ช่องว่างระหว่างวัย “Generation gap”
เมื่อพูดถึง “ช่องว่างระหว่างวัย” ทุกคนคงจะมองตรงกันว่า เรื่องนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดความขัดแย้งขึ้นในทุกๆ สังคม เริ่มตั้งแต่ครอบครัวไปจนถึงที่ทำงาน รวมถึงการดำเนินชีวิต ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ การที่คนหลายรุ่น หลายวัย หลายความคิด ต้องมาทำงานร่วมกัน ความขัดแย้งก็ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา การอยู่ร่วมกันในสังคม ระบบความคิด ค่านิยม ทัศนคติ เป้าหมายชีวิต รสนิยม ปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นตัวสร้างความแตกต่างด้วยกันหมดทั้งสิ้นเราสามารถแบ่งกลุ่มคนทำงาน โดยจำแนกจากช่วงปีเกิด ดังนี้กลุ่มอายุ 60_ปีขึ้นไป คือกลุ่มคนที่เกิดก่อนปี พ.ศ. 2498_เป็นรุ่นบุกเบิกมีประสบการณ์สูง เป็นผู้สร้าง มีความสามารถในการตัดสินใจ ถ้าเราต้องร่วมงานกับคนกลุ่มนี้ แต่เราอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า เราต้องยอมรับและชื่นชมท่านต่อประสบการณ์ที่ท่านผ่านมา คนกลุ่มนี้มักมีคุณลักษณะที่มั่นคงเชื่อใจได้ สู้งานหนัก และภักดีต่อองค์กรสูงกลุ่มคนที่อยู่ในยุคสมัยหลังสงครามโลก คือกลุ่มคนที่เกิดช่วงปี Baby Boom พ.ศ. 2500-2513 บุคคลกลุ่มนี้มีศรัทธาในเรื่องการทำงานอย่างหนักทุ่มเทเพื่อองค์กร เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและแข่งขันกับคนวัยเดียวกัน เพื่อให้ได้งาน ยิ่งเมื่อประเทศกำลังพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่ยุคความเป็นอุตสาหกรรม ก็ต้องมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลากลุ่ม Generation–X คนกลุ่มคนที่เกิดช่วงปี พ.ศ.2513-2523 เติบโตมาในยุครอยต่อของ Analogกับ Digital อยู่ท่ามกลางเทคโนโลยีที่สร้างความตื่นตาตื่นใจ คนกลุ่มนี้จะไม่มีความทุ่มเทในการทำงานมากนัก ปฏิเสธการทำงานล่วงเวลามีความสามารถ แต่ไม่ชอบการบงการกลุ่ม Millennium : คนที่เกิดช่วงปี 2524 เป็นต้นมา คนรุ่นใหม่ไฟแรงแต่ยังอ่อนต่อประสบการณ์ เป็นคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการคิดมากกว่าจำ กล้าแสดงออก มีความมั่นใจเราสามารถแก้ปัญหาได้ไม่ยากนัก โดยการทำใจยอมรับใน 2 เรื่องด้วยกันคือ1.ยอมรับในความแตกต่างของแต่ละบุคคล2.ทำความเข้าใจและเคารพในความแตกต่างหลักในการแก้ปัญหา ช่องว่างระหว่างวัย ในทางธรรม*******************************************เป็นธรรมดาของคนในวัยต่างกัน ประสบการณ์ต่างกัน สิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน ความคิดก็ย่อมจะมีความแตกต่างกันไป แต่ก็เป็นเรื่องที่แปลกมากในสังคมของสงฆ์ อายุทางโลกถูกยกไว้ อายุทางธรรมเริ่มต้นนับหนึ่งเมื่อบวช มีกิจวัตร กิจกรรมแบบเดียวกัน ประพฤติปฏิบัติแบบเดียวกัน ปัญหาช่องว่างระหว่างวัยไม่เกิดขึ้นเพราะจุดประสงค์คือการศึกษาพระธรรมวินัยปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ จะภายในครอบครัว ชุมชนหรือในที่ทำงาน เราจำเป็นจะต้องสร้างกิจกรรมร่วมให้เกิดขึ้น เช่นชวนกันมาวัดประพฤติปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมะ เวลาคุยก็สามารถคุยเรื่องเดียวกัน ประเด็นเดียวกัน ธรรมมะจะหล่อหลอมใจของทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ความขัดแย้งก็จะไม่เกิดขึ้นคนเราเวลาจะตัดสินเรื่องอะไรก็ตามแต่ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็มีอยู่ 2 ประเด็นคือ เหตุผลกับอารมณ์เพราะฉะนั้นการที่เราจะตัดสินใคร อยู่ในช่วงวัยใดเราต้องแยกแยะการกระทำของเขา เช่นเรื่องที่ดี เรื่องที่ถูกที่ควร ส่วนเรื่องส่วนตัวเราก็ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวหรือตัดสินว่าเขาเป็นคนเช่นไรเราต้องฝึกเป็นคนมีเหตุมีผล รู้จักแยกแยะไตร่ตรองหลักของเหตุและผล เราก็สามารถแยกแยะเหตุและผลได้ ใจเราก็พร้อมจะยอมรับและเข้าใจคนอื่น เมื่อเราเข้าใจเขา เขาก็จะเข้าใจเราส่วนเรื่องของอามรณ์ คนเราไม่ได้มีเหตุผลอย่างเดียว บางครั้งก็มีอารมณ์ประกอบเข้ามา เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจในอารมณ์ในความรู้สึกของเรา ถ้าเรารู้จักตัวเอง เราก็จะจะรู้จักคนอื่นได้เช่นกัน
http://goo.gl/n2j1q