มุทิตาจิต กับ อนุโมทนา ต่างกันอย่างไร
มุทิตาจิต และ อนุโมทนา
มุทิตาจิต มาจากคำว่า มุทิตา กับ จิต.
มุทิตา หมายถึง ความมีจิตพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นประสบ ความสำเร็จ มีความเจริญก้าวหน้า มีลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุข ก็พลอยชื่นชมยินดีในสิ่งที่เขาได้รับโดยไม่ ริษยา
มุทิตาจิต อาจแสดงออกได้ด้วยการพูดแสดงความ ยินดี การส่งบัตรอวยพรไปแสดงความยินดี การมอบของ ขวัญเพื่อแสดงความยินดี หรือแสดงกิริยาให้รู้ว่ายินดีด้วย เป็นต้น
มุทิตา เป็นคุณธรรมข้อหนึ่ง ในพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นคุณธรรมที่ผู้ใหญ่ สมควรปฏิบัติ แสดงถึงความเป็นคนไม่อิจฉาริษยา ยอมรับและชื่นชมในความดี และความสำเร็จของผู้อื่นด้วย ความเต็มใจ
มุทิตา มีความหมายเดียวกับคำว่า โมทนา ซึ่งเป็นคำ ย่อของคำว่า อนุโมทนา
มุทิตามักใช้ในนัยยะเมื่อผู้อื่นประสบความสำเร็จ ส่วน อนุโมทนามักใช้ยินดีเมื่อผู้อื่นทำความ แต่โดยทั้งสองคำ มีนัยยะเดียวกัน
อานิสงส์ของการมุทิตา
หลวงพ่อธัมมชโยได้เคยให้โอวาทเกี่ยวกับการมุทิตาจิตไว้ว่า
เมื่อเราประสบความสำเร็จจะมีแต่คนยินดี การมุทิตาสักการะเปรียญธรรม 9 ประโยคมันจะมีอานิสงส์ เวลาเราประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยบุญของเรา จะไม่มีใครริษยา มีแต่เขาส่งเสริม คนอื่นหมดอารมณ์ที่จะริษยา คืออารมณ์นั้นไม่มีเลย เพราะบุญมุทิตาสักการะนี่แหละ มันจะเป็นกระแสเข้าไปกลั่นจิตใจแต่ละคน ไปสกัดจุดที่จะทำให้อกุศลเข้าสิงจิตไปสกัดจุดตรงนั้นเลย แล้วแปรเปลี่ยนจุดตรงนั้น โอ้...มีแต่ความยินดีขอแสดงยินดีที่ได้รับตำแหน่ง นี้ๆๆ นี่ เพราะมุทิตานี่แหละ
โอวาทหลวงพ่อธัมมชโย
(คุณครูไม่ใหญ่)
วัดพระธรรมกาย
6 กรกฎาคม พ.ศ.2549
ความหมายของการอนุโมทนา
1. ความหมายของอนุโมทนา
"อนุโมทนา" หมายถึง การแสดงความยินดีหรือความพอใจในบุญและความดีที่ผู้อื่นได้ทำ บุคคลที่อนุโมทนาจะรู้สึกยินดีและแสดงความชื่นชมต่อการกระทำดีของผู้อื่น ซึ่งเป็นการสร้างบรรยากาศของการสนับสนุนและส่งเสริมการทำดีในสังคม
2. วิธีการอนุโมทนา
อนุโมทนาสามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่:
- การพูด: เมื่อได้ยินการทำบุญหรือเห็นการกระทำดีของผู้อื่น สามารถกล่าวคำว่า “สาธุ” หรือ “อนุโมทนา” เพื่อแสดงความยินดี
- การเขียน: การส่งข้อความหรือจดหมายแสดงความยินดี
- การแสดงกิริยา: เช่น การยกมือขึ้นประนมไหว้เมื่อได้ยินเสียงฆ้องกลองที่วัด แสดงถึงการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่ทำวัตรเย็น
3. ประเภทของอนุโมทนา
- อนุโมทนากถา: การพูดแสดงความยินดีและขอบคุณในความดีของผู้อื่น โดยมักจะพบในคำบรรยายของพระภิกษุที่กล่าวถึงประโยชน์และอานิสงส์ของการทำบุญ
