อีกนิดเดียวครับ
ช่วยบอกผมทีครับ ถือเป็นวิทยาทาน ว่าถ้าผมจะไม่ใช้คำเหล่านี้ - "เจตจำนงอิสระ", "เจตจำนงเสรี", "การเลือกอันศักดิ์สิทธิ์" และ "จิตวิญญาณที่เป็นอมตะ" เป็นต้น
ผมควรจะใช้คำไหนแทนที่เป็นความหมายเดียวกัน ผมจะได้ไม่ถูกเข้าใจผิดๆอีก ถ้าผมจะไปใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้คนในที่อื่น เพราะผมถือจริงๆว่า ความรู้นั้นมีลักษณะเป็นสากล ไม่ได้อยากจะเป็นเพียงพวกใดพวกหนึ่งเป็นพิเศษแล้วไม่สามารถอยู่ร่วมกะพวกอื่นๆได้ครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: โพสต์: usr34404
สถิติเว็บบอร์ด
- กลุ่ม Members
- โพสต์ 16
- ดูโปรไฟล์ 3581
- อายุ ไม่เปิดเผย
- วันเกิด ไม่เปิดเผย
-
Gender
ไม่เปิดเผย
0
Neutral
เครื่องมือผู้ใช้งาน
เพื่อน
usr34404 ยังไม่มีเพื่อนในตอนนี้
ผู้เยี่ยมชมล่าสุด
โพสต์ที่ฉันโพสต์
ในกระทู้: ภพภูมิพิเศษ ต้องทำกรรมอะไรไว้ และ ทรมานแค่ไหนครับ ?
02 May 2010 - 09:34 PM
ในกระทู้: มีความสุข
02 May 2010 - 09:26 PM
ยินดีด้วยนะครับ
ในกระทู้: ภพภูมิพิเศษ ต้องทำกรรมอะไรไว้ และ ทรมานแค่ไหนครับ ?
02 May 2010 - 08:48 PM
ผมไม่ได้นับถือเทวนิยมเลยครับ ถือว่าทายผิดอย่างมากครับ
ผมนับถือในสัจจะ หรือ ธรรม จะเรียกอะไรก็แล้วแต่เถอะครับ มีคำว่าธรรมอยู่ในธรรมชาติ หมายความสัจจะมีอยู่ในธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ธรรม จึงมีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติครับ แม้แต่ในตัวคนเรา เพราะคนเราก็เป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติเช่นกัน
ธรรม หรือ สัจจะ ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาใด มันก็มีคุณค่าเท่าเทียมกัน มีประโยชน์เท่าเทียมกัน อยู่ที่คนต่างหาก ว่าจะให้ค่าแตกต่างกันอย่างไร สำหรับผม ผมไม่คิดแยกแยะความแตกต่างนั้น ศาสนาไหนมีอะไรที่เมื่อรับมาคบคิดดูแล้วว่าเป็นประโยชน์แต่ตัวเราและผู้อื่น ผมก็พร้อมน้อมรับธรรมหรือสัจจะนั้นมาอยู่ในใจ ที่เป็นเช่นนี้ก้เพราะพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ไม่ใช่หรือ ว่าอย่าเชื่อเพราะเหตุต่างๆ แต่ให้เชื่อเมื่อใช้สติปัญญาไตร่ตรองดูแล้วว่าน่าเชื่อ ผมจึงใช้ธรรมสัจจะข้อนี้เป็นหัวใจในการค้นหาความรู้มาโดยตลอด ผมจึงไม่เคยปิดกั้นตัวเองจากความรู้ไม่ว่ามันจะมาจากแหล่งไหน ศาสนาความเชื่อใดเท่านั้นเอง
สัจจะ เกี่ยวกะความรัก เป็นแค่หนึ่งในเรื่องสำคัญที่เราควรต้องรู้ แต่ยังมีอีกมากที่สำคัญไม่แพ้กัน
