ไปที่เนื้อหา


DM_flying

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 22 Oct 2009
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Sep 24 2010 08:53 PM
-----

โพสต์ที่ฉันโพสต์

ในกระทู้: มีข่าวดีมาบอก

09 September 2010 - 01:41 PM

อนุโมทนาบุญเป็นอย่างสูงค่ะ
และจะนำสิ่งนี้ไปแบ่งปัน
เพื่อสร้างเครือข่ายคนดีในสังคมค่ะ biggrin.gif

ในกระทู้: ถามเรื่องวารสารอยู่ในบุญค่ะ

19 August 2010 - 08:53 PM

ขอบคุณค่ะ เสร็จงานแล้วจะได้รีบบึ่งรถไปเลยค่ะ
ขอบพระคุณกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ

ในกระทู้: ถามเรื่องวารสารอยู่ในบุญค่ะ

19 August 2010 - 08:30 PM

เฉพาะวันอาทิตย์เลยใช่ไหมคะ ถ้าไปช่วงบ่ายจะยังทันอยู่ไหมคะ

ในกระทู้: ถามเรื่องวารสารอยู่ในบุญค่ะ

19 August 2010 - 07:28 PM

ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่มาตอบนะคะ จะได้ดำเนินการติดต่อตามที่บอกมาค่ะ
อยากจะได้ไว้ให้คุณแม่อ่านค่ะ

ขอบพระคุณมากค่ะ

ในกระทู้: มีเรื่องเดือดร้อนที่ไม่เข้าใจอยากถามสมาชิกคะ

26 April 2010 - 12:48 AM

ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าเป็นสมาชิกใหม่สำหรับที่นี่นะคะ

พี่ขอตอบน้องเจ้าของกระทู้แบบเป็นกันเอง และก็ตรงไปตรงมานะคะ พี่คงไม่สามารถตอบในแนวธรรมะได้ดีมาก เหมือนความคิดเห็นด้านบนที่ตอบน้องมา แต่พี่อยากพูดในเรื่องของการคิดแบบเป็นกลาง

พี่เคยได้ยินมามาก จากหลายๆ คนว่า ไม่พอใจคนในบ้านตนเองที่มาทำบุญกับวัดธรรมกาย จริงๆ เราไม่ควรคิดว่า เขามาทำบุญกับวัดธรรมกาย เพราะคนเรานะคะ หากเรามีใจให้กับสถานที่ใด สถานที่หนึ่ง ซึ่งเราคิดว่าเรานั้นพึงพอใจกับสิ่งที่อิ่มกว่าข้าว อิ่มกว่าความสุข ณ สถานที่แห่งนั้น อาจไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นวัดธรรมกาย หรือวัดใดๆ เลยนะคะ หากเป็นสถานที่อื่น แต่คนผู้นั้นรู้สึกอิ่มเอมใจกับการสะสมบุญ การสะสมการให้ทาน โดยไม่ได้หวังว่าจะได้สิ่งใดตอบแทน พี่ว่าก็จะต้องมีการทำบุญในลักษณะเดียวกัน หรือคล้ายๆ กัน และหากคุณยายทำบุญกับเด็กด้อยโอกาส ด้วยการรับเลี้ยงดู จะเป็นปริมาณเงินที่มากกว่านี้นะคะ

หากน้องมองว่า เงินในบ้านร่อยหรอ พี่อยากให้มองแบบเป็นกลางอีกเช่นกัน ธุรกิจย่อมผันแปรไปกับสภาพต่างๆ โดยองค์รวม ตอนนี้สภาพเศรษฐกิจไม่ได้ดีเหมือนบางช่วงที่ผ่านมา แต่มันอยู่ที่น้องเรียนจบมาแล้ว ก็ควรนำวิชาความรู้ที่ตนได้มา มาจัดการบริหารบ้านเรือน ธุรกิจ และควรเลยไปถึงการบริหารบุคลากรภายในบ้าน ด้วยความรู้สถานภาพ และการรู้ขอบเขตที่เราควรแสดงออก