- อนุโมทนาบัตร: หนังสือรับรองการบริจาคที่วัดออกให้แก่ผู้บริจาคทรัพย์ทำบุญ เป็นเอกสารที่ใช้ยืนยันและแสดงความยินดีต่อการทำบุญของผู้บริจาค
- อนุโมทนามัยบุญ: บุญที่เกิดจากการอนุโมทนาเป็นการสนับสนุนและร่วมทำบุญในความดีของผู้อื่น
4. ธรรมเนียมของการอนุโมทนาในพระพุทธศาสนา
ตามธรรมเนียมพระภิกษุสามเณร เมื่อได้รับถวายปัจจัยสี่จากทายกทายิกา เช่น ภัตตาหารหรือทานวัตถุ จะต้องทำพิธีอนุโมทนา การอนุโมทนานี้เป็นส่วนสำคัญของการปฏิบัติตามพระพุทธานุญาต และเป็นประเพณีที่ปฏิบัติมาแต่ครั้งพุทธกาล
- การอนุโมทนาต่อหน้าหรือหลัง: พระภิกษุอาจอนุโมทนาได้ทั้งต่อหน้าหรือในลับหลัง โดยเมื่อได้รับบิณฑบาตหรือของถวายแล้ว จะทำการอนุโมทนาทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นต่อหน้าหรือหลัง
การอนุโมทนาในกิจกรรมต่างๆ: การอนุโมทนาสามารถทำในช่วงทำวัตรสวดมนต์ หรือเมื่อมีโอกาสในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การฉันอาหารหรือในช่วงเวลาที่เหมาะสม
เรื่องประกอบ ผลจากการอนุโมทนาและไม่อนุโมทนา
เรื่อง อสทิสทาน
ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญเรื่อง การให้ทาน มหาชนต่างขวนขวายในการให้ทานกันมาก ถึงกับมีการแข่งกันทำบุญ แม้พระราชาก็ทรงปราถนา ทำบุญใหญ่ ทรงจัดแจงถวายสังฆทานแด่ภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข ในครั้งนั้น พระ ราชาทรงตระเตรียมมหาทานอย่างประณีต และตรัสเรียก ให้ประชาชนมาดูการถวายมหาทานของพระองค์
เมื่อชาวเมืองเห็นดังนั้น จึงพร้อมใจกันสร้างมหาทาน ครั้งยิ่งใหญ่แด่คณะสงฆ์บ้าง โดยช่วยกันตระเตรียม อาหารและไทยธรรมอย่างประณีต และส่งข่าวไปกราบทูล พระราชาเพื่อให้พระองค์เสด็จทอดพระเนตรบ้าง
เมื่อพระราชาเสด็จทอดพระเนตรเห็นมหาทานของ มหาชน ก็ดำริว่า ประชาชนพากันทำทานยิ่งกว่าเรา เราจะ ต้องทำทานให้ยิ่งกว่านี้อีก
ทั้งพระราชาและประชาชนต่างแข่งขันกันสร้างมหา ทานบารมีอย่างสุดกำลังกำลัง แต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะ กันได้
จนกระทั่งถึงครั้งที่ 6 ชาวเมืองได้สละสิ่งของอย่างละ พันเท่า ตกแต่งอย่างที่ใครๆ ในโลกไม่อาจจะทำได้ พระ ราชาทอดเห็นดังนั้น ก็กลุ้มใจยิ่งนัก คิดว่าเราคงไม่อาจทำ ทานแข่งกับมหาชนได้
พระนางมัลลิกาเทวีอัครมเหสีจึงอาสาเข้ามาช่วย โดยพระนางทรงจัดแจงมหาทานแทนพระราชา รับสั่งให้สร้างมณฑปสำหรับพระภิกษุ 500 รูป ทำเศวตฉัตร 500 คัน จัดหาช้าง 500 เชือก กั้นเศวตฉัตรให้พระภิกษุ 500 รูป ทำเรือทองคำไว้สัก 10 ลำ จอดไว้ในระหว่างกลางมณฑป สั่งให้เจ้าหญิงองค์หนึ่ง นั่งบดของหอมในระหว่างภิกษุทุกๆ 2 รูป เจ้าหญิงที่เหลือบดของหอมบนเรือทองคำ ให้พระภิกษุได้รับกลิ่นหอมตลอดการถวายทาน เพราะเหตุที่ ประชาชนไม่มีเจ้าหญิง ไม่มีเศวตฉัตร ไม่มีช้าง ประชาชนจึงต้องยอมแพ้ในที่สุด พระราชาทรงดีพระทัยมาก ได้บริจาคทรัพย์ภายใน วันเดียวรวมทั้งสิ