คุณมองอย่างแมวกำลังพยายามบอกว่า ผมเป็นพวกหนึ่ง แต่คุณเป็นอีกพวกหนึ่งอย่างนั้นหรือ หรือพยายามจะสื่อว่า ผมไม่ได้เป็นชาวพุทธใช่ไหม และคุณกำลังจะบอกว่าผมแตกต่างและไม่ควรจะเสวนาสนทนาด้วยใช่ไหมครับ
ผมขอบอกกล่าวตรงนี้เลยครับ ว่าผมเป็นพุทธ ที่นับถือในคำสอนของพระพุทธเจ้ามาก แต่ไม่ยึดถือในพีธีรีตรองทางศาสนาที่ถือกำเนิดขึ้นมาทีหลัง (วึ่งท่านพุทธทาสก็เคยกล่าวไว้ในหนังสือคู่มือมนุษย์ของท่าน ว่ามันเป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ ลองไปหาอ่านดูท่านพูดไว้อย่างตรงไปตรงมามาก) แต่ผมก็ไม่เห็นว่า เมื่อผมนับถือและยกย่องในคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ผมจะไม่สามารถค้นหาธรรมหรือสัจจะจากที่อื่นๆแหล่งอื่นๆได้อีก ทำไมเราต้องแบ่งแยก หากเราศึกษาทุกๆศาสนาอย่างลึกวึ้งจะพบว่าทุกๆศาสนาล้วนมีธรรมสำคัญๆไม่แตกต่างกันเลย จะต่างก็ต่างมากที่ตรงพิธีรีตรองที่มันเพิ่มมาทีหลังเท่านั้น
สำหรับเรื่องการพิสูจน์นั้น ก็อยากจะให้ดูกรณีศึกษาต่างๆของทางตะวันตกเสริมด้วย เมื่อก่อนเขาเหล่านั้นก็ไม่เคยเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ หรือชาติอดีตแบบที่ทางตะวันออกเชื่อกัน แต่เมื่อมีการศึกษามากขึ้นๆเรื่อย พวกเขาก็เริ่มตอบรับมากขึ้น แต่ในกรณีศึกษามากมายก่ายกองเป็นหมื่นเป็นแสนกรณี จากการสะกดจิตย้อนอดีตรักษาคนไข้ของประเทศต่างๆทางตะวันตก ยังไม่เคยพบผู้ที่เคยตกนรกมาก่อน หรือจะบอกว่ามันมีแต่นรกสำหรับชาวพุทธ สำหรับศาสนาอื่นไม่มีอย่างนั้นหรือ แต่ทุกๆกรณีจะไปสถานที่หนึ่ง ที่ๆวิญญาณจะมาทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ว่าได้ทำอะไรผิดพลาดไว้บ้าง และจะต้องเลือกแผนการชีวิตและเตรียมตัวสำหรับชีวิตข้างหน้าที่จะไปเกิด เลือกแผนการชีวิตที่เอื้อต่อการพัฒนาของตัวเอง ไม่มีวิญญาณสักดวงที่ต้องถูกลงโทษ หรือชดใช้ ที่ๆเดียวที่เขาต้องชดใช้ ก้คือที่ๆเดียวกะที่เขาก่อมันขึ้นมา นั่นก็คือโลกเรานี่แหละ การชดใช้จะถูกรวมอยู่ในแผนการชีวิตของเราในชาติต่อไป มีผู้ตัดสินเรา แต่ไม่ได้ตัดสินเพื่อจะลงโทษ(เพราะเราต้องชดใช้อยู่แล้วในชีวิตที่มีกายเนื้อ) แต่ตัดสินเพื่อที่จะช่วยเหลือและแนะนำในการวางแผนการชีวิตในชาติต่อไป (ลองเปิดหูเปิดตาดูครับ หนังสือที่เกี่ยวกะความรู้และข้อเท็จจริงเหล่านี้ที่ทดลองพิสูจน์โดยนายแพทย์มากมาย ที่มีคนไทยไปแปลเอาไว้ก้พอจะมีให้เห็นบ้างในบ้านเรา)
แต่ก็อย่างที่ผมบอกไว้ ว่าแล้วแต่จะเชื่อครับ เพราะถ้าคุณเชื่อแล้วทำให้คุณทำความดี ไม่ทำความชั่ว มันก็ย่อมเป็นเรื่องดี และที่ผมไม่เชื่อก้ไม่ได้หมายความว่าสนับสนุนให้คนทำชั่ว เพราะถ้ารู้อีกหลายๆเรื่อง เราก็จะไม่ทำชั่วอยู่ดี เพียงแต่ถ้าเราไม่มีความกลัวเป็นแรงผลักดันในการทำสิ่งต่างๆมันจะดีกว่าเท่านั้นเอง
เอาเป็นว่า ผมไม่อยากเข้ามาค้านกะใคร เพียงแต่มีเจตนาอยากนำความรู้ ที่บางอย่างบางครั้งอาจแตกต่างจากหลายคนในที่นี้ เพราะผมศึกษามาจากหลายๆแหล่งที่แตกต่าง แต่ก็เชื่อว่ามั่นว่าน่าจะมีประโยชน์ไม่น้อย จึงอยากมาแบ่งปันเท่าที่ความสามารถของผมจะมี เท่านั้นเองจริงๆ แต่บางครั้งสัจจะมันก็ไม่โอนอ่อนผ่อนตาม มันจำเป็นต้องตรงๆออกไปอย่างนั้น ก็ต้องขออภัยถ้ามันรุนแรงเกินไปสำหรับบางท่าน เอาเป็นว่าคราวหน้าผมจะระมัดระวังเรื่องความเชื่อบางอย่างแล้วกันครับ
ผมนับถือในสัจจะ หรือ ธรรม จะเรียกอะไรก็แล้วแต่เถอะครับ มีคำว่าธรรมอยู่ในธรรมชาติ หมายความสัจจะมีอยู่ในธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ธรรม จึงมีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติครับ แม้แต่ในตัวคนเรา เพราะคนเราก็เป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติเช่นกัน
ธรรม หรือ สัจจะ ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาใด มันก็มีคุณค่าเท่าเทียมกัน มีประโยชน์เท่าเทียมกัน อยู่ที่คนต่างหาก ว่าจะให้ค่าแตกต่างกันอย่างไร สำหรับผม ผมไม่คิดแยกแยะความแตกต่างนั้น ศาสนาไหนมีอะไรที่เมื่อรับมาคบคิดดูแล้วว่าเป็นประโยชน์แต่ตัวเราและผู้อื่น ผมก็พร้อมน้อมรับธรรมหรือสัจจะนั้นมาอยู่ในใจ ที่เป็นเช่นนี้ก้เพราะพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ไม่ใช่หรือ ว่าอย่าเชื่อเพราะเหตุต่างๆ แต่ให้เชื่อเมื่อใช้สติปัญญาไตร่ตรองดูแล้วว่าน่าเชื่อ ผมจึงใช้ธรรมสัจจะข้อนี้เป็นหัวใจในการค้นหาความรู้มาโดยตลอด ผมจึงไม่เคยปิดกั้นตัวเองจากความรู้ไม่ว่ามันจะมาจากแหล่งไหน ศาสนาความเชื่อใดเท่านั้นเอง
สัจจะ เกี่ยวกะความรัก เป็นแค่หนึ่งในเรื่องสำคัญที่เราควรต้องรู้ แต่ยังมีอีกมากที่สำคัญไม่แพ้กัน
คุณมองอย่างแมวกำลังพยายามบอกว่า ผมเป็นพวกหนึ่ง แต่คุณเป็นอีกพวกหนึ่งอย่างนั้นหรือ หรือพยายามจะสื่อว่า ผมไม่ได้เป็นชาวพุทธใช่ไหม และคุณกำลังจะบอกว่าผมแตกต่างและไม่ควรจะเสวนาสนทนาด้วยใช่ไหมครับ
ผมขอบอกกล่าวตรงนี้เลยครับ ว่าผมเป็นพุทธ ที่นับถือในคำสอนของพระพุทธเจ้ามาก แต่ไม่ยึดถือในพีธีรีตรองทางศาสนาที่ถือกำเนิดขึ้นมาทีหลัง (วึ่งท่านพุทธทาสก็เคยกล่าวไว้ในหนังสือคู่มือมนุษย์ของท่าน ว่ามันเป็นเนื้องอกของศาสนาพุทธ ลองไปหาอ่านดูท่านพูดไว้อย่างตรงไปตรงมามาก) แต่ผมก็ไม่เห็นว่า เมื่อผมนับถือและยกย่องในคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ผมจะไม่สามารถค้นหาธรรมหรือสัจจะจากที่อื่นๆแหล่งอื่นๆได้อีก ทำไมเราต้องแบ่งแยก หากเราศึกษาทุกๆศาสนาอย่างลึกวึ้งจะพบว่าทุกๆศาสนาล้วนมีธรรมสำคัญๆไม่แตกต่างกันเลย จะต่างก็ต่างมากที่ตรงพิธีรีตรองที่มันเพิ่มมาทีหลังเท่านั้น
สำหรับเรื่องการพิสูจน์นั้น ก็อยากจะให้ดูกรณีศึกษาต่างๆของทางตะวันตกเสริมด้วย เมื่อก่อนเขาเหล่านั้นก็ไม่เคยเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณ หรือชาติอดีตแบบที่ทางตะวันออกเชื่อกัน แต่เมื่อมีการศึกษามากขึ้นๆเรื่อย พวกเขาก็เริ่มตอบรับมากขึ้น แต่ในกรณีศึกษามากมายก่ายกองเป็นหมื่นเป็นแสนกรณี จากการสะกดจิตย้อนอดีตรักษาคนไข้ของประเทศต่างๆทางตะวันตก ยังไม่เคยพบผู้ที่เคยตกนรกมาก่อน หรือจะบอกว่ามันมีแต่นรกสำหรับชาวพุทธ สำหรับศาสนาอื่นไม่มีอย่างนั้นหรือ แต่ทุกๆกรณีจะไปสถานที่หนึ่ง ที่ๆวิญญาณจะมาทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ว่าได้ทำอะไรผิดพลาดไว้บ้าง และจะต้องเลือกแผนการชีวิตและเตรียมตัวสำหรับชีวิตข้างหน้าที่จะไปเกิด เลือกแผนการชีวิตที่เอื้อต่อการพัฒนาของตัวเอง ไม่มีวิญญาณสักดวงที่ต้องถูกลงโทษ หรือชดใช้ ที่ๆเดียวที่เขาต้องชดใช้ ก้คือที่ๆเดียวกะที่เขาก่อมันขึ้นมา นั่นก็คือโลกเรานี่แหละ การชดใช้จะถูกรวมอยู่ในแผนการชีวิตของเราในชาติต่อไป มีผู้ตัดสินเรา แต่ไม่ได้ตัดสินเพื่อจะลงโทษ(เพราะเราต้องชดใช้อยู่แล้วในชีวิตที่มีกายเนื้อ) แต่ตัดสินเพื่อที่จะช่วยเหลือและแนะนำในการวางแผนการชีวิตในชาติต่อไป (ลองเปิดหูเปิดตาดูครับ หนังสือที่เกี่ยวกะความรู้และข้อเท็จจริงเหล่านี้ที่ทดลองพิสูจน์โดยนายแพทย์มากมาย ที่มีคนไทยไปแปลเอาไว้ก้พอจะมีให้เห็นบ้างในบ้านเรา)
แต่ก็อย่างที่ผมบอกไว้ ว่าแล้วแต่จะเชื่อครับ เพราะถ้าคุณเชื่อแล้วทำให้คุณทำความดี ไม่ทำความชั่ว มันก็ย่อมเป็นเรื่องดี และที่ผมไม่เชื่อก้ไม่ได้หมายความว่าสนับสนุนให้คนทำชั่ว เพราะถ้ารู้อีกหลายๆเรื่อง เราก็จะไม่ทำชั่วอยู่ดี เพียงแต่ถ้าเราไม่มีความกลัวเป็นแรงผลักดันในการทำสิ่งต่างๆมันจะดีกว่าเท่านั้นเอง
เอาเป็นว่า ผมไม่อยากเข้ามาค้านกะใคร เพียงแต่มีเจตนาอยากนำความรู้ ที่บางอย่างบางครั้งอาจแตกต่างจากหลายคนในที่นี้ เพราะผมศึกษามาจากหลายๆแหล่งที่แตกต่าง แต่ก็เชื่อว่ามั่นว่าน่าจะมีประโยชน์ไม่น้อย จึงอยากมาแบ่งปันเท่าที่ความสามารถของผมจะมี เท่านั้นเองจริงๆ แต่บางครั้งสัจจะมันก็ไม่โอนอ่อนผ่อนตาม มันจำเป็นต้องตรงๆออกไปอย่างนั้น ก็ต้องขออภัยถ้ามันรุนแรงเกินไปสำหรับบางท่าน เอาเป็นว่าคราวหน้าผมจะระมัดระวังเรื่องความเชื่อบางอย่างแล้วกันครับ
