ข้อคิดรอบตัว
วันแม่แห่งชาติ
โดย พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑโฒเรียบเรียงจากรายการข้อคิดรอบตัว ทาง DMCเมื่อแม่กำพร้าลูกใกล้เดือนสิงหาคมเข้ามาแล้ว มีวันพิเศษสำคัญวันหนึ่งที่คนไทยทุกคนรู้จักกันดี นั่นคือวันแม่แห่งชาตินั่นเอง ซึ่งที่มาของงานวันแม่ในประเทศไทยนั้น จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ.สวนอัมพร โดยกระทรวงสาธารณสุข แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไป เมื่อวิกฤติสงครามสงบลง หลายหน่วยงานได้พยายามให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้งจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้กำหนดวันแม่ขึ้นใหม่ให้เป็นวันที่แน่นอน โดยถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และกำหนดให้ดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ คือ ดอกมะลิ เพราะมีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมนาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดเรา ที่มีความรักอันบริสุทธิ์ต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลายแต่ในปัจจุบันมีพ่อแม่หลายคนที่ไม่พร้อมจะมีบุตร และก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย และเด็กกำพร้าก็มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้น ซึ่งเกิดจากสภาพวิกฤตของสังคม ปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าส่งผลให้ครอบครัวแตกแยกขาดความอบอุ่น ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว รวมทั้งปัญหาการตั้งครรภ์โดยไม่พึงประสงค์ ทำให้ปัจจุบันมีเด็กถูกทอดทิ้งให้อยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กทั่วประเทศนั้นมีจำนวนมากนอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาคนชรา ผู้เคยเป็นพ่อแม่คนมาก่อนถูกทอดทิ้งซึ่งมีจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งปัญหาเหล่านี้ก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยการเป็นแม่ที่ดีควรทำตัวอย่างไร?
หน้าที่ของแม่ที่มีต่อลูก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ 5 ข้อ คือ1. กันลูกจากความชั่วทั้งปวง2. ปลูกฝังลูกไว้ในทางที่ดี3. ให้ลูกได้รับการศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มที่4. ให้ลูกได้แต่งงานกับคนดี5. มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงกาลอันควรส่วนใหญ่พ่อแม่เวลามองมักจะมองเพ่งไปทางลูก จริงๆ แล้วมองข้ามไปนิดเดียวว่า มันต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน เพราะพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่าง ฉะนั้นถ้าต้องการกันลูกจากความชั่ว เราไม่อยากให้ลูกทำอย่างไรเราก็ต้องไม่ทำอย่างนั้นก่อน จะทำอย่างไรให้ลูกเชื่อฟัง พ่อแม่ต้องรีบปูพื้นว่าตั้งแต่เริ่มต้นก็ทำตัวให้ดี จนลูกมีความเคารพรักเกรงใจและเชื่อฟังพ่อแม่ก่อน คือเริ่มต้นนั้นพ่อแม่ได้เปรียบอยู่แล้ว เพราะมีต้นทุนที่คนอื่นสู้ได้ยากตรงที่ว่าเกือบทุกคนรับรู้ว่าพ่อแม่หวังดีกับเรา โดยภาพรวมเป็นอย่างนั้นหน้าที่ของแม่ที่มีต่อลูกอย่าไปบังคับลูกให้ไปตามทางที่เราต้องการ ให้มองตรงที่ว่าเราจะโน้มน้าวลูกให้ไปในทางไหน เช่น ถ้าอยากจะกันลูกจากความชั่ว ตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ เราต้องทำตัวเองให้ดีด้วยแล้วค่อยๆ สอนเด็ก อย่านึกว่าเด็กไม่รู้เรื่องแล้วบอกว่าเอาไว้ให้โตก่อนแล้วค่อยสอน บางทีมันอาจจะพลาดไปได้เหมือนกัน ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรก็ให้ไปวัดก่อน เริ่มต้นปฏิบัติธรรมทำความดีให้สม่ำเสมอให้เกิดในใจของเราก่อน แล้วหน้าที่หลักสำคัญคือกันลูกจากความชั่วและปลูกฝังในทางที่ดีเราจะทำให้ผ่านไปได้ ถ้าผ่านข้อนี้ได้ข้ออื่นก็ง่ายลูกควรจะดูแลพ่อแม่อย่างไร ถึงจะเป็นการตอบแทนพระคุณท่านได้อย่างถูกต้อง?
ถ้าให้เข้าใจและจำง่าย หน้าที่ของลูกสรุปได้ 2 คำ คือ กตัญญู และ กตเวที อยู่ที่ 2 คำนี้ กตัญญู แปลว่า รู้คุณท่าน กตเวที คือ การตอบแทนคุณท่าน ไม่เหมือนกัน เริ่มต้นบางคนรู้คุณแต่ยังไม่ได้แทนคุณเพราะพ่อแม่ละโลกไปแล้ว ฯลฯ เราลองคิดดูว่าความหวังดีจริงใจที่พ่อแม่มีแก่เรานั้นมันไม่มีที่สิ้นสุด แม้ในกรณีที่พ่อแม่ให้กำเนิดมาแล้วไม่ได้เลี้ยงดูเรา อย่างนี้ท่านก็ยังเป็นผู้มีพระคุณสุดจะประมาณได้ เพราะท่านเป็นผู้ให้ต้นแบบทางกาย เราจะเกิดเป็นมนุษย์ได้ต้องอาศัยคุณพ่อคุณแม่เป็นต้นแบบกายมนุษย์ คุณค่าของสิ่งใดขึ้นอยู่กับแบบฉะนั้นพระคุณในการเป็นต้นแบบของกายมนุษย์อันนี้ก็มากสุดจะพรรณนาแล้ว ยิ่งถ้าท่านเลี้ยงดูเราอีกก็ยิ่งทับทวีคูณเลย จนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุปมาไว้ว่า ถ้าบุตรจะพึงนำบิดามารดาวางไว้บนบ่าของตนทั้ง 2 ข้าง ป้อนข้าวป้อนน้ำ ให้ท่านอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งหมดแล้วบุตรมีอายุจนถึง 100 ปี ดูแลปรนนิบัติท่านอย่างนี้จนตลอดชีวิต ก็ยังตอบแทนพระคุณพ่อแม่ไม่หมด เพราะท่านเป็นผู้ที่มีบุญคุณกับเราสูงมาก ผู้เป็นลูกจึงควรต้องไตร่ตรองให้ซาบซึ้งเห็นถึงคุณของท่านจริงๆ อย่างนี้เรียกว่ามีความกตัญญูการตอบแทนพระคุณพ่อแม่อย่างถูกต้องต่อมาก็คือต้องมีความ กตเวที คือรู้จักทดแทนพระคุณท่าน ตอบแทนคุณท่าน หลักๆ 2 ตอน คือ ตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ เราก็ต้องดูแลปรนนิบัติ ทำตัวให้ดีให้ท่านชื่นใจ อะไรช่วยท่านได้เราก็ต้องทำ อย่าให้ท่านต้องกลุ้มใจหรือทุกข์ใจเพราะเรา และแม้ที่สุดเมื่อท่านละโลกไปแล้วก็ต้องทำบุญ กรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอด้วยในสังคมปัจจุบันมีคำพูดที่ว่า “แม่คนเดียวเลี้ยงลูกได้หลายคน แต่ลูกหลายคนเลี้ยงแม่คนเดียวไม่ได้” ทำอย่างไรให้คำพูดแบบนี้หมดไปได้?
คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายต้องรีบทำตามที่พระพุทธองค์สอนไว้ คือ กันลูกจากความชั่วแล้วปลูกฝังลูกไปในทางที่ดี ถ้าทำได้อย่างนี้ลูกจะมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ เพราะเขารู้แล้วว่าอะไรเป็น บาป บุญ คุณ โทษ ฉะนั้นเขาจะไม่ละเลยสิ่งนี้ เราทำไว้อย่างไร อีกหน่อยเราจะได้อย่างนั้น ใครดูแลพ่อแม่อีกหน่อยลูกหลานจะดูแลเราเองเมื่อพ่อแม่มีหน้าที่ต้องดูแลลูก และจริงๆ แล้วลูกก็มีหน้าที่ต้องดูแลพ่อแม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นหน้าที่ของลูกอยู่แล้ว อย่าคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเราและคิดให้ได้ทั้ง 2 ทางกันทั้ง 2 ฝ่ายแล้วจะได้คำตอบบุพกรรมใดที่ทำให้บางคนเกิดมาต้องกำพร้าพ่อแม่ หรือเป็นพ่อแม่ที่กำพร้าลูกไม่มีลูกมาดูแลในบั้นปลายชีวิต?
มีทั้งกรรมในอดีตและกรรมในปัจจุบัน ถ้าเป็นกรรมในอดีตก็คือเคยไปพรากลูกจากพ่อแม่เขา เช่น พรากลูกนกจากแม่นก อย่างนี้เป็นต้น พอวิบากกรรมตามทันเลยส่งผลให้ต้องมากำพร้าพ่อแม่อย่างนั้นบ้าง ส่วนที่เป็นกรรมในปัจจุบันคือ ถ้าหากว่าพ่อแม่ดูแลลูกไม่ดี ลูกเลยไม่สนใจใยดี อย่างนี้ก็เป็นกรรมปัจจุบันบวกเข้ามาด้วยฉะนั้นวิบากกรรมในอดีตเราแก้ไม่ได้ก็ช่างมัน แต่เราต้องไม่สร้างวิบากกรรมใหม่ ให้สร้างแต่กรรมดีทำตัวเองให้ดี ดูแลพ่อแม่และลูกหลานให้ดี ถ้าทำได้อย่างนี้จะเป็นอานิสงส์ติดตัวเราไปได้ด้วยโบราณก็บอกไว้อยู่แล้วว่า อย่างชิงสุกก่อนห่าม วัยเรียนก็ต้องเรียนหนังสือ ถ้าไปตามอารมณ์ในขณะที่วุฒิภาวะยังไม่พอ จะทำให้ลำบากทั้งชีวิตเลย สนุกเพลิดเพลินไปได้แค่ชั่วคราว แต่ต้องน้ำตาตกในและเสียอนาคตทั้งชีวิตนั้นไม่คุ้มกันเลย ถ้าอดทนตรงนี้ไว้ได้คุณค่าของตัวเราเองจะสูงขึ้น ตั้งใจเล่าเรียนให้ดีแล้วอนาคตข้างหน้า ความสุขที่เราจะได้รับตอบแทนมันคุ้มค่ากว่ามากสำหรับผู้ที่พลาดพลั้งไปทำแท้งแล้ว บาปกรรมที่เราทำไปมันก็เกิดขึ้นแล้วมันก็ยังอยู่ แต่ถ้าเราไม่ทำเพิ่มและตั้งใจทำบุญกุศลมากๆ บุญก็จะไปช่วยเจือจางบาปที่มีอยู่ให้อ่อนกำลังลงได้ อย่างที่เคยเปรียบไว้ว่า ทำบาปเหมือนเติมเกลือ ทำบุญเหมือนเติมน้ำ บาปเกิดเกลือมันก็มีอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราไม่เติมเกลืออีก ไม่ทำชั่วอะไรเพิ่มอีก แต่ทำความดีทำบุญกุศลมากๆ บุญก็เป็นเหมือนน้ำไปเจือจางให้เกลือเค็มน้อยลงๆ ให้อ่อนแรงลงอย่างนั้น ฉะนั้นอะไรที่เกิดขึ้นแล้วอย่าไปนึกถึงมัน ช่างมันให้มันผ่านไป แต่จากนี้ไปก็ต้องไม่ทำอีกอย่างเด็ดขาด และตั้งใจทำบุญกุศลเพิ่มขึ้นเยอะๆ สุดท้ายเราจะผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิด ทุกคนเคยผิดพลาดทั้งนั้นในรูปแบบต่างๆ กัน อะไรที่ผิดพลาดไปแล้วก็ช่างมัน แต่จะไม่ทำอีกและทำความดีให้มากๆ
http://goo.gl/vhUFQ