ทาน ..ทางมาแห่งทรัพย์สมบัติความหมายและประเภทของทานทาน หมายถึง การให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่หวังผลตอบแทน เมื่อเราให้ทาน แม้จะไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนก็ตาม แต่ก็จะมีบุญเกิดขึ้น และบุญนั้นจะช่วยออกแบบชีวิตของเราให้สมบูรณ์พร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ ถ้าใครปราศจากทานบารมี เกิดมาก็จะยากจน สร้างบารมีได้ไม่สะดวก เพราะมัวแต่กังวลเรื่องการทำมาหากิน “ทาน” จึงเป็นพื้นทานของการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีความเจริญก้าวหน้า ทาน เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10_การทำทานจึงเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง คำว่า “ทาน” นี้โดยทั่วไปมักเข้าใจสับสนกับคำว่า “บุญ” เนื่องจากเรามักจะเรียกการถวายของแด่พระภิกษุว่า “ทำบุญ” แต่เมื่อให้ของแก่คนยากจน หรือคนที่ด้อยกว่าตน มักเรียกว่า “ทำทาน” แต่จริงๆ แล้ว การให้นั้นไม่ว่าจะให้แก่ใครก็ตามถือว่าเป็นทานทั้งสิ้น และได้บุญทั้งนั้นทานแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้1.อามิสทาน คือ การให้วัตถุสิ่งของต่างๆ เป็นทาน เช่น ข้าว น้ำ ผ้า ยานพาหนะ ที่อยู่อาศัย ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ประทีปโคมไฟ เป็นต้นการให้อามิสทานนี้ แบ่งตามคุณภาพของสิ่งที่ทำทานได้เป็น 3 อย่าง ดังนี้1.1 ทาสทาน ให้ของที่ด้อยกว่าตนเองใช้ ได้บุญน้อย1.2 สหายทาน ให้ของที่เสมอกับที่ตนเองใช้ ได้บุญมากขึ้น1.3 สามีทาน ให้ของที่ดีกว่าที่ตนเองใช้ ได้บุญมากที่สุด2.อภัยทาน คือ การให้ขีวิตสัตว์เป็นทาน รวมทั้งการปล่อยวางความโกรธให้หมด ไปจากใจ เลิกพยาบาท ให้อภัยกัน3.วิทยาทาน คือ การให้ความรู้เป็นทาน และให้คำแนะนำสั่งสอนที่ดี ที่มีประโยชน์ในการดำเนินชีวิต4.ธรรมทาน คือ การให้ความรู้เรื่องธรรมเป็นทาน เช่น การแนะนำสั่งสอนให้เข้าใจเรื่องบุญ บาป ให้ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส ด้วยการทำสมาธิภาวนา ซึ่งจะเป็นทางมาแห่งความสะอาดบริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ จนกระทั้งสิ้นอาสวกิเลสได้การให้ธรรมทานเปรียบเสมือนการให้ประทีปส่องทางชีวิตให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง ดีงาม ธรรมทานจึงมีอานิสงส์ยิ่งใหญ่และประเสริฐกว่าทานทั้งปวงการให้ทานที่มีอานิสงส์มากการให้ที่ได้บุญมาก มีผลนับประมาณมิได้ ตามหลักของพระพุทธศาสนา จะต้องครบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ คือ1.วัตถุบริสุทธิ์ หมายถึง สิ่งของที่นำมาทำทานหามาได้โดยชอบธรรม ไม่ได้ไปลักขโมยมา2.บุคคลบริสุทธิ์ หมายถึง ทั้งผู้รับและผู้ให้มีศีลมีธรรมตามเพศภาวะของตน3.เจตนาบริสุทธิ์ หมายถึง มีเจตตนาให้ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เชื่อในผลของทานทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังจากให้แล้วนอกจากนี้ การให้ทานจะได้บุญมากหรือน้อย ยังขึ้นอยู่กับเจตตนาของผู้ให้อีกด้วย ถ้าให้ทานแบบเฉพาะเจาะจงบุคคลใดบุคคลหนึ่งเรียกว่า “ปาฏิปุคลิกทาน” จะได้บุญน้อยกว่าการให้ทานแก่หมู่คณะโดยไม่เจาะจงผู้หนึ่งผู้ใด ที่เรียกว่า “สังฆทาน” ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับรองไว้ว่า “สังฆทานเป็นประมุขของผู้หวังบุญ พระสงฆ์นั่นแหละเป็นประมุขของผู้บูชาและเป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า”ของที่ให้แล้วไม่ได้บุญของบางอย่างไม่ควรนำไปให้ใคร เพราะเมื่อให้แล้วนอกจากจะไม่ได้บุญ ยังมีโทษ หรือบาปกรรมเกิดขึ้นแก่ทั้งผู้ให้และผู้รับ ได้แก่ สุรา ยาเสพติด มหรสพที่ทำให้ประมาทมัวเมาสัตว์เพื่อการผสมพันธุ์ รูปภาพ หรือสิ่งของที่ยั่วยุกามารมณ์ อาวุธหรือยาพิษเพื่อการทำมิจฉาชีพอานิสงส์ของการให้ทาน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอานิสงส์ของทานไว้ในสีหสูตรว่า1. ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ที่ชอบใจของคนเป็นอันมาก2. คนดีเป็นอันมากย่อมพอใจคบหาผู้ให้ทาน3. ชื่อเสียงอันดีงามของผู้ให้ย่อมฟุ้งขจรไป4. ผู้ให้ย่อมแกล้วกล้าอาจหาญ ไม่เก้อเขินในที่ประชุมชน5. เมื่อละจากโลกนี้ ผู้ให้ย่อมบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์อานิสงส์ 4 ประการแรกส่งผลในชาติปัจจุบัน ประการสุดท้ายส่งผลในชาติหน้า นอกจากนี้ ทานบางอย่างก็มีอานิสงส์ที่เด่นชัดอยู่ในตัวเอง เมื่อเราทำทานแล้ว แม้ไม่ได้อธิษฐานก็ตาม บุญก็จะส่งผลตามลักษณะของทาน ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในกินททสูตรว่า “ผู้ให้อาหาร ชื่อว่าให้กำลัง ผู้ให้ผ้า ชื่อว่าให้วรรณะ ผู้ให้ยาน (พาหนะ) ชื่อว่าให้ความสุข ผู้ให้ประทีปโคมไฟ ชื่อว่าให้จักษุ และผู้ที่ให้พักอาศัย ชื่อว่าให้ทุกอย่าง ส่วนผู้ที่ให้ธรรมทานชื่อว่าให้อมฤตธรรม”----------------------------------

http://goo.gl/fjUMf