ภาวะโลกร้อน
คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) สิทธิ์ในการปล่อยก๊าซ
คาร์บอนเครดิต ฮีโร่ช่วยโลก
คาร์บอนเครดิต หรือ CERs สามารถนำไปหักลบปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ในประเทศกลุ่มภาคผนวกที่ 1 ได้
คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คืออะไร
โครงการที่เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา และสามารถพิสูจน์ได้ว่าลดก๊าซเรือนกระจกได้จริง จะได้รับเครดิตที่เรียกว่า Certified Emission Reductions (CERs) หรือคาร์บอนเครดิตนั้นเอง โดยจำเป็นต้องดำเนินการให้ได้มาซึ่งเครดิตดังกล่าวผ่านการดำเนินงานตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM)
คาร์บอนเครดิต หรือ CERs นี้ สามารถนำไปหักลบปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศกลุ่มภาคผนวกที่ 1 ได้ ประเทศเหล่านี้จึงมีความต้องการซื้อ CERs เพื่อให้ประเทศของตนสามารถบรรลุพันธกรณีในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ และประเทศกำลังพัฒนายังสามารถบรรลุถึงเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อีกด้วย
"คาร์บอนเครดิต" หมายถึง สิ่งทดแทนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมหรือจากการคมนาคม เป็นสินค้าที่อยู่ในลักษณะของเอกสารสิทธิของปริมาณก๊าซที่ลดได้ หากประเทศพัฒนาแล้วไม่สามารถลดมลพิษของตนได้อีกต่อไป ก็ต้องใช้วิธีช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เมื่อลดได้จะกลายเป็นคาร์บอนเครดิตของตนเอง ทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าปรับ เช่น ประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ 1 ถูกกำหนดให้ลดก๊าซเรือนกระจก 30 ล้านตัน (ซึ่งจะมาจากการคำนวณเทียบปี พ.ศ. 2533) แต่โรงงานอุตสาหกรรมหรือโครงการที่มีในประเทศนั้นพยายามลดแล้ว ลดได้เพียง20 ล้านตัน จึงต้องไปซื้อคาร์บอนเครดิตจากประเทศกำลังพัฒนามาอีก 10 ล้านตัน ไม่เช่นนั้นจะโดนปรับ ตันละ 2,000 - 5,000 บาท
แต่จะเป็นสินค้าที่อยู่ในลักษณะของเอกสารสิทธิของปริมาณก๊าซที่ลดได้ และสามารถนำไปจะเห็นได้ว่าพิธีสารเกียวโตได้สร้าง “คาร์บอนเครดิต” ขึ้นมาให้มีลักษณะเป็น “สินค้า” (Commodity) ชนิดหนึ่งที่สามารถมีการซื้อขายกันได้ในตลาดเฉพาะ ที่เรียกว่า “ตลาดคาร์บอน”
คำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซโดยรวมของแต่ละประเทศได้
"คาร์บอนเครดิต" หมายถึง สิ่งทดแทนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
คาร์บอนเครดิตมีกลไกการดำเนินการอย่างไร
การที่จะได้มาซึ่งเครดิตนั้นดังกล่าว จำเป็นต้องผ่านการดำเนินงานตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด (CDM) ประกอบด้วย 7 ขั้นตอน คือ
1. การออกแบบโครงการ (Project Design) ผู้ดำเนินโครงการจะต้องออกแบบลักษณะของโครงการและจัดทำเอกสารประกอบโครงการ (Project Design Document: PDD) โดยมีการกำหนดขอบเขตของโครงการ วิธีการคำนวณการลดก๊าซเรือนกระจก วิธีการในการติดตามผลการลดก๊าซเรือนกระจก การวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
2. การตรวจสอบเอกสารประกอบโครงการ (Validation) ผู้ดำเนินโครงการจะต้องว่าจ้างหน่วยงานกลางที่ได้รับมอบหมายในการปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการบริหารฯ หรือที่เรียกว่า Designated Operational Entity (DOE) ในการตรวจสอบเอกสารประกอบโครงการ ว่าเป็นไปตามข้อกำหนดต่างๆ หรือไม่ ซึ่งรวมถึงการได้รับความเห็นชอบในการดำเนินโครงการจากประเทศเจ้าบ้านด้วย
3. การขึ้นทะเบียนโครงการ (Registration) เมื่อ DOE ได้ทำการตรวจสอบเอกสารประกอบโครงการและลงความเห็นว่าผ่านข้อกำหนดต่างๆ ครบถ้วน จะส่งรายงานไปยังคณะกรรมการบริหารกลไกการพัฒนาที่สะอาด (EB) เพื่อขอขึ้นทะเบียนโครงการ
4. การติดตามการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Monitoring) เมื่อโครงการได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโครงการ CDM แล้ว ผู้ดำเนินโครงการจึงดำเนินโครงการตามที่เสนอไว้ในเอกสารประกอบโครงการ และทำการติดตามการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามที่ได้เสนอไว้เช่นกัน
5. การยืนยันการลดก๊าซเรือนกระจก (Verification) ผู้ดำเนินโครงการจะต้องว่าจ้างหน่วยงาน DOE ให้ทำการตรวจสอบและยืนยันการติดตามการลดก๊าซเรือนกระจก
6. การรับรองการลดก๊าซเรือนกระจก (Certification) เมื่อหน่วยงาน DOE ได้ทำการตรวจสอบการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว จะทำรายงานรับรองปริมาณ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ดำเนินการได้จริงต่อคณะกรรมการบริหารกลไกการพัฒนาที่สะอาด เพื่อขออนุมัติให้ออกหนังสือรับรองปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ หรือ CER ให้ผู้ดำเนินโครงการ
7. การออกใบรับรองปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Issuance of CER) เมื่อคณะกรรมการบริหารกลไกการพัฒนาที่สะอาด ได้รับรายงานรับรองการลดก๊าซเรือนกระจก จะได้พิจารณาออกหนังสือรับรองปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ หรือ CER ให้ผู้ดำเนินโครงการต่อไป
คาร์บอนเครดิต คือ ความพยายามของโลกเราโดยประเทศที่พัฒนาแล้วเรียนรู้ถึงการยุติการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก เรียนรู้วิธีที่จะจัดการกับปัญหาดังกล่าวอย่างชาญฉลาด ลดภาวะโลกร้อนคาร์บอนเครดิต สิทธิ์ในการปล่อยก๊าซภาวะโลกร้อน คือ มีการปล่อยก๊าซซึ่งเกิดจากกระบวนการของมนุษย์ภาวะโลกร้อน คือ มีการปล่อยก๊าซซึ่งเกิดจากกระบวนการของมนุษย์ อย่างเช่นการเลื้ยงสัตว์ ปศุสัตว์ จะได้ก๊าซมีเทนจากมูลสัตว์ หรือก๊าซคาร์บอนที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งก๊าซดังกล่าวนี้จะก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ ก๊าซมีเทน ฯลฯ สาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิด ภาวะเรือนกระจกภาวะเรือนกระจก คืออะไร คือ การที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ หรือ ก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซที่เมื่อปลดปล่อยออกมาแล้ว จะทำตัวเป็นฟิล์มเคลือบอยู่บนชั้นบรรยากาศ ทำให้โลกของเรามีสภาพเหมือนห้องเรือนกระจก ความร้อนก็จะสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ภายใน ซึ่งมนุษย์เราเปรียบเสมือนผู้ที่อยู่ในห้องนั้น
ก๊าซเรือนกระจกเป็นตัวสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิบนผิวโลกสูงขึ้นน้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลายแล้วสิ่งที่ตามมาก็คือ เกิดภาวะน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ซึ่งจะนำมาซึ่งภาวะน้ำท่วมในอนาคต และเกิดการหายไปของเมืองที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้น...น้ำทะเลหนุนไหลเข้าท่วมบ้านเมือง
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ เกิดความคิดที่ว่าจะทำอย่างไร ไม่ให้เกิดภาวะเรือนกระจก จึงเป็นที่มาของ “คาร์บอนเครดิต”
คาร์บอนเครดิตมีที่มาอย่างไร
คาร์บอนเครดิต เกิดขึ้นที่ เกียวโตซึ่งอยู่ภายใต้อนุสัญญาของประชาชาติ โดยที่มีการตกลงกันว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีการก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกมากที่สุด ต้องมีความรับผิดชอบที่จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยกำหนดไว้ที่ประมาณ 5% ของปี 2533 ซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกัน และหากว่าประเทศใดที่ทำไม่ได้ตามเป้าจะถูกปรับ ในส่วนเกินนั้น ละ 100 ยูโร โดยประมาณ (5000 บาท ต่อ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซค์) ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงพอสมควร และหากภาพรวมของประเทศไม่อยู่ในเกณฑ์ดังกล่าว ก็จะให้ไปดูประเทศที่ไม่ได้ติดอนุสัญญา (ประเทศที่ไม่ได้ลงนามเข้าร่วมโครงการนี้) เสนอโครงการว่าหากประเทศนั้นลดได้เท่าไรส่วนที่ลดได้ก็จะเป็นเครดิตเท่านั้น ประเทศใดปล่อยก๊าซเกินหากไม่อยากเสียค่าปรับก็ไปซื้อเครดิต "สิทธิ์ปล่อยก๊าซ" มาทดแทน
