"เป้าหมายทางการสร้างการศึกษาของ ม.รังสิต จะต้องสร้างโอกาสสำหรับคนที่มีศักยภาพและเป็นสาขาที่ประเทศมีความต้องการสูง เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประเทศ อย่างหมอในภาคอีสานขาดแคลนมาก สัดส่วนหมอ 1 คนต่อประชากร 2 หมื่นคน ต่างจากใน กทม.มีหมอ 1 คนต่อประชากร 1,000 คน ซึ่งสัดส่วนของหมอกับคนไข้ที่เหมาะสมควรอยู่ระดับนี้"
 
 
 
ด้วยความยึดมั่นในปณิธานนี้เมื่อ "ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์" 
อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิตเห็นถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ของ 
"หมอม้ง" กันตพงศ์เล่าลือพงศ์ศิริ ชาวไทยเชื้อสายม้งที่อยากจะร่ำเรียนเป็นหมอ
เพื่อกลับไปช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่พี่น้องชาวเขาเผ่าม้งที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล
และขาดแคลนหมอ จึงได้ให้ทุนการศึกษาทั้งค่าเล่าเรียน ที่พักแก่เขากระทั่งเรียนจบ
ได้ใช้คำนำหน้าว่า "นายแพทย์" และกลับสู่ภูมิลำเนาเพื่อสานต่อสิ่งที่ตั้งใจไว้
"ผมเห็นถึงความตั้งใจของกันตพงศ์ แล้วก็ให้ทุนเพราะอยากให้เขาได้ช่วยพัฒนาสังคม 
นอกจากนั้น ม.รังสิตมีทุนการศึกษามากมาย และให้โอกาสเด็กในสามจังหวัดภาคใต้
้ เข้ามาเรียนคณะต่างๆ เช่น แพทย์   แพทย์แผนตะวันออก วิศวะ วิทยาศาสตร์สุขภาพ" 
ดร.อาทิตย์ แจกแจง    
 
นพ.กันตพงศ์เล่าว่าเมื่อได้เข้าเรียนที่ ม.รังสิต และได้รับทุน "ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์" 
 อธิการบดีม.รังสิต เพื่อเรียนแพทย์ 6 ปี จนได้เป็นหมอ 
ทำให้รู้ว่ายังมีคนเห็นถึงความตั้งใจและไม่มีใครแก่เกินเรียน
 
"ผมตั้งใจเสมอว่าต้องช่วยพี่น้องชาวเขาเผ่าม้งและเผ่าอื่นๆ ให้พ้นจากความทุกข์ 
ซึ่งความทุกข์ของชาวเขาคือ ปัญหาสุขภาพ ผมเรียนหมอตอนอายุ 34 ปี
จึงเป็นความตั้งใจจริงของผม  เมื่อผมมีความรับผิดชอบต่อสังคม 
รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อความตั้งใจจริงของผมเช่นกัน" หมอม้งบอกด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น 
 "หมอม้ง" หรือหมัวเต็ง ที่ชาวเขาเรียกนั้นเกิดในสมัยยุคคอมมิวนิสต์เฟื่องฟู 
ช่วงวัยเด็กเขาต้องอยู่ในป่าเขา ซึ่งในปัจจุบันเป็น อ.เขาค้อจ.เพชรบูรณ์ 
และเดินทางย้ายถิ่นฐานตามพ่อแม่ไปเรื่อยๆ เพื่อหาที่ทำกิน เพราะมีอาชีพเกษตรกรรม 
แม้พ่อเป็นชาวเขาไม่รู้หนังสือ แต่ส่งเสริมให้ลูกๆ ทั้ง 11 คน เรียนหนังสือ 
เขาจึงได้เริ่มชีวิตการศึกษาที่ "โรงเรียนสถานสงเคราะห์เพชรบูรณ์" 
ที่รับสอนชาวเขาแต่ได้เรียนแค่จบชั้นอนุบาล 3 เท่านั้นเพราะต้องกลับเข้าไปอยู่ในป่า
โอกาสทางการศึกษาของหมอม้งเริ่มต้นอีกครั้งเมื่อ "พล.ท.รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์" 
ชักชวนเขาไปเรียนหนังสือในเมืองและให้อาศัยอยู่ที่บ้านของท่านในค่ายทหารที่ จ.ลพบุรี 
ส่งเสียให้เรียนตั้งแต่ระดับประถมจนถึงมหาวิทยาลัย 
เขาเลือกเรียนและสอบติดสาขาพยาบาลและผดุงครรภ์ มหาวิทยาลัยมหิดล 
เมื่อเรียนจบทำงานได้ 2 ปี ก่อนจะมาเรียนแพทย์ที่ ม.รังสิต
"ชีวิตทางการศึกษาของผมมาได้จนทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเพราะท่านแม่ทัพคอยช่วยเหลือ 
ซึ่งถ้าไม่ได้ท่าน อาจลำบากมากกว่านี้" หมอม้งเล่าอย่างซาบซึ้งใจ 
เขาจึงมุ่งมั่นตอบแทนผู้มีพระคุณทั้ง"พล.ท.รวมศักดิ์" และ"ดร.อาทิตย์" ด้วยการตั้งใจเรียนจนจบแพทย์
โดยเข้ารับปริญญาเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม2550 
ปัจจุบันหมอม้ง อยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์บำบัดรักษายาเสพติดเชียงใหม่ 
อ.สะเมิงจ.เชียงใหม่ ทำหน้าที่บำบัดรักษาผู้ป่วย และผู้ประสานกับชุมชนชาวเขา 
ในการให้คำปรึกษาทางด้านสุขภาพ และยังเป็นต้นแบบทางการศึกษาให้แก่เด็กๆ ชาวเขาด้วย
"ผมเป็นหนึ่งใน 1.5 แสนคนของชาวเขาเผ่าม้ง และเป็นหนึ่งในล้านคนของชาวเขาทั้งประเทศไทยที่เป็นหมอ 
จึงเป็นต้นแบบทางการศึกษาให้แก่เด็กชาวเขา เพราะเวลาผมไปบำบัดคนไข้ 
อยากให้เห็นผมเป็นต้นแบบให้เขาคิด ทบทวนว่าเขาและผมเป็นชาวเขาเหมือนกัน 
แต่เขานั่งฝั่งที่ไม่ดี เพราะไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด แต่เรานั่งฝั่งที่เป็นหมอ 
ตอนนี้มีพ่อแม่หลายคนบอกลูกหลานให้เรียนหมอ 
มีน้องชาวเขาเผ่าม้ง 2 คนเรียนคณะแพทยศาสตร์ม.รังสิต"

 

"หมอม้ง" ตั้งปณิธานแน่วแน่ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต เขาจะเป็นหมอที่คอยดูแลชาวเขาตลอดไป
เพราะเป็นสัญญาใจที่ให้ไว้กับอธิการบดี ม.รังสิตพี่น้องชาวเขาที่ช่วยเหลือและตัวเขาเอง 
สัญญาฉบับนี้จึงไม่อาจชดใช้ด้วยเงินทอง ของมีค่าใดๆ นอกจากรอยยิ้มและสุขภาพที่ดีของคนไข้ผู้อยู่ไกลปืนเที่ยง !!  
 
 
 
 
ที่มา- 
ปิดการแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง