- กลุ่ม Members
- โพสต์ 7
- ดูโปรไฟล์ 17836
- อายุ ไม่เปิดเผย
- วันเกิด ไม่เปิดเผย
-
Gender
ไม่เปิดเผย
0
Neutral
เครื่องมือผู้ใช้งาน
เพื่อน
ธรรมะดีดี ยังไม่มีเพื่อนในตอนนี้
ผู้เยี่ยมชมล่าสุด
กระทู้ที่ฉันเริ่ม
แตกเนื้อหนุ่ม
05 August 2009 - 07:03 PM
ภาษาพระ(๑)
09 July 2009 - 05:53 PM
ทุกครั้ง ก่อนจะทำการสนทนากัน สิ่งหนึ่งคือต้องใช้ภาษาเขา ในขณะเดียวกันก็ให้คนสนทนาด้วยเข้าใจภาษาเราด้วย เพื่อเปลี่ยนถ่ายข้อมูลกันได้อย่างถูกต้อง
มีหลายครั้งที่คนไม่เข้าใจภาษาพระ และใช้ตามที่เคยปฏิบัติเป็นประจำ ก็ไม่ผิดอะไรบางครั้งน่ารักดีไปอีกแบบ
มีครั้งหนึ่งมีโยมมาถวายอาหาร ด้วยความที่เป็นเจ้าหน้าที่ทำงานในวังมาโดยตลอด จึงไม่คุ้นเคยกับคำพูดที่ใช้กับพระนัก พอประเคนเสร็จ เธอก็เชิญชวนให้ลองลิ้มรสอาหารทันที
“ลองเสวยดูสิเพคะ”
พระเณรก็ได้แต่อมยิ้ม ไม่รู้มีเชื้อเจ้ากันตั้งแต่เมื่อไร
ที่จริงถ้าจะใช้ให้ถูก คือคำว่า “ฉัน” หมายถึง รับประทานอาหาร
และยังมีอีกครั้งหนึ่งพระอาจารย์แก้วไปสอนสามเณรที่เข้ามาบวชใหม่ๆ ให้รู้จักภาษาที่พระนิยมใช้กัน ก็เลยถามไป
“ใครรู้บ้างพระอาบน้ำใช้คำว่าอะไร”
สามเณรหลายคนพยายามทำท่าคิดแต่ก็ยังไม่รู้จะตอบอะไร
“เรียกว่า สรงน้ำ” เพื่อไม่ให้สามเณรเครียดเกินจำเป็นจึงตอบแทนให้ก่อนจะถามต่อไป
“แล้วพระนอนละใช้อะไร”
สามเณรน้อยรีบยกมือขึ้นก่อนจะลุกขึ้นตอบด้วยความมั่นใจเต็ม ๑๐๐
“หมอนครับ”
พระอาจารย์ถึงกับอมยิ้มก่อนจะถามใหม่ .
“ไม่ใช่ ที่พระอาจารย์ถามหมายถึงพระนอนใช้คำว่าอะไร”
“อ้อ...ครับ แล้วใช้คำว่าอะไรครับ”
“พระนอน เรียกว่า จำวัด”
“กลัวลืมหรือครับ” สามเณรน้อยเริ่มสงสัยกับการใช้คำพระ
...พระอาจารย์เลยต้องอธิบายอีกยาวเลยทีนี้...
“การ จะรู้จักหรือพูดคุยกับใครจำเป็นอย่างยิ่งที่เราควรจะรู้ว่าเขาใช้ภาษาอะไร และชอบพูดกันอย่างไร เพื่อพูดคุยและสอนเขาได้มากขึ้น” เป็นคำที่พระอาจารย์บอกสามเณรไม่ให้ดูถูกภาษา
จากหนังสือ ผ้าเหลืองเปื้อนยิ้ม โดย: กิตติเมธี
มีหลายครั้งที่คนไม่เข้าใจภาษาพระ และใช้ตามที่เคยปฏิบัติเป็นประจำ ก็ไม่ผิดอะไรบางครั้งน่ารักดีไปอีกแบบ
มีครั้งหนึ่งมีโยมมาถวายอาหาร ด้วยความที่เป็นเจ้าหน้าที่ทำงานในวังมาโดยตลอด จึงไม่คุ้นเคยกับคำพูดที่ใช้กับพระนัก พอประเคนเสร็จ เธอก็เชิญชวนให้ลองลิ้มรสอาหารทันที
“ลองเสวยดูสิเพคะ”
พระเณรก็ได้แต่อมยิ้ม ไม่รู้มีเชื้อเจ้ากันตั้งแต่เมื่อไร
ที่จริงถ้าจะใช้ให้ถูก คือคำว่า “ฉัน” หมายถึง รับประทานอาหาร
และยังมีอีกครั้งหนึ่งพระอาจารย์แก้วไปสอนสามเณรที่เข้ามาบวชใหม่ๆ ให้รู้จักภาษาที่พระนิยมใช้กัน ก็เลยถามไป
“ใครรู้บ้างพระอาบน้ำใช้คำว่าอะไร”
สามเณรหลายคนพยายามทำท่าคิดแต่ก็ยังไม่รู้จะตอบอะไร
“เรียกว่า สรงน้ำ” เพื่อไม่ให้สามเณรเครียดเกินจำเป็นจึงตอบแทนให้ก่อนจะถามต่อไป
“แล้วพระนอนละใช้อะไร”
สามเณรน้อยรีบยกมือขึ้นก่อนจะลุกขึ้นตอบด้วยความมั่นใจเต็ม ๑๐๐
“หมอนครับ”
พระอาจารย์ถึงกับอมยิ้มก่อนจะถามใหม่ .
“ไม่ใช่ ที่พระอาจารย์ถามหมายถึงพระนอนใช้คำว่าอะไร”
“อ้อ...ครับ แล้วใช้คำว่าอะไรครับ”
“พระนอน เรียกว่า จำวัด”
“กลัวลืมหรือครับ” สามเณรน้อยเริ่มสงสัยกับการใช้คำพระ
...พระอาจารย์เลยต้องอธิบายอีกยาวเลยทีนี้...
“การ จะรู้จักหรือพูดคุยกับใครจำเป็นอย่างยิ่งที่เราควรจะรู้ว่าเขาใช้ภาษาอะไร และชอบพูดกันอย่างไร เพื่อพูดคุยและสอนเขาได้มากขึ้น” เป็นคำที่พระอาจารย์บอกสามเณรไม่ให้ดูถูกภาษา

จากหนังสือ ผ้าเหลืองเปื้อนยิ้ม โดย: กิตติเมธี
ผ้าเหลืองเปื้อนยิ้ม ตอน เณรน้อยเจ้าปัญหา
08 July 2009 - 05:16 PM
เราเคยคิดกันบ้างหรือไม่? ของทุกอย่าง ถ้าคนใช้ไม่มีอำนาจบุญบารมี ก็ไม่มีทางเก็บรักษาไว้ได้ แม้แต่ร่างกาย ผิวพรรณ ถ้าเราไม่มีบุญบารมีพอ ก็ไม่สามารถรักษาให้งดงามอย่างที่อยากเป็นได้
ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับบุญบารมีทั้งสิ้น จึงไม่แปลกที่ผู้หญิง บางคนแม้อายุมาก ก็ดูอายุน้อยได้ ในขณะที่ผู้ชายบางคนก็ดูมีบารมีมากกว่าอายุที่มี เหล่านี้คือ ความจริงที่เห็นๆ กันได้
สามเณรน้อยต้องไปเรียนหนังสือนอกวัด พอเลิกเรียนจะกลับวัด ก็พบว่ารองเท้าที่โยมถวายมาใหม่ๆ หายไป ไม่รู้ว่าใครหยิบผิดไป จึงคิดแต่ว่า
...นี่แหละเท้าเรามันไร้วาสนาบารมี ของดีจึงอยู่ไม่ได้...
วันนั้นจึงเป็นกรรมของสามเณรน้อยที่ต้องเดินกลับวัดทั้งเท้าเปล่าๆ แต่ด้วยบุญบารมีสร้างสมมายังไม่หมดไป จึงไปพบเข้ากับโยมท่านหนึ่งซึ่งยืนอยู่หน้าร้านรองเท้า พอเห็นสามเณรน้อยเดินเท้าเปล่าผ่านมาจึงอยากถวายรองเท้า
แต่ขณะกำลังเอื้อนเอ่ยนิมนต์ ก็พอดีคนขายออกมาพร้อมบอกกับโยมท่านนั้นว่า
"ท่านเคร่งน่ะ ถึงไม่ใส่รองเท้า อย่ายุ่งกับท่านเลย"
แล้วทั้งคู่ก็ต่างยกมือไหว้โดยไม่พูดอะไรกันอีก
...สงสัยไม่มีบารมีจริงๆ...
ถ้าเราไม่มีบารมี
ก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ
เพราะเราสามารถสร้างได้เสมอ
นี่แหละสิ่งที่สามเณรน้อยอยากบอกทุกท่าน
ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับบุญบารมีทั้งสิ้น จึงไม่แปลกที่ผู้หญิง บางคนแม้อายุมาก ก็ดูอายุน้อยได้ ในขณะที่ผู้ชายบางคนก็ดูมีบารมีมากกว่าอายุที่มี เหล่านี้คือ ความจริงที่เห็นๆ กันได้
สามเณรน้อยต้องไปเรียนหนังสือนอกวัด พอเลิกเรียนจะกลับวัด ก็พบว่ารองเท้าที่โยมถวายมาใหม่ๆ หายไป ไม่รู้ว่าใครหยิบผิดไป จึงคิดแต่ว่า
...นี่แหละเท้าเรามันไร้วาสนาบารมี ของดีจึงอยู่ไม่ได้...
วันนั้นจึงเป็นกรรมของสามเณรน้อยที่ต้องเดินกลับวัดทั้งเท้าเปล่าๆ แต่ด้วยบุญบารมีสร้างสมมายังไม่หมดไป จึงไปพบเข้ากับโยมท่านหนึ่งซึ่งยืนอยู่หน้าร้านรองเท้า พอเห็นสามเณรน้อยเดินเท้าเปล่าผ่านมาจึงอยากถวายรองเท้า
แต่ขณะกำลังเอื้อนเอ่ยนิมนต์ ก็พอดีคนขายออกมาพร้อมบอกกับโยมท่านนั้นว่า
"ท่านเคร่งน่ะ ถึงไม่ใส่รองเท้า อย่ายุ่งกับท่านเลย"
แล้วทั้งคู่ก็ต่างยกมือไหว้โดยไม่พูดอะไรกันอีก
...สงสัยไม่มีบารมีจริงๆ...
ถ้าเราไม่มีบารมี
ก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ
เพราะเราสามารถสร้างได้เสมอ
นี่แหละสิ่งที่สามเณรน้อยอยากบอกทุกท่าน
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: ธรรมะดีดี
- Privacy Policy
- เงื่อนไข ข้อตกลง และกฏระเบียบของเว็บไซต์ DMC ·