ในกระทู้: ขอคำแนะนำค่ะ
02 May 2010 - 07:25 PM
การมีปฏิสัมพันธ์กะผู้อื่น เป็นหนึ่งในกระบวนการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณ เราทุกคนล้วนต้องผ่านกระบวนการนี้ทั้งนั้น ไม่งั้นธรรมชาติคงไม่สร้างให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต้องมานั่งพึ่งพาอาศัยกันหรอกครับ
และเพราะความจริงแท้มีเพียงหนึ่งเดียวคือ เราทุกผู้ทุกเผ่าพันธ์ล้วนแล้วแต่เป็นหนึ่งเดียวกัน เราทำอย่างไรต่อผู้อื่นก็เหมือนเราทำอย่างนั้นแก่ตัวเอง(นี่คือที่มาของกฏแห่งกรรม) เราตอบสนองอย่างไรต่อผู้อื่นก็แสดงว่าเราเป็นคนอย่างนั้น เพราะผู้อื่นก็คือตัวเราในรูปแบบอื่น คือตัวเราในกายเนื้ออื่น แต่เนื้อในแล้วที่แท้ก็คือหนึ่งเดียวกัน
จนกว่าเราจะรู้แจ้งในสัจจะข้อนี้เท่านั้น แล้วเราจึงจะปฏิบัติต่อทุกผู้ไม่ต่างกะที่เราจะปฏิบัติต่อตัวเอง เราจะคิดเห็นต่อทุกผู้เม่ต่างกะที่เราจะคิดเห็นต่อตัวเอง จนกว่าเราจะรู้สัจจะนี้ เราจึงจะไม่กลัว ไม่รู้สึกว่าวุ่นวาย หรือไม่เบื่อผู้อื่น เพราะเราย่อมจะไม่กลัวไม่รู้สึกวุ่นวายและไม่เบื่อตัวเองฉันใดก็ฉันนั้น
และเพราะความจริงแท้มีเพียงหนึ่งเดียวคือ เราทุกผู้ทุกเผ่าพันธ์ล้วนแล้วแต่เป็นหนึ่งเดียวกัน เราทำอย่างไรต่อผู้อื่นก็เหมือนเราทำอย่างนั้นแก่ตัวเอง(นี่คือที่มาของกฏแห่งกรรม) เราตอบสนองอย่างไรต่อผู้อื่นก็แสดงว่าเราเป็นคนอย่างนั้น เพราะผู้อื่นก็คือตัวเราในรูปแบบอื่น คือตัวเราในกายเนื้ออื่น แต่เนื้อในแล้วที่แท้ก็คือหนึ่งเดียวกัน
จนกว่าเราจะรู้แจ้งในสัจจะข้อนี้เท่านั้น แล้วเราจึงจะปฏิบัติต่อทุกผู้ไม่ต่างกะที่เราจะปฏิบัติต่อตัวเอง เราจะคิดเห็นต่อทุกผู้เม่ต่างกะที่เราจะคิดเห็นต่อตัวเอง จนกว่าเราจะรู้สัจจะนี้ เราจึงจะไม่กลัว ไม่รู้สึกว่าวุ่นวาย หรือไม่เบื่อผู้อื่น เพราะเราย่อมจะไม่กลัวไม่รู้สึกวุ่นวายและไม่เบื่อตัวเองฉันใดก็ฉันนั้น
ในกระทู้: พ่อและน้องชาย
02 May 2010 - 07:02 PM
คงยัง
ยากมากที่คุณจะบรรลุนิพพาน เพราะคุณยังขาดความเข้าใจในหลายๆเรื่องซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่รู้สึกอย่างนั้นกะผู้อื่นแน่ๆ
