โซเชียลเน็ตเวิร์ค
การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างปลอดภัยจากรายการทันโลก ทันธรรม ออกอากาศทางช่อง DMCการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างปลอดภัยการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างปลอดภัยทันโลก โดย ผศ.ดร.สุวัฒน์ อธชนากร และ ชุลีพร ช่วงรังษี
โลกปัจจุบันเป็นโลกสื่อสารไร้พรมแดนด้วยเทคโนโลยี่และอินเตอร์เน็ต สามารถทำให้คนเราซึ้งอยู่คนละมุมโลกติดต่อกันได้อย่าสะดวกสบายไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อมูล ภาพ เสียง ไฟล์ต่างๆ รวมทั้งวีดีโอคอลที่ทำให้คนที่พูดคุยกันเห็นหน้าเห็นตากันเหมือนพูดคุยกันอยู่ซึ่งๆ หน้าเลย ความสะดวก สบาย ประหยัดค่าใช้จ่าย แฝงมาด้วยอันตรายจากมิจฉาชีพเราต้องดูเรื่องความปลอดภัยของการใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย เรากำลังถูกจับตามองจากต่างชาติ เพราะเราเป็นอันดับที่สามที่เป็นแหล่งไวรัสโทรจันรองจากจีนและอินโดนีเซีย และมีสถิติการถูกขโมยเงินทางอินเตอร์เน็ตมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลย เนื่องจากมีนักเจาะระบบหรือว่าแฮกเกอร์เข้ามาอาศัยอยู่เมืองไทยมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติ หรือชาวไทยเอง ทำให้ความมั่นใจในการที่จะมาลงทุนลดน้อยลงไป เพราะหลายคนที่จะมาลงทุนในประเทศไทยกลัวความเสี่ยงในเรื่องของความปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์
ความเสี่ยงทางเทคโนโลยีสามารถแบ่งได้ 3 ประเภท1. ความเสี่ยงจากการใช้สมาร์ทโฟน ในปัจจุบันเราสามารถใช้สมาร์ทโฟนเพื่อเชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เน็ต การใช้บริการออนไลน์ต่างๆ การใช้บริการเหล่านี้ หลายครั้งที่เราต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวไปด้วย ซึ่งมิจฉาชีพก็อาจล่วงข้อมูลของเราไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางด้านการเงินจะเอาข้อมูลนั้นไปใช้ในการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายได้2. ถูกหลอกให้โอนเงินผ่านอินเตอร์เน็ต ในปัจจุบันก็มีการขายของมากมายบนอินเตอร์เน็ตมีการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ที่ผ่านมาก็มีหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นบริษัทท่องเที่ยวซึ่งอาจเป็นบริษัทปลอม ที่เปิดหน้าเว็บไซต์ขึ้นมาก โฆษณาแพคเกจทัวร์ที่ถูก พอเราโอนเงินไปแล้ว ติดต่อไม่ได้ ปรากฏว่าบริษัทนั้นไม่มี อาชญากรก็ปิดเบอร์โทรหนี ปิดเว็บไซต์หนี เราก็เสียเงินฟรี สินค้าต่างๆ บาทที่ก็โฆษณาว่ามีสินค้าชนิดนั้นชนิดนี้ อาจจะได้สินค้าที่ไม่ตรงตามที่ต้องการ เช่น สั่งไอแพด ได้ขนม และยังมีการสร้างเว็บปลอม เป็นเว็บของธนาคาร โดยให้ลูกค้าของธนาคารไปกรอกข้อมูล ทำให้อาชณากรรู้ข้อมูลของเรา แล้วเอาข้อมูลของเราไปเบิกเงินจากทางธนาคารมาใช้3. ความเสี่ยงจาการเชื่อมต่อไวไฟ (Wi-Fi) สาธารณะ ในปัจจุบันมีอาชญากรที่พยายามปลอยสัญญาตามชุมชนต่างไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า ที่สาธารณะ โดยตั้งชื่อเหมือนกันชื่อบริษัทที่ให้บริการที่มีชื่อเสียงผู้ใช้ทั่้วไปก็จะไม่ทราบ เชื่อต่อกับระบบสัญญาเข้าไป โดยบางครั้งก็มีการกรอกข้อมูลส่วนตัวเขาไปด้วย ข้อมูลก็จะถูกดูดออกไปจากระบบทำให้อาชญากรรู้ข้อมูลของเรา ข้อมูลทางด้านการเงินก็นำไปใช้ในทางที่ผิดต่อไป ปลอมได้ไงเพราะในประเทศไทยสามารถซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์มาใช้ได้โดยไม่ต้องลงทะเบียนทำให้เป็นช่องว่างทางกฎหมาย อาชญากรสามารถซื้อมาแล้วก็ต่ออินเตอร์เน็ตได้โดยไม่ได้ลงทะเบียนซิมการ์ดการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างปลอดภัยข้อควรระวังในการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ค1. ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นวันเดือนปีเกิด เบอร์โทรศัพท์ หรือว่าที่อยู่ เราควรระมัดระวังข้อมูลเหล่านี้ให้มากที่สุด ทางผู้ประกอบการ หรือเว็บไซต์เขาก็อยากจะได้ข้อมูลของเราให้มากที่สุดเพื่อนำไปพัฒนาบริการ และเพื่อเหตุผลทางการตลาดด้วย ถ้าเขานำไปใช้ในวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องก็ไม่มีปัญหาอะไร บางครั้งอาจจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีมาดึงข้อมูลนั้นไป ผู้ไม่ประสงค์ดีมาสร้างเว็บไซต์ปลอม เพื่อขอข้อมูลเหล่านี้ ถ้าเราให้ข้อมูลมากเกินไปก็จะเป็นอันตรายต่อเรา2. ไม่ตั้งโปรไฟล์เป็นสาธารณะ ก็เปรียบเหมือนการสร้างบ้านโดยที่ไม่มีรั่วบ้านเชื่อเชิญอาชญากรให้มาบุกรุกบ้านของเรา3. ไม่รับแอดเพื่อนง่ายๆ เราควรศึกษาดีๆ ก่อนว่าคนนั้นเป็นใครเป็นเพื่อนของเพื่อนจริงหรือเปล่า และแอดเราเป็นเพื่อนเพื่อวัตถุประสงค์ใด ถ้าไม่เป็นเพื่อนของเพื่อนจริงเราก็ไม่ขอรับเพื่อนดีกว่าเพราะว่าเขาอาจมีวัตถุประสงค์อื่นในการที่เข้ามาเป็นเพื่อนกับเรา ต้องเช็คดีก่อนไม่อย่านั้นเราจะรับคนพาลเข้ามาเป็นเพื่อนได้ง่ายๆ4. การเช็คอินในสถานที่ต่างๆ เป็นการบอกว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน บางครั้งเราโพสรูปของเราว่าไปเที่ยวอยู่จะกลับบ้านวันนั้นวันนี้ถ้าเป็นการแชร์กันระหว่างเพื่อนก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเป็นคนที่ไม่ได้เป็นเพือนจริงๆ เข้ามาแชร์ข้อมูลกับเราเขาเห็นว่าเราไม่อยู่บ้านคนๆ นั้นเป็นผู้ไม่ประสงค์ดี เขาอาจมาขโมยของที่บ้านเราได้ ในช่วงที่เราไม่อยู่บ้านในเวลาที่เราได้โพสไว้ทางอินเตอร์เน็ตนั้นๆ เช่น เรื่องของตี๋ โอรส ที่โดยตำรวจตามจับอยู่ ในระหว่างที่เขาหนีการจับอยู่เขาได้ไปที่หัวหินแล้วก็เช็คอินทางเฟซบุ๊ก ตำรวจก็สามารถจับกุมได้โดยติดตามทางเฟซบุ๊ก และ อีกหนึ่งกรณีที่มีการซื้อขายรถกันไม่มีการซื้อขายกันอย่างจริงจังรับเงินไปแต่ไม่เอารถมาให้ผู้เสียหายก็ตามดูจากการเช็คอินและสามารถแจ้งตำรวจจับได้มีสธติจากการสำรวจ พบว่า 65% ของผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คไม่ได้ปิดกันคนแปลกหน้าที่จะเข้ามาเป็นเพื่อนกับเรา หรือมาดูโปรโฟล์ของเรา และได้ได้ตั้งค่าโปรไฟล์เป็นส่วนตัวนอกจากนั้น 40% ของผู้ใช้ก็ยังให้ที่อยู่บ้านตนเองในเว็บไซต์ทำให้ผู้อื่นทราบว่าบ้านของเรานั้นอยู่ที่ไหนในทางตรงกันข้าม 60% ของคนเหล่านี้ก็ไม่เชื่อว่าคนที่เขามาขอเป็นเพื่อนต้องการเป็นเพื่อนกับเราจริงๆ5. ไม่สารภาพผิดทางอินเตอร์เน็ต เราไม่ควรสารภาพผิดทางอินเตอร์เน็ต เช่น มีผู้ชายใช้ยาเสพติดไปสารภาพทางอินเตอร์เน็ตทางเฟชบุ๊กของตัวเอง การใช้ยาเสพติดเป็นสิ่งผิดกฎหมายก็มีคนไปแจ้งตำรวจมาจับ ทำให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในห้องขังแทน บางคนไปสารภาพว่าเกลียดงานไม่ชอบเจ้านายของเราทำให้เจ้านายไล่ออกจากงาน มีการสำรวจว่า 8% ของผู้ประกอบการเคยไล่พนักงานออกโดยเหตุผลที่ว่าใช้สื่อสังคมที่ไม่เหมาะสม6. ไม่ให้เบาะแสของรหัสผ่านกับคนอื่น เช่น หลายคนอยากจะแชร์ว่าหมาของเราชื่อว่าอะไร เราชอบกีฬาประเภทไหนหรือว่านามสกุลเดินของคุณแม่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นคำถามเมื่อเราลืมรหัส เข้าอีเมลต่างๆ ซึ่งถ้ามีผู้ไม่ประสงค์ดีเขาก็จะรู้หมดเลยว่าเราชอบอะไรมีสัตว์เลี้ยงตัวไหน ชอบกีฬางานอดิเรกอะไร เขาก็สามารถเอาไปกรอกเพื่อที่จะได้รับรหัสได้7. ไม่โพสต์รูปที่ไม่เหมาะสม เหตุกาลเหล่านี้มักเกิดขึ้นกัยวัยรุ่นและวัยกลางคน เป็นการโพสต์รูปตัวเองแบบสนุนๆ เช่น โพสต์รูปตัวเองเมาหมดสภาพ หรือ โพสต์รูปตัวเองดูดบุหรี่ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นผลกระทบกับภาพลักษณ์ของตัวเอง มีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน เช่น สายการบินแห่งหนึ่งมีกดห้ามลูกเรือโพสต์รูปที่เสียมเสียทางอินเตอร์เน็ตอย่างเด็ดขาด ที่ไม่ควรโพสต์อย่างยิ่งคือภาพวาบวิวของตัวเอง อากาลกิริยาที่ภาพย่วยยวน ภาพนุนน้อยหมน้อย เราอาจรู้สึกว่าช่วงนี้เรารู้สึกว่าหุ่นดีเลยอยากโชดหุ่นให้เพื่อนๆ ของเราได้ดูแต่ภาพนั้นถูกเชมโดยเพื่อนของเพื่อน และอาจจะมีการโพสต์ต่อ ส่งต่อ พอถึงเวลาที่เราคิดได้ว่าไม่สมควรที่จะโพสต์ แม้เราจะลบออก แต่ภาพก็ได้ส่งต่อและแชร์ออกไปแล้ว8. ไม่นินทาเจ้านายออกสื่อ ก็เป็นที่เข้าใจว่าหลายคนที่ทำงานอาจมีการอัดอั้นตันใจอยากจะระบายออกมาแต่ว่าโซเชียลเน็ตเวิร์คไม่ใช้ที่ระบายออกมา เพราะว่ามีคนอ่านข้อความของคุณจำนวนมากถึงเจ้านายของคุณจะไม่ได้อ่านเอง แต่คนอื่นอ่านแล้วเขาก็ไปพูดกัน สักวันหนึ่งก็จะถึงหูเจ้านายจนได้9. ไม่โพสต์เรื่องดราม่าต่างๆ เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว เช่น ว่าแฟนนอกใจ ทะเลาะกับเพื่อน ไม่พอใจ ไม่พอใจเพื่อนรวมงานอะไรต่างๆ การโพสต์สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เรื่องพวกนี้ดีขึ้น หรือพาดพิงถึงบุคคลที่สาม ถ้าเขามาได้ยินสิ่งเหล่านี้เรื่องมันก็จะบานปลายออกไปอีก ทำให้มีปัญหากันเปล่าๆ และยังมองว่าเราไม่ดีด้วย10. คิดให้ดีก่อนรับข้อเสนอ เช่น คุณได้รับรางวัลถูกลอตเตอรี่ รางวัลที่หนึ่ง คุณควรคิดให้ดีก่อนว่าจะรับข้อเสนอนั้นหรือเปล่าส่วนใหญ่แล้วจะมีสิ่งแอบแฝงอยู่ เช่น ถ้าคุณรับข้อเสนอนั้นคุณต้องจ่ายเงินมาก่อน เป็นจำนวนเท่านั้น เท่านี้ และสุดท้ายแล้วคุณก็ไม่ได้ถูกรางวัลที่หนึ่งอย่างที่เขาเสอนมาการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างปลอดภัย
โซเชียลมีเดียข้อควรระวังหนึ่งข้อก็คือ เมื่อเราโพสต์อะไรไปแล้วมีคนจำนวนมากที่อ่านข้อความนั้น เพราะฉะนั้นก่อนจะโพสต์อะไรคิดให้ดีก่อนเพราะว่ามันจะมีผลต่อคนจำนวนมาก และก็มีผลกับตัวเราเองด้วย ในขณะเดียวกันด้วยความที่ว่าคุยกันหรือว่าแชทกันเราไม่เห็นหน้าบางทีเราไม่รู้จักแล้วก็โพสต์ข้อความนั้นข้อความหลายๆ ข้อความนั้นไม่มีความหน้าเชื่อถือเพียงพอในอินเตอร์เน็ต เพราะฉะนั้น เราควรที่จะใช้วิจารณญาณที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่เราไม่ได้อ่าน การโพสต์ข้อความก็เหมือนกับการพูดนั้นเอง ก่อนที่จะพูด ก่อนที่จะโพสต์ คำพูดนั้นอยู่ภายใต้การบังคับบันชาของเราเป็นนายของมันค่ะ แต่เมื่อโพสต์ พูด ไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะเป็นนายของเราและติดตัวเราโดยลบไม่ออกการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างปลอดภัยทันธรรมโดย พระอาจารย์พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ
โซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นศัพท์ฮิตเพราว่ากระจายไปกว้างขวางมากคนทั้งโลกที่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คมีเป็นพันๆ ล้านคน แค่เฟชบุ๊กอย่างเดียว พันสองร้อยล้านกว่าคน ในประเทศไทยก็มาประมาณ 20 กว่าล้านคน ถือว่าเยอะมากแล้วนับวันก็กระจายตัวกว้างขวางมาก มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ ทำให้เราสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้อย่างมากมาย สะดวกในการค้นคว้าข้อมูลมาใช้ในการทำงาน ในการค้นคว้าวิจัย ในการว่าแผนงานได้อย่างมาก จะเป็นประเทศไหนก็ไม่เสียเปรียบกันเพราะจะค้นข้อมูลในประเทศก็ได้ ต่างประเทศก็ได้ ขณะเดียวกันก็ทำให้คนแต่ละคนมีพาวเวอร์มากขึ้น พลังของปัจเจกชน เพราะในสมัยก่อนสื่อ เป็นสื่อมวลชน เช่นหนังสื่อพิมพื วิทยุ ทีวี ประชาชนทั่วไปเป็นผู้รับข่าวสารแล้วแต่หนังสื่อพิมพ์เขียนอะไรลงเราก็ไปอ่านคนที่เขียนคือคนที่มีพาวเวอร์ เจ้าของหนังสือพิมพ์ เจ้าของคอลัมน์มีพาวเวอร์ ประชาชนคือผู้รับข่าวสารทีวีเราก็เป็นผู้ชม คนมีพาวเวอร์คือเจ้าของสถานี เจ้าของรายการ หรือพิธีกรที่นำเสนอข่าวสาร เพราะสามารถชี่นำกระแสในสังคมได้ วิทยุก็ทำนองเดียวกัน แต่พอถึงโซเชียลเน็ตเวิร์ค ปรากฎว่าประชาชนแต่ละคนสามารถนำเสนอความคิด ความเห็นของตัวเอง ออกไปสู่สังคมได้ ถ้าเกิดเป็นคนที่ให้ความเห็นคมแล้วละก็ จะมีคนมาตอบรับเป็นแฟนคลับหรือว่ากระจ่ายข่าวสารนั้นต่อกันไป สู่คนเป็นแสนเป็นล้านเป็นสิบล้านคนได้อย่างรวดเร็ว คนแต่ละคนจึงมีพาวเวอร์มากเพราะสิ่งที่เขาคิดเขาพูดเขาเขียน เขานำเสนอ มันสามารถไปถึงประชาชนได้จำนวนมากเหมือนตัวคนแต่ละคนเป็นสื่อมวลชนด้วยตัวของเขาเอง แต่ว่าสิ่งใดที่มีคุณอนันก็มักจะมีโทษมหันต์เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ระวังเราจึงเห็นข่าวในการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คในการทำความเสียหาย ในการทำอาชญากรรม หรือว่า ผู้ใช้อย่างไม่ถูกต้องวิธีชีวิตมีปัญหาเยอะแยะมากมาย เราจะต้องมาดูว่าเราจะใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างไร ให้ปลอดภัยการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างปลอดภัย
ภัยของโซเชียลเน็ตเวิร์คสรุปสั้นอยู่ที่ 3 ล1. หลุด คือ หลุดเอาข้อความบ้าง ภาพบ้าง ที่ไม่ควรออกสู่สธารณะ แต่หลุดไปแล้ว เด็กบางคนไปถ่ายรูปตัวเองที่ไม่เหมาะสมออกไป นึกว่าจะอยู่กัยเพื่อนสองสามคน ที่ไหนได้ โซเชียลเน็ตเวิร์คมันเร็วมากเพื่อนเห็นแล้วแชร์ต่อนึกว่าเห็นแค่อีกคนเดียว คนนั้นอีกคนก็ต่อไปอีกคน แปบเดียวก็ไปถึงคนเป็นแสนเป็นล้านคนได้ เจ้าตัวก็เสียชื่อเสียงไปเลย หรือว่าข้อความปรับทุกข์กับเพื่อน นึกว่าเป็นเหมือนนั่งคุยกันแบบโทรศัพท์ เช่น วันนี้เจ้านายไม่เข้าท่าเลย พูดอย่างนั้นพูดอย่างนี้ ทำอะไรไม่ได้เรื่อง เพลอแปบเดียวไปถึงหูเจ้านาย เจ้านายเห็นพยานหลังฐานชัดเจน เจ้าตัวหมดอนาคตไปเลย นี้คือเรื่องของการหลุด
2. หลอก คือถูกเขาหลอก เช่น หลอกเอาข้อมูลส่วนตัว บ้าง บัตรเครดิตบ้าง โปรไฟล์ส่วนตัวบ้าง แล้วไปทำอาชญากรรมหลากหลายรูปแบบ อย่างคาดไม่ถึงเลย บางคนแค่ไม่ใช้อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ในการเข้าใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์คมีคนผ่านข้างหลังแค่ชำเลืองดู เห็นแล้วว่ายูสเซอร์เนมคืออะไร ไปนั่งเครื่องห่างไปหน่อย แอดเฟรนเข้ามาขอเป็นเพื่อน อันนี้ก็ไม่รู้อีโน่อีเน่ก็รับเพื่อนไปด้วย เขาก็เลยกรอบรูปเอาไปใช้หลอกหาว่า เป็นหญิงขายบริการต่างๆ ก็มีแล้วก็ให้คนที่ต้องการสนใจจ่ายเงินเข้ามา แล้วเดียวจะไปให้บริการ เจ้าตัวอยู่เฉยๆ หารู้ไม่ว่าถูกปลอมข้อความปลอมรูป ปลอมเนื่อหา กลายเป็นคนขายบริการไปแล้วเสียชื่อเสียงไปเลย แล้วพอไปหรอกคนอื่นเขาได้ คนที่จ่ายตังไปพอเจอก็ทำร้ายเลยก็มีนึกว่าคนนี้เป็นคนหลอก จริงๆ เจ้าตัวไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย
3. ล้น คือการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างล้นเกินเรียกว่าเหมือนกันเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์คแอดดิก เสพติดเลย เขามีการทำวิจัยอยู่ว่าชาวอเมริกันอายุเกิน 25 และต่ำกว่า 25 และใช้สมาร์ทโฟนกับไม่ได้ใช้ ตื่นเช้ามาใครบ้างที่อยู่บนเตียง คว้าสมาร์ทโฟนเปิดเช็คข่าวในโซเชียลเน็ตเวิร์คก่อน มีใครส่งข้อความมาไหม ปรากฎว่าเยอะเลยที่เป็นแบบนั้น บางคนลุกจากเตียงแต่ยังไม่ทันเปิดทีวี เข้าห้องน้ำ เช็คข่าวก่อน เกินครึ่ง นั้นคือวิถีของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน บางคน ห้าทุ่ม เที่ยวคืน อดหลับอดนอน นั่งอยู่กับโซเชียลเน็ตเวิร์คคุยกับเพื่อนแชทไป แชทมา เข้าไปหาเว็บนั้นเข้าไปหาเว็บนี้ เข้าไปเพจนั้น เพจนี้ สารพัดถองจนลืมเวลาไป สุขภาพก็ทรุดโทรม การเรียนการงานก็เสีย นี้คือการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างล้นเกินการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างปลอดภัย
แล้วเราจะต้องป้องกันภัยเหล่านี้ได้อย่างไรบ้างใช้หลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในโอวาทปาติโมกข์ในหมวดที่ 3 พระองค์ให้หลังไว้ 6 ข้อ1. อนูปวาโท - ไม่ไปว่าร้ายใครเราจะไม่ใช้ช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์คไปกล่าวร้ายใคร จะเป็นเพื่อนกัน จะเป็นลูกน้อง ไปพูดถึงใครในทางเสียๆ หายๆ เราจะไม่ทำเลย การพูดถึงใครในแง่ลบจะไม่ทำเลย รวมทั้งว่าไปเห็นใครเขาว่าคนอื่นเข้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่จริงหรือว่าไม่จริงเราก็ยังไม่รู้ชัด จะถูกใจเราไม่ถูกใจเราเราจะไม่แชร์ต่อ จะไม่มีข่าวด้านลบ ของใครออกจากตัวเรา ไม่ว่าจะเขียนเองหรือไปแชร์ของคนอื่นก็ตาม กันข้อแรกนี้ไปได้เราจะป้องกันภัยจากโซเชียลเน็ตเวิร์คได้มากเลย2. อนูปฆาโต - ไม่ทำร้ายใครอันนี้ก็ขยายขากข้อแรก เป็นการว่าร้าย ข้อสองเป็นการชักชวนไปทำร้าย จะไปข่มขู่เขา ไม่คุกคามเขา จะในรูปแบบใดก็แล้วแต่ การคุกคามมีหลายอย่างนะ บางคนใช้การปลอมข้อความก็มี เหมือนกับใส่ร้ายป้ายสีว่าคนนั้นเป็นลักเพศ เป็นอะไรที่เสียๆ หลาย ทั้งที่เจ้าตัวเขาไม่รู้เรื่อง ปลอมเพจ ใส่รูปปลอม ทำให้เขาเสียชื่อเสียง เราจะไม่ทำอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าเป็นการว่าร้ายทั่วไป หรือว่าเป็นการทำร้ายในรูปแบบใดก็ตาม เราไม่เอา ไปทำเขาเดียวสุดท้ายมันจะย้อนกับมาหาตัว ให้ทุกแก่ท่านทุกนั้นถึงตัว3. ปาติโมกฺเข จ สํวโร - ความสำรวมระวังรวมระวังความประพฤติ
ตรวจสอบตัวเราเองมีอะไรบกพร่องไหม มีอะไรเสียหายหรือเปล่า อะไรไม่เหมาะไม่ควร อย่าไปทำ นำเสนอเรื่องราวของตัวเองที่ไม่เหมาสม จะเป็นรูปภาพ จะเป็นเรื่องราวส่วนตัวที่สังคมไม่ควรรับรู้ เราอย่าเอาขึ้นไป อย่าคิดว่าเป็นสถานที่เฉพาะ ระหว่างเรากับเพื่อนสามสี่คน เพื่อนในกลุ่มสามสีคน ไม่ว่าจะเป็นเฟชบุ๊ก ไลน์ ก็ไม่เป็นไรหรอก ก็อย่า อะไรที่เราเองแชทรูปที่เราเองโพสต์ ข้อความที่เราเขียน เข้าไปในโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าทำ ให้เราคิดว่าในเป็นข้อความที่สามารถไปถึงคนทั้งประเทศและทั้งโลกได้ถ้าเราคิดว่าข้อความนั้น ภาพนั้นไปถึงคนทั้งประเทศทั่วโลกแล้ว ไม่เสียหาย ให้พิมพ์ ให้โพสต์ไปเหอะ แต่ถ้าเราไม่อยากให้คนให้สังคมหมู่ใหญ่รู้นะ ถ้าอย่างนั้นละก็ อย่าโพสต์ อย่าพิมพ์ อย่าแชท อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเฉพาะ ของเรากับเพื่อนไม่กี่คน มันพร้อมหลุดทุกเมื่อ แล้วข่าวที่ออกมาก็มักเกิดจากกรณีอย่านี้ เยอะเลย4. มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ - มีความสำรวมในโภชนาหารกรณีในการเสพสื่อคือว่า ต้องรู้จักบันยะบันยังนะ อย่าให้เกินเลยไป เสพติดโซเชียลเน็ตเวิร์คจนเกินเลยไป มันทำให้เราเสียเวลา เสียสุขภาพ ขอให้จัดสรรเวลา มีวินัยเรื่องเวลา แต่ละวันเราจะใช้เวลาช่วงไหนถึงช่วงไหน อาจสัก 20 นาที หรือครึ่งชั่วโมงแล้วก็เสร็จละ เช้าสัก 10 นาที เพื่อต้องคอยข้อความต้องคุย ต้องเช็คอะไรยังไงก็ว่าไป ตอนเย็นสักสิบ 20 นาที พอแล้ว แล้วพอถึงเวลาก็จบ ถ้าไม่มีริเมกเวลาก็จะไปเรื่อยๆ ไม่จบแล้วมันจะดูดเวลาตัวเราเองมาเกิน แทนที่จะเป็นคุณกับเป็นโทษมากกว่า5. ปนฺตญฺจ สยนาสนํ - การนอนการนั่งอันสงัดรู้จักหามุมสงบ ถ้าไม่งั้นเราจะจมหายไปในโซเชียลเน็ตเวิร์คแล้วใจมันจะกระเพียมถูกข้อมูลท่วมลับจนหายไปในข้อมูลเลย และข้อมุลเหลานั้นก็ไม่ค่อยเป็นประโยชน์เป็นสาระ มากเท่าไร ดังนั้น ต้องมีมุมสงบ ให้กับตัวเอง ให้กับครอบครัว ให้กับเพื่อนรอบข้าง อย่าจมหายไปในโลกเสมือน จนกระทังลืม ผู้คนในรอบตัวเราในโลกแห่งความเป็นจริง เขายังรอความรักความอบอุ่น รอสายสัมพันธ์ รอการสัมพัดกันที่เจอตัวต่อตัวอยู่ อย่าลืมเขา6. อธิจิตฺเต จ อาโยโค - การประกอบความเพียรในอธิจิตคือหาเวลานั่งสมาธิ(Meditation)ด้วยนะ ยิ่งสั่งคมข้อมูลข่าวสารมามากเท่าไร เราเองที่ต้องมีใจนิ่งๆ จะได้หาทางรับมือกับช่องทางสื่อสารข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลได้ ยึดหลักพระพุทธเจ้าทั้ง 6 ข้อนี้ละก็เราจะพบว่าภัยของโซเชียลเน็ตเวิร์คไม่ว่าจะเป็นการหลุด ก็จะถูกคุมอยู่ จะไม่มีรูปหรือข้อมความที่ไม่เหมาะสมหลุดออกไปอีกแล้ว จะไม่ถูกใครเขาหลอก แล้วก็การใช้อย่าล้นเกิน ก็จะไม่เกิดขึ้นเราก็จะดำรงอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุข ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นอุปกรณ์ในการทำงานและการครองชีวิตได้อย่างดี อย่างมีความสุข
http://goo.gl/m9ow0g