เราต้องมองย้อน เอาจุดที่เป็นปัญหาออกมาให้ได้ การทำบุญคงไม่ได้เป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้บ้านของน้องนั้นหมดเงินทองทั้งหมดที่มีอยู่ แต่น้องๆ ก็ยังเรียนถูกไหมคะ? เพราะฉะนั้นปัญหาเราควรแยกออกมาคร่าวๆ ดังนี้

1. หากคิดว่าทำบุญน้อยไป ก็ควรจัดสรรเงินทองจำนวนหนึ่งให้กับคุณยาย แต่ไม่ใช่ว่าให้ท่านหยุดหรือเลิกทำ คนเราไม่ควรบังคับจิตใจผู้อื่น เพราะหากผู้อื่นบังคับเรา เราก็ไม่ชอบเหมือนกัน ถูกต้องไหมคะ?

2. จัดการแบ่งสันปันส่วนกับระบบบัญชีที่บ้านให้ดี ในแต่ละวันควรจัดแบ่งเปอร์เซ็นต์ ของเงินในลิ้นชักที่ได้รับมาทั้งหมด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในวันรุ่งขึ้น และในเดือนนั้นๆ เมื่อถึงคราวจำเป็น และควรกันเงินฉุกเฉินไว้ด้วย

3. หากมองด้านธุรกิจ น้องทำด้านการค้า ควรมองตลาด และในยุคปัจจุบัน ไม่ได้มีธุรกิจใดตายตัว ไม่มีธุรกิจใด ธุรกิจเดียวที่จะทำเงินให้เราได้เป็นกอบเป็นกำ นอกเสียจากว่าเรารู้หลักการบริหารธุรกิจนั้นๆ ได้ดีพอ อยากให้มองตรงจุดนี้ให้สำคัญ เราบริหารธุรกิจ และจัดการวิธีรองรับปัญหาได้หลากหลายหรือยัง หรือเราเพียงแค่ขายของหน้าร้าน หรือตามยอดสั่งเพียงเท่านั้น

4. จำกัดรายจ่ายของแต่ละคนในครอบครัว ให้เหมาะสมกับการจับจ่ายในแต่ละโอกาส อย่าได้พุ่งประเด็นไปที่คนใดคนหนึ่ง และอย่ามองปัญหาที่จุดจุดเดียว มิฉะนั้นจะถือเสมือนว่า ถือน้ำเพื่อดับไฟที่สนาม แต่แท้ที่จริงต้นเหตุแห่งไฟ อาจอยู่หลังห้องครัวก็เป็นไปได้นะคะ

5. อยากให้มองถึงสภาพจิตใจของคนคนหนึ่ง ที่ได้ทำการต่อสู้เพื่อความสำเร็จของน้อง และธุรกิจที่เป็นอาชีพของครอบครัว การมีธุรกิจดีมากกว่าคนที่จบมาแล้วต้องไปเดินหางานมากมายนัก การเป็นนายตนเอง มีค่าแห่งความสำเร็จไม่น้อยไปกว่า การเป็นลูกจ้างของคนที่เราไม่เคยรู้จัก

พี่คงตอบคร่าวๆ ดังนี้ อยากให้น้องมีสติ เป็นลำดับแรก และใช้ ศีล ร่วมกับสมาธิ เพื่อก่อให้เกิดปัญญา และมองปัญหาว่าแท้จริงแล้วมีที่ใดบ้าง มองปัญหาที่ปัญหา มองปัญหาที่จุดเกิด อย่ามองปัญหาแค่หน้าบ้าน หรือแค่ที่เราพุ่งประเด็นไปที่จุดเดียว และคิดว่านั้นคือปัญหาใหญ่ที่แน่ชัดแน่นอน บางทีอาจมีหลายปัญหาที่ซ่อนอยู่โดยที่น้องไม่รู้ตัว และอาจลืมคิดถึงมัน มันอาจเป็นเงินมูลค่ามากกว่าเงินที่คุณยายน้องนำมาทำบุญ

พี่คงช่วยตอบเพียงเท่านี้ก่อน หวังว่า น้องคงรู้จักใช้สติ เพื่อเป็นจุดเกิดแห่ง ศีล สมาธิ และปัญญาที่มีในตนนั้นได้ครบถ้วนอย่างสมบูรณ์ และมีคุณค่าที่สุดนะคะ