วิภาวรรณ ยงวิกุล กับชีวิตที่มี “สมาธิ และปัญญา” นำทาง

  ไลฟ์สไตล์ของสาวทำงานยุคใหม่ที่แต่ละวันมัวแต่เร่งรีบกับชีวิตประจำวัน ทั้งความวุ่นวายกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว กระทั่งไขว่คว้าในภาระหน้าที่ต่างๆ จนทำให้หลายคนหลงลืมกลับมามองความต้องการจริงๆ ของตัวเองว่าชีวิตนี้ของคนเราต้องการอะไรกันแน่?
       
       จริงหรือที่คนเราหวังเพียง เงินทอง ลาภยศ สรรเสริญ ซึ่งล้วนเป็นเปลือกนอก จอมปลอมที่ไม่มีความจีรังยั่งยืน แต่หากมองกลับเข้ามาในจิตใจของเราแล้ว เชื่อแน่ว่าความสุขสงบทางใจต่างหากที่ทุกคนหมายปอง
       
       เช่นเดียวกับ “วิภาวรรณ ยงวิกุล” เวิร์กกิ้ง วูแมนสาวใหญ่ที่ค้นพบว่า ความสงบจากการเจริญสติแบบง่ายๆ หลังจากว่างเว้นจากการงานแต่ละวัน เช่น การสวดมนต์ ถือเป็นหนึ่งในกิจวัตรที่ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นทีเดียว

วิภาวรรณ ยงวิกุล

       จากเดิมทีหลังจากเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากหน้าที่การงานในแต่ละวัน พอกลับมาถึงบ้านก็พักผ่อนนอนหลับตามวิถีชีวิตปกติ จนวันหนึ่งเพื่อนสนิทของเธอเกิดตั้งคำถามสะกิดใจ และคำถามนั้นก็ได้ถูกตอบผ่านการปฏิบัติที่เข้ามาเติมเต็ม

ชีวิตของเธอได้เป็นอย่างดี
       
       “ปกติเป็นคนติดทีวี นอนหลับหน้าจอทีวีเป็นประจำ วันหนึ่งมีพี่ที่รู้จักกันมาถามว่า ก่อนนอนเคยสวดมนต์บ้างหรือเปล่า ก็ยังทำหน้างงใส่กลับไป เพราะแต่ละวันก็นอนหลับไปพร้อมกับทีวี ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าควรสวดมนต์ก่อนนอน จนพี่เขาพูดมาว่าลองสวดมนต์ก่อนนอนดูบ้างสิ เผื่อจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต
       
       ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีเพื่อนๆ ที่ไปปฏิบัติธรรมมาชักชวนให้ลองไป แต่ก็ปฏิเสธมาตลอด เพราะว่ายังรู้สึกว่าไม่พร้อมที่จะไปปฏิบัติจริงจังถึงขนาดนั้นก็เลยคิดว่าไหนๆ ถ้าอยากจะลองเริ่มทำสิ่งดีๆ ให้กับชีวิต ก็อยากลองเริ่มต้นอะไรที่ทำได้ง่ายๆในชีวิตประจำวันของเราก่อนแล้วกัน” เธอเริ่มต้นเล่า
       
       นับแต่บัดนั้นจึงได้เริ่มจากการสวดมนต์ก่อนนอนเป็นประจำ สวดเป็นบทง่ายๆ สั้นๆ ก่อน เช่น บทสวดบูชาพระรัตนตรัย, อิติปิโส, บทแผ่เมตตา ซึ่งเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้ แต่สิ่งที่เธออยากจะบอกคือ การกระทำใดๆ ก็ตามที่อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเราได้เช่นกัน
       
       ทุกครั้งก่อนนอนเธอบอกว่า เกิดความรู้สึกดี และอิ่มเอิบใจทุกครั้งหลังจากสวดมนต์ เป็นความรู้สึกที่ประหลาด ส่วนตัวไม่เคย ตั้งเป้าว่าจะต้องสวดมนต์ให้นานที่สุด หรือต้องสวดให้มากบทที่สุด แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความตั้งใจมากกว่า ส่วนอีกสิ่งที่ได้จากการสวดมนต์เห็นชัดเจนที่สุด คงเป็นการวางเฉยมากขึ้น และไม่ว่าจะโกรธกับใคร พอกลับมาบ้านจะสวดมนต์แผ่เมตตาให้เขาด้วย แล้วความรู้สึกโกรธที่เคยมีกับคนๆ นั้นก็หายไปในทันที
       
       “ทุกวันนี้ด้วยการทำงานที่ต้องติดต่อคนเยอะ แล้วคนที่ต้องติดต่อมีทั้งคนในประเทศ และคนต่างชาติ อย่างชาวต่างประเทศก็ต้องเข้าใจว่ามีหลายเชื้อชาติมาก นิสัยต่างกัน การเติบโตจากสภาพแวดล้อมก็ต่างกัน ถึงแม้ว่าเราจะมีเป้าหมายของบริษัทที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่วิธีการที่จะไปถึงเป้าหมายสำหรับเรา และเขาก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน
       
       ดังนั้นจะทำอย่างไรในการที่จะบรรลุในวัตถุประสงค์ได้ตรงกันซึ่งปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามากระทบในแต่ละวันมักทำให้เกิดความเครียดซึ่งการสวดมนต์ การมีสติสามารถช่วยให้ตัวเรามีจิตใจที่วางเฉย นิ่ง และจัดการกับปัญหาได้อย่างมีสติมากกว่า
       
       ทำให้เข้าใจว่าทุกสิ่งนี้มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับลง เพราะไม่ว่าจะมีปัญหา หรืออุปสรรคมากมายขนาดไหนเมื่อเกิดขึ้นมาได้ อีกไม่นานมันก็ต้องผ่านไป ฉะนั้นการแก้ปัญหาให้ผ่านไปด้วยดีต้องใช้สติควบคู่กับการใช้ปัญญา

ในการหาทางออกดีกว่าที่จะเอาแต่หมกหมุ่นไปกับปัญหานั้นๆ ด้วยอารมณ์ เรียกว่า สามารถจัดการปัญหาได้เยือกเย็นขึ้น”ผ.อ.ประจำประเทศไทย บริษัท เวสเทิร์น ยูเนี่ยน เซอร์วิสเซส สิงคโปร์ พีทีเอ ลิมิเต็ด บอกวิธีการจัดการปัญหาของตัวเอง
       
       แม้ว่าคนทั่วไปมักจะมองว่าคนที่เข้าหาธรรมะ ส่วนใหญ่เป็นผู้ประสบปัญหาชีวิตจึงต้องการหาที่ยึดเหนี่ยวให้จิตใจ ทว่าสาวทำงานรุ่นใหม่คนนี้กลับยืนกรานบอกว่าไม่จริงเลย เพราะตัวเธอเองก็มิใช่คนที่มีปัญหาชีวิตแต่อย่างใด
       
       ทุกวันนี้มีความสุขกาย สบายใจ ทั้งในหน้าที่การงาน และชีวิตส่วนตัว ได้มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองทำ รวมถึงพอใจในสิ่งที่เป็นอย่างทุกวันนี้โดยมีสมาธิ และปัญญาเป็นเครื่องนำทางจิตใจนั่นเอง
      

ที่มา-