ผมถามกลับหนึ่งข้อนะครับ พระพุทธเจ้าทรงออกค้นหา "ความจริงอันประเสริฐ ค้นหาหนทางดับทุกข์" ขั้นแรกนี้ท่านทำก็เพื่อตัวเอง เพราะไม่อยากจะมาทนอยู่ในวัฐสงสาร ที่ท่านทรงมองออกว่ามันเป็นทุกข์ แต่พอท่านทรงตรัสรู้ได้ ท่านจะปรินิพพานเลยก็ได้ หรือท่านจะอยู่ของท่านเฉยๆก้ได้ แต่ทำไมท่านกลับเลือกออกเผยแผ่ความรู้ความจริงเหล่านั้น ทำไมท่านจึงเกิดอยากช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลก อยากช่วยชีวิตอื่นๆเล่า ลองท่านคบคิดหาคำตอบดู
ปัญญา และ ความรัก สองสิ่งนี้ไม่อาจแยกออกจากกัน สิ่งหนึ่งจะนำไปสู่อีกสิ่งเสมอ เมื่อมีปัญญาถึงจุดหนึ่งคุณจะเป็นความรัก เมื่อมีความรักความรักก็จะนำคุณสู่ปัญญา
พระเยซูเคยตรัสว่า เมื่อมีคนตบแก้มขวาท่าน ก็จงยื่นแก้มซ้ายให้เขาด้วย นี่คือผู้ที่เข้าถึงความรักที่แท้ ความรักจะไม่กลัว จะไม่ยอมแพ้ ไม่ท้อถอย ไม่เบื่อ ไม่เป็นทุกข์ เนื่องเพราะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นเพื่อสิ่งใด และการกระทำของความรักนั้นไม่ขึ้นต่อสิ่งใด และไม่คาดหวังอะไรตอบแทน
คุณจะไม่สอนผู้อื่น ไม่ช่วยผู้อื่นใช่ไหม ถ้าคุณรู้ว่าเขาจะไม่เชื่อ หรือไม่ตอบแทนหรือขอบใจคุณ ตกลงว่าคุณทำเพราะอยากจะทำ เพราะรู้ว่าทำแล้วดีทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น หรือคุณทำเพื่อเอาหน้ากันแน่ คุณไม่รู้หรือว่าองค์พระพุทธเจ้าหรือพระเยซูต้องโดนอะไรยิ่งกว่าที่ท่านโดนขนาดไหน ในการเผยแผ่สัจจะอันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย แต่ทำไมท่านทั้งสองยังเลือกที่จะทำ ถ้าท่านเลือกอย่างที่คุณเลือก เลือกจะรู้สึกอย่างที่คุณรู้สึก ทุกวันนี้เราก็คงไม่มีทั้งศาสนาพุทธและคริสต์
ความทุกขืที่คุณรู้สึกนั้นไม่ได้ขึ้นกะใคร ไม่ได้ขึ้นกะผู้อื่นเลย แต่มันขึ้นตรงต่อจิตใจของคุณเองนั่นแหละ คุณเองนั่นแหละที่ยอมรับการตอบสนองของผู้อื่นไม่ได้ แสดงว่าคุณเอาแต่คาดหวังว่าผู้อื่นต้องเชื่อถือคุณทั้งหมด แสดงว่าคุณยังรักในตัวกูของกู หน้าตากู ชื่อเสียงกู มากกว่าที่จะรักผู้อื่น
ความรักที่แท้จะไม่เป็นอย่างนี้ ความรักที่แท้จะไม่บังคับให้ผู้อื่นต้องเชื่อ มันจะแค่คอยแนะนำ คอยบอกกล่าว ไม่เชื่อก็ไม่ว่า ไม่บังคับ แต่จะรอคอยอย่างสงบ ไม่หนีหน้าหายไปไหน รักที่แท้จะรอคอยอยู่เคียงข้าง เพื่อรอเวลาที่เขาเหล่านั้นจะเปิดใจรับความช่วยเหลือจากเรา หรือเปิดโอกาสให้เราได้แนะนำหรือบอกกล่าวแก่เขาอีกครั้ง หรือรอคอยที่เขาเหล่านั้นที่ไม่เชื่อถือเราจะเปลี่ยนใจ
อีกเรื่องที่คุณต้องเข้าใจคือ ทุกชีวิตมีเงื่อนเวลาที่เป็นของตน มีวาระของตน คุณไม่คิดเหรอว่าก่อนที่คุณจะตื่นรู้เท่านี้ คุณไม่เคยโง่เขลาแบบพ่อและน้องชายของคุณมาก่อน คุณไม่เคยปฏิเสธความช่วยเหลือของคนอื่นมาก่อนเลยหรือ แล้วทุกคนที่คุณเคยปฏิเสธล่ะ พวกเขาเหล่านั้นต้องเป็นทุกข์เพราะคุณด้วยเหรอเปล่า