กล่าวโดยสรุปคือ ประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้คิดโครงการขึ้นมา เช่น ฟาร์มเลี้ยงหมู แล้วมีมูลสุกร (ซึ่งก่อให้เกิดก๊าซมีเทนเป็นตัวทำลายชั้นบรรยากาศดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น)ปศุสัตว์ ได้ก๊าซมีเทนจากมูลสุกร นำมาผลิตไฟฟ้าจึงเป็นที่มาของโครงการว่านำมูลสุกรไปผลิตไฟฟ้า เป็นพลังงานทดแทน ได้ไฟฟ้ากลับมา เป็นสัดส่วนว่าลดภาวะเรือนกระจกได้เท่าไร ก็เป็นเครดิต แล้วคนที่อยากได้เครดิตตรงนี้ไว้ไปใช้ในส่วนเกินของกิจการตน ก็นำเงินมาลงทุน ก็จะได้ส่วนของเครดิตของจำนวนคาร์บอนไดออกไซค์ที่ลดลง
มีการวัดปริมาณที่ลดลงโดยกรรมการระดับประเทศ ระดับประชาชาติซึ่งมีการวัดกันคิดเป็นจำนวนคาร์บอนไดที่ลดลงประมาณกี่ตัน ซึ่งหากเกินแล้วจะโดนปรับตันละ 5000บาท แต่หากลงทุนในคาร์บอนเครดิตจะประมาณ 854 บาทต่อตัน จึงมีโครงการขึ้นมาว่าจะไปซื้อคาร์บอนเครดิตของประเทศโลกที่สาม (ประเทศกำลังพัฒนา) เช่นขี้หมู นำไปสร้างโรงไฟฟ้าพลังขี้หมู ซึ่งด้วยเหตุนี้เหมือนเป็นการพัฒนาประเทศโลกที่สาม ให้มีความยั่งยืนด้วยรายได้ที่เกิดจากการซึ้อคาร์บอนเครดิตจากประเทศที่พัฒนาแล้วสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมโดย ลดก๊าซเรือนกระจก..พัฒนาประเทศ
แล้วประเทศที่พัฒนาแล้วได้อะไรจากการมาลงทุนในคาร์บอนในเบื้องต้นมองว่าประเทศที่พัฒนาแล้วควรมีความรับผิดชอบต่อสังคม Corporate Social Responsibility ( CSR) ด้วยการลดก๊าซเรือนกระจก และเนื่องจากประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นเป็นประเทศใหญ่ มุ่งเน้นการอุตสาหกรรมเสียส่วนใหญ่ อาจไม่สามารถควบคุมปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ ประกอบกับมีเม็ดเงินมากพอที่จะไปลงทุนในคาร์บอนเครดิตซึ่งเป็นการช่วยในการพัฒนาประเทศโลกที่ 3 อีกทางหนึ่งด้วย สรุปคือ 1. ช่วยประหยัดค่าปรับ 2. ได้ช่วยพัฒนาประเทศโลกที่ 3 โดยสร้างรายได้ จากโครงการที่นำเสนอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก ความรับผิดชอบส่วนนี้อยู่ที่ยุโรป และญี่ปุ่น รวมแล้ว 41 ประเทศ
เรามารวมใจกันเปลี่ยนโลกใบนี้ (ให้ดียิ่งขึ้น)ในการแก้ปัญหาเรือนกระจกนั้น เราจะแก้ไขได้อย่างไร
อันดับแรกเราต้อง “รับรู้” ว่าโลกมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น เมื่อรู้แล้ว “ยอมรับ” ว่าเป็นปัญหา แต่การที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากความเคยชินนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก เพราะฉะนั้นต้องสร้างแรงจูงใจให้เกิดขึ้นโดย1. ให้มนุษย์ตระหนักถึงผลกระทบ ถึงความสำคัญ ว่าถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปโลกจะเป็นอย่างไร
2. ให้แรงจูงใจทางด้านการเงินด้วย เช่น หากผู้ใดปล่อยก๊าซทำลายสิ่งแวดล้อมจะต้องถูกปรับ แต่หากรักษ์โลกได้ก็จะได้รางวัล เป็นต้น
จากโครงการดังกล่าวได้เห็นว่าโลกเราได้เดินมาถูกทางแล้ว เพียงปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับชีวิตประจำวัน และพัฒนาสิ่งดีๆ ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อที่ว่าเมื่อโลกเย็นลงแล้วทุกคนจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข...รับชมวิดีโอรายการวิดีโอที่เกี่ยวข้อง
บทความที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอนเครดิตฮีโร่ช่วยชีวิต!
http://goo.gl/uUWOl