หลวงพ่อตอบปัญหาโดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMCถาม: หลวงพ่อครับ คนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าการกินอาหารมังสวิรัต หรือกินเจนั้นได้บุญ อยากกราบเรียนถามว่าจริงๆ แล้วได้บุญหรือไม่ครับคำตอบ: ถ้ากินเจแล้วได้บุญ ควายมันคงจะไปนิพพานก่อนมนุษย์ เพราะควายมันกินหญ้า กินเจมาตลอดชีวิตของมัน แต่ก็เห็นมันยังคงกินอยู่ในทุ่งเหมือนเดิม ไม่เห็นมันเหาะไปไหนสักที แล้วมันก็ไม่ได้ฉลาดเพิ่มขึ้นด้วย ตรงนี้เป็นสิ่งที่จะฝากเป็นข้อเตือนใจเอาไว้ขั้นต้นประการที่ ๒. การได้บุญนั้นมันอยู่ที่การทำความดี การทำความดีที่จะให้ได้บุญนั้นมันมีกรอบของมันอยู่ เช่น ให้ทานแล้วกำจัดความตระหนี่ได้ ก็ได้บุญ แต่ให้ทานแล้วจะเอาหน้าถือว่ายังไม่ได้บุญ หรือได้ก็น้อย เพราะวัตถุประสงค์ต้องการเอาหน้ามากกว่า ไม่ได้มีเจตนาที่จะกำจัดกิเลส ให้ทานแล้วมุ่งที่จะกำจัดความตระหนี่ อย่างนี้ได้บุญชัดเจน ให้ทานเพราะรู้ว่าให้ไปแล้ว มันเป็นประโยชน์แก่คนนั้นคนนี้ มีจิตเมตตาอยากจะเห็นชาวโลกเป็นสุขเลยให้ทาน อย่างนี้บุญมันเกิดขึ้นมากวัตถุประสงค์ในการกินเจต้องชัดเจน เช่น๑. กินเจเพราะว่าอาหารมังสวิรัตนี้มันถูกกับโรคของเรา คือถ้าไม่กินเนื้อสัตว์แล้วหันมากินเจแทน ทำให้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ กินเพื่อสุขภาพ ไม่ใช่กินเจเอาบุญ๒. หาอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในบริเวณนั้นได้ยาก คือกินอาหารนั้นเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปหลายคนเข้าใจว่ากินเจแล้วได้บุญ เพราะว่าไม่มีการสนับสนุนการฆ่าสัตว์ให้เกิดขึ้น ก็ขอเตือนว่าไม่จริงหรอก เพราะการที่เรากินผักแล้วบอกว่าเราไม่ได้สนับสนุนให้เกิดการฆ่าสัตว์นั้นไม่จริง หลวงพ่อจบทางด้านการเกษตรมา พอลงมือไถนาเท่านั้น ไม่ว่าไส้เดือนกิ้งกืออยู่ในดินนั้น "ตายเยอะเลย" บางช่วงมีแมลงก็มารบกวน ก็ต้องกำจัดแมลง ฆ่าแมลงอีก ฆ่ากันไม่มีจบเพราะฉะนั้นไม่ว่ากินเจหรือว่าไม่กินเจ ไม่ได้ช่วยให้ลดการฆ่าลงได้เลยและไม่ได้ช่วยให้ใจมีเมตตากรุณาอะไรเลย ต้องทำความเข้าใจตรงนี้ด้วย ควายมันกินหญ้าไปทั้งชาติ ลองเข้าใกล้มันจะขวิดไหม? ขวิดแน่นอน ทำไม? มันไม่ได้ลดความดุลงไปได้เลย เพราะฉะนั้นอาหารไม่สามารถทำให้เราได้บุญได้ อาหารเป็นเครื่องยังชีพ อาหารไม่สามารถจะฟอกใจให้บริสุทธิ์ได้ แต่อาหารช่วยให้มีเรี่ยวแรง ในการที่จะประกอบคุณงามความดีได้ แยกกันให้ชัดๆ อย่างนี้เพราะฉะนั้นจะกินเจหรือไม่กินเจ หลวงพ่อไม่ได้มีเรื่องอะไรต่อต้าน ควรกินเพื่อสุขภาพ แต่กินเพราะคิดว่าจะได้บุญ มันไม่ได้ แต่จะได้ความหลงเข้ามาแทน หลงผิด! คิดว่าได้บุญ หลอกตัวเอง ในกรณีนั้นอย่าไปกิน หลวงพ่อเองถ้ามีอาหารเจมาให้ก็ฉัน ถ้าไม่มีอาหารเจเอาอาหารธรรมดามาให้ก็ฉัน อาหารไม่สามารถทำให้เราได้บุญหรือได้บาป อาหารทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้การจะหาอาหารมากินกันแต่ละมื้อ ก็ต้องระมัดระวังด้วย คือจะกินเนื้อสัตว์ก็มีข้อแม้ ดังนี้๑. ไม่ฆ่าเอง๒. ไม่สั่งให้ใครฆ่า๓. ไม่รู้ไม่เห็นในการฆ่านั้นๆ๔. ไม่รู้ด้วยว่าเขาฆ่าเพื่อเจาะจงเอาไว้เพื่อให้เราเพราะฉะนั้นเมื่อมีในท้องตลาดอย่างไร ก็ซื้อมาอย่างนั้น กินกันไป ไม่ได้ฆ่าใคร เอาแค่นี้ก่อน เมื่อมีแรงแล้ว เอาแรงที่ได้ ไม่ว่าจากอาหารเจหรือไม่เจ เอาไปทำความดีให้เยอะๆ ตรงนี้ดีกว่ามากเลยถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ กราบเรียนถามต่อว่าการที่เราซื้อไข่เป็ด ไข่ไก่ตามตลาดมาทำอาหาร ถือว่าเป็นการทำปาณาติบาตหรือไม่เจ้าคะคำตอบ: อาหารประเภทไข่เป็ดไข่ไก่นี้ เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ระวังกันหน่อยก็จะดี คือไข่ที่มันมีอยู่ในท้องตลาดในยุคปัจจุบันนี้ ค่อนข้างจะเป็นไข่สดๆ คือไม่ได้เก็บทิ้งกันไว้นาน เพราะว่ามีการเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่กันเป็นอาชีพ ไม่ใช่ไปเก็บเอาไข่ไก่ไข่เป็ดที่มันทิ้งๆ ขว้างๆ อยู่ในป่ามาไข่เป็ดไข่ไก่ที่มีอยู่ในท้องตลาดปัจจุบันนี้ ส่วนมากแล้วเป็นไข่เป็ดไข่ไก่ที่ไม่มีเชื้อตัวผู้อยู่ด้วย เพราะว่าเขาแยกกันออกไปเลย เขาแยกพ่อพันธุ์ไก่ พ่อพันธุ์เป็ดออกไป ไม่เอามาเลี้ยงปนกัน เพราะฉะนั้นไข่ประเภทนี้ถึงจะเอาไปฟัก เอาไปทำอะไร มันไม่มีทางที่จะมีชีวิต ไม่มีทางที่จะเป็นตัวขึ้นมาได้เลย ไข่ประเภทนี้จะกินไปกี่ร้อยกี่พันฟองก็ไม่บาปหรอก แต่ระวังไฮคอเรสเตอรอลนะ ถ้ากินมากไป คอเรสเตอรอลสูงจะมีผลต่อสุขภาพไข่ประเภทที่ ๒ เป็นไข่ที่เขาก็เอาไปผสมแล้ว คือมีตัวผู้พ่อพันธุ์มาผสมด้วย ซึ่งถ้าไข่ประเภทนี้ถ้าเขายังไม่ได้นำไปฟัก ชีวิตก็ยังไม่เกิดอีกเหมือนกัน เพราะว่าชีวิตจะเกิดต่อเมื่อฟักแล้ว มันเริ่มจะเป็นตัวขึ้นมา ที่ใช้คำว่าเป็นตัว มันเริ่มตั้งแต่ตอนเวลามันฟักไข่ใหม่ๆสักวัน ๒ วัน เราก็เอาไข่ของมันไปส่องไฟฉายเลยก็ได้ จะพบว่ามันยังใสอยู่ ไม่มีอะไรแต่พอเข้าวันที่ ๕ วันที่ ๗ มันจะเริ่มมีจุดแล้ว มีสายเลือดด้วย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการมีชีวิต มันต้องใช้อากาศหายใจ หรือว่ามันเริ่มจะมีปราณแล้ว มีลมหายใจ แล้วจากนั้นมันก็เริ่มก่อตัว โตขึ้นๆ จากเป็นจุดกลายเป็นก้อน จากเป็นก้อนก็กลายเป็นตัว จากเป็นตัวก็มีขน มีอะไรต่ออะไรเกิดขึ้นมา พอครบเดือนมันก็เจาะเปลือกไข่ออกมาเป็นตัวถ้าไข่นั้นมันเริ่มเป็นจุด