แท้จริงแล้วเราไม่อาจทุกข์ทรมานด้วยผู้อื่นได้ สิ่งอื่นเป็นเพียงแค่ปัจจัยหนึ่ง อีกปัจจัยคือตัวเราเอง มีคนตบหน้าเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องตอบสนองด้วยการตบกลับเสมอไปนี่ ไม่จำเป็นแม้แต่ที่เราจะต้องรู้สึกโกรธ โมโห หรือเคียดแค้น คนที่เลือกทำเลือกตอบสนองอย่างข้างต้นนั้นคือผู้ที่ยังไม่รู้เท่านั้น ผู้รู้จะไม่ทำอย่างนั้นเลย เพราะมีทางเลือกที่ดีกว่านั้นอีกเยอะไป อาจตอบสนองเพียงแค่นิ่ง อาจจะยิ้มตอบไปก็ยังได้ อาจเดินหนี อาจจะให้อภัย อาจจะสงสารเพราะรู้ว่าเขาต้องรับกรรมนั้นเอง หรืออาจถึงขั้นยื่นแก้มอีกข้างให้เขา
ลองคบคิดทั้งหมดนี่ดูนะครับ น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย
การไม่เชื่อหรือปฏิเสธอะไรโดยไม่คบคิดพิจารณาก่อน ก็โง่เขลาพอๆกะการที่เชื่อหรือยอมรับอะไรโดยไม่คบคิดพิจารณาก่อนเช่นกัน
ยากมากที่คุณจะบรรลุนิพพาน เพราะคุณยังขาดความเข้าใจในหลายๆเรื่องซึ่งสำคัญไม่แพ้กัน ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่รู้สึกอย่างนั้นกะผู้อื่นแน่ๆ
ผมถามกลับหนึ่งข้อนะครับ พระพุทธเจ้าทรงออกค้นหา "ความจริงอันประเสริฐ ค้นหาหนทางดับทุกข์" ขั้นแรกนี้ท่านทำก็เพื่อตัวเอง เพราะไม่อยากจะมาทนอยู่ในวัฐสงสาร ที่ท่านทรงมองออกว่ามันเป็นทุกข์ แต่พอท่านทรงตรัสรู้ได้ ท่านจะปรินิพพานเลยก็ได้ หรือท่านจะอยู่ของท่านเฉยๆก้ได้ แต่ทำไมท่านกลับเลือกออกเผยแผ่ความรู้ความจริงเหล่านั้น ทำไมท่านจึงเกิดอยากช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลก อยากช่วยชีวิตอื่นๆเล่า ลองท่านคบคิดหาคำตอบดู
ปัญญา และ ความรัก สองสิ่งนี้ไม่อาจแยกออกจากกัน สิ่งหนึ่งจะนำไปสู่อีกสิ่งเสมอ เมื่อมีปัญญาถึงจุดหนึ่งคุณจะเป็นความรัก เมื่อมีความรักความรักก็จะนำคุณสู่ปัญญา
พระเยซูเคยตรัสว่า เมื่อมีคนตบแก้มขวาท่าน ก็จงยื่นแก้มซ้ายให้เขาด้วย นี่คือผู้ที่เข้าถึงความรักที่แท้ ความรักจะไม่กลัว จะไม่ยอมแพ้ ไม่ท้อถอย ไม่เบื่อ ไม่เป็นทุกข์ เนื่องเพราะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นเพื่อสิ่งใด และการกระทำของความรักนั้นไม่ขึ้นต่อสิ่งใด และไม่คาดหวังอะไรตอบแทน
คุณจะไม่สอนผู้อื่น ไม่ช่วยผู้อื่นใช่ไหม ถ้าคุณรู้ว่าเขาจะไม่เชื่อ หรือไม่ตอบแทนหรือขอบใจคุณ ตกลงว่าคุณทำเพราะอยากจะทำ เพราะรู้ว่าทำแล้วดีทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น หรือคุณทำเพื่อเอาหน้ากันแน่ คุณไม่รู้หรือว่าองค์พระพุทธเจ้าหรือพระเยซูต้องโดนอะไรยิ่งกว่าที่ท่านโดนขนาดไหน ในการเผยแผ่สัจจะอันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย แต่ทำไมท่านทั้งสองยังเลือกที่จะทำ ถ้าท่านเลือกอย่างที่คุณเลือก เลือกจะรู้สึกอย่างที่คุณรู้สึก ทุกวันนี้เราก็คงไม่มีทั้งศาสนาพุทธและคริสต์
ความทุกขืที่คุณรู้สึกนั้นไม่ได้ขึ้นกะใคร ไม่ได้ขึ้นกะผู้อื่นเลย แต่มันขึ้นตรงต่อจิตใจของคุณเองนั่นแหละ คุณเองนั่นแหละที่ยอมรับการตอบสนองของผู้อื่นไม่ได้ แสดงว่าคุณเอาแต่คาดหวังว่าผู้อื่นต้องเชื่อถือคุณทั้งหมด แสดงว่าคุณยังรักในตัวกูของกู หน้าตากู ชื่อเสียงกู มากกว่าที่จะรักผู้อื่น
ความรักที่แท้จะไม่เป็นอย่างนี้ ความรักที่แท้จะไม่บังคับให้ผู้อื่นต้องเชื่อ มันจะแค่คอยแนะนำ คอยบอกกล่าว ไม่เชื่อก็ไม่ว่า ไม่บังคับ แต่จะรอคอยอย่างสงบ ไม่หนีหน้าหายไปไหน รักที่แท้จะรอคอยอยู่เคียงข้าง เพื่อรอเวลาที่เขาเหล่านั้นจะเปิดใจรับความช่วยเหลือจากเรา หรือเปิดโอกาสให้เราได้แนะนำหรือบอกกล่าวแก่เขาอีกครั้ง หรือรอคอยที่เขาเหล่านั้นที่ไม่เชื่อถือเราจะเปลี่ยนใจ
อีกเรื่องที่คุณต้องเข้าใจคือ ทุกชีวิตมีเงื่อนเวลาที่เป็นของตน มีวาระของตน คุณไม่คิดเหรอว่าก่อนที่คุณจะตื่นรู้เท่านี้ คุณไม่เคยโง่เขลาแบบพ่อและน้องชายของคุณมาก่อน คุณไม่เคยปฏิเสธความช่วยเหลือของคนอื่นมาก่อนเลยหรือ แล้วทุกคนที่คุณเคยปฏิเสธล่ะ พวกเขาเหล่านั้นต้องเป็นทุกข์เพราะคุณด้วยเหรอเปล่า
แท้จริงแล้วเราไม่อาจทุกข์ทรมานด้วยผู้อื่นได้ สิ่งอื่นเป็นเพียงแค่ปัจจัยหนึ่ง อีกปัจจัยคือตัวเราเอง มีคนตบหน้าเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องตอบสนองด้วยการตบกลับเสมอไปนี่ ไม่จำเป็นแม้แต่ที่เราจะต้องรู้สึกโกรธ โมโห หรือเคียดแค้น คนที่เลือกทำเลือกตอบสนองอย่างข้างต้นนั้นคือผู้ที่ยังไม่รู้เท่านั้น ผู้รู้จะไม่ทำอย่างนั้นเลย เพราะมีทางเลือกที่ดีกว่านั้นอีกเยอะไป อาจตอบสนองเพียงแค่นิ่ง อาจจะยิ้มตอบไปก็ยังได้ อาจเดินหนี อาจจะให้อภัย อาจจะสงสารเพราะรู้ว่าเขาต้องรับกรรมนั้นเอง หรืออาจถึงขั้นยื่นแก้มอีกข้างให้เขา
ลองคบคิดทั้งหมดนี่ดูนะครับ น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย
การไม่เชื่อหรือปฏิเสธอะไรโดยไม่คบคิดพิจารณาก่อน ก็โง่เขลาพอๆกะการที่เชื่อหรือยอมรับอะไรโดยไม่คบคิดพิจารณาก่อนเช่นกัน
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: โพสต์: usr34404
- Privacy Policy
- เงื่อนไข ข้อตกลง และกฏระเบียบของเว็บไซต์ DMC ·