มีเส้นเลือดขึ้นมาแล้ว แสดงว่ามันเริ่มมีชีวิต มันเริ่มมีปราณ ถ้าใครเอาไข่ที่มาถึงตรงนี้ไปกินแล้ว นั่นคือฆ่าสัตว์ ตรงนั้นมีบาป แต่ว่าไข่ที่ยังไม่ได้เอาไปฟัก ถึงแม้มันจะผสมกัน แต่มันไม่ได้ฟัก มันไม่มีตัวขึ้นมา เพราะฉะนั้นถึงจะกินเข้าไป มันก็ไม่มีบาปอะไรตรงนี้อย่าไปปนกันกับ ไข่จิ้งจก ไข่ตุ๊กแกนะ มันไม่ต้องฟัก หรืองู มันไข่ทิ้งเอาไว้ แล้วมันก็เป็นตัวโดยไม่ต้องฟัก แม้ไม่ได้กินแต่ถ้าไปทำไข่ของมันแตกเข้า เดี๋ยวมันคลานยั๊วเยียะออกมาจะบาปเอาศีลข้อนี้เริ่มต้นด้วยปาณาติบาต คือฆ่าสัตว์ที่มีปราณ มีลมหายใจ มีชีวิตขึ้นมา ถ้ายังไม่ได้เอามาฟัก มันยังไม่มีชีวิตนั้นกินได้ไข่ในท้องตลาดถึงแม้ว่ามันผสมเชื้อมาด้วย แต่ถ้าเป็นไข่ใหม่ๆที่มันยังมีนวลอยู่ที่ผิวไข่ แสดงถึงความใหม่อย่างนั้น ถึงจะมีเชื้อหรือไม่มีเชื้อผสม แสดงว่าก็ยังไม่ฟอร์มตัวเป็นก้อนเลือดหรือมีชีวิต กินได้ไม่บาป แต่ถ้าเห็นว่ามันเก่าแล้ว ชักไม่แน่ใจ ก็อย่าเลยหาไข่ใหม่ๆแทน ไม่ต้องไปเสี่ยงถาม: หลวงพ่อครับ คนส่วนใหญ่คิดว่า การโกหกเพื่อให้คนสบายใจ เช่น แพทย์ปิดบังความจริงกับคนป่วยหนัก เพื่อให้เขาสบายใจ การโกหกอย่างนี้ไม่น่าจะเป็นบาป เราจะอธิบายให้เขาเข้าใจถูกต้อง ได้อย่างไรครับคำตอบ: ครั้งใดที่เราโกหก ครั้งนั้นฟ้องว่า ความกล้าในการเผชิญต่อความจริงของเราได้สูญเสียไป โกหกแต่ละครั้ง ก็ทำให้ความกล้าในการเผชิญกับความจริงลดไปทุกครั้ง ในที่สุดคนอื่นจะเสียหายหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ก็คือกำลังใจของเราถดถอยลงไปทุกวัน ตรงนี้ที่บาปมันเกิดแล้ว ส่วนคนฟังจะเป็นอย่างไร ก็อีกเรื่องหนึ่ง เอาตัวให้รอดก่อนช่วยคนไข้ แต่เราอาการปางตายเข้าไปทุกวัน หลวงพ่อว่าไม่คุ้มหรอกครั้งใดที่เราจะโกหกนอกจาก จะทำให้กำลังใจในการเผชิญกับความจริงหมดไปยังไม่พอ เวลาเราจะพูดอะไรเราต้องคิดก่อนทั้งนั้น ทันทีที่เราคิดตามความเป็นจริง ภาพมันก็จะปรากฏขึ้นในใจเราชัดเจนเหมือนในจอทีวี ถ้าเราโกหกเมื่อไหร่ เราจะต้องล้มภาพนั้นทิ้ง โกหกแต่ละครั้งก็เท่ากับล้มภาพนั้นทิ้งแต่ละครั้งเหมือนกัน เวลาเราดูทีวีบางครั้งเครื่องมันรวน ภาพในจอทีวีพอขึ้นมาแล้วก็ล้ม ทีวีประเภทนี้ถ้าไม่รีบซ่อมก็รีบเอาไปโยนทิ้งนะเราก็เหมือนกันถ้าโกหกไปเรื่อยๆ ก็คือหลอกตัวเองหรือล้มภาพทางใจที่ดีงาม ชัดเจนทิ้ง ต่อไปเวลาคิดอะไรภาพมันเริ่มไม่ชัด หรือภาพที่คิดแล้วชัดแล้ว แต่ตัวเองเกิดความไม่มั่นใจขึ้นมา เนื่องจากล้มทิ้งเสียจนเคย ตรงนี้อันตราย เพราะนอกจากล้มทิ้งแล้ว เราไปตั้งภาพหลอกขึ้นมาซ้อนอีกภาพหนึ่ง ทำให้ภาพที่เกิดขึ้นเป็นทั้งภาพจริงและภาพหลอก มันจะซ้อนถูกบันทึกกันไว้ในใจ เมื่อบันทึกไว้ในใจ พอเราพูดก็ตอกย้ำลงไปอีก พูดเท็จก็ตอกย้ำภาพเท็จ ย้ำลงไปเรื่อยๆคุณภาพใจของคนที่พูดเท็จนั้นเสียหมดเลย เพราะเหตุที่คุณภาพทางใจของคนพูดเท็จมันเสียไปเรื่อยๆนี่แหละ ทุกครั้งที่พูดเท็จเราจึงพบว่า คนที่โกหกเก่งๆ พูดเท็จเก่งๆ คนพวกนี้นั้นบั้นปลายชีวิต มักจะเป็นคนหลงทั้งนั้น นบางคนอายุแค่ ๕๐, ๖๐ ก็เริ่มหลง แต่บางคนอายุ ๙๐ ไม่หลงเลย เรื่องเมื่อท่านเป็นเด็กๆท่านยังจำได้ เล่าให้เราฟังได้แม้ท่านอายุ ๙๐ แล้ว แต่บางคนอายุแค่ ๖๐ เท่านั้น เรื่องเมื่อวานก็จำไม่ได้เแล้ว อาการอย่างนี้เขาไม่เรียกว่าลืม เขาเรียกว่าหลง เพราะโกหกมาตลอดชีวิต เป็นนักโกหกนั่นเองเพราะฉะนั้นถ้าเราจะรักษาคุณภาพของใจ๑. ไม่ให้หลงๆ ลืมๆ๒. ไม่ให้กลายเป็นคนขี้ขลาด อย่าโกหกนะพ่อแม่โกหกลูกว่าอย่าซนนะ ถ้าไม่ซนเย็นนี้แม่กลับมาจะซื้อขนมมาฝาก แค่ตอนเย็นลืมซื้อขนมมาฝาก ลูกทวงเอายังกลัวลูกเลย ลูกเราแท้ๆ พอเราตกอยู่ในภาวะเหมือนอย่างไปโกหก ความกล้าจะเจอหน้าลูกยังลดลงไปเลย เพราะฉะนั้นอย่าทำเด็ดขาดเรื่องโกหกใคร ไม่ว่าจะเป็นคนไข้หรือไม่ก็ตามถ้าบอกความจริงกับคนไข้ป่วยหนัก มันก็ต้องมีวิธี แทนที่จะบอกอย่างนั้น ต้องตีประเด็นก่อน ถ้าบอกปุ๊บ ตายปั๊บ เราก็เสีย ถ้าอย่างนั้นแทนที่จะบอก เปลี่ยนประเด็นดีกว่า คุณ! ไม่มีใครในโลกนี้หรอกที่เกิดแล้วไม่ตาย มันก็ตายด้วยกันทุกคน แต่ข้อสำคัญมันตายตอนใจใสหรือใจขุ่น ถ้าใจใสสุคติเป็นที่ไป ใจขุ่นทุคติเป็นที่ไป คุณทำใจใสๆ เอาไว้ พอคุณทำใจให้ใสได้เท่าไหร่ ยาที่ให้คุณไปมันไม่สเตร็ท ยามันเดินง่าย คุณทำใจใสไว้นะ ยาที่หมอให้จะได้มีประสิทธิภาพ โอกาสหายของคุณจะได้มี แต่ว่าถ้าคุณยังเพ้อรำพัน ยังไม่ให้ความร่วมมือ ยังไม่พยายามที่จะทำสมาธิให้ใจใสได้ โรคของคุณมันก็ 50-50 นะ ทั้งหมดนั้นคือ๑. จะต้องพูดความจริงๆ แต่ค่อยๆ รับรู้ความจริงไปทีละน้อย อย่าให้ช็อค๒. สอนวิธีให้คนไข้รู้จักทำใจให้ผ่องใส เป็นการเตรียมพร้อมที่จะรองรับ๓. เมื่อได้จังหวะแล้ว ต้องบอกกันตรงๆ อย่าให้หลงตายถ้าหลงตายเท่ากับว่าเราหลอกเขานะ คนไข้จะตายยังไปหลอกเขาอีก มันเกินไป จะตายก็ให้เขารู้ความจริงบ้าง จะได้เตรียมตัว ไม่งั้นถึงคราวเราเป็นอะไรบ้าง เดี๋ยวจะโดนหลอก เกิดอีกกี่ชาติก็โดนหลอกตลอดชาติ ไม่คุ้มกัน เพราะฉะนั้นห้ามไปหลอกใคร แต่ว่าถ้าความจริงเขายังรับไม่ได้ จะมีวิธีผ่อนปรนอย่างไรให้เขาค่อยๆ รับรู้ไปตามลำดับ จนกระทั่งบอกความจริงได้ชัดเจน อย่างนี้คือแพทย์ตัวจริง แม้คนไข้ตายก็ตายพร้อมกับใจใสๆ ตายพร้อมกับความรู้ตัว แล้วเขาก็จะเป็นคนกล้าที่จะเผชิญความจริงไปทุกภพทุกชาติ ทั้งคนไข้ทั้งหมอนั่นแหละ อย่างนี้มันจึงจะดี
http://goo.gl/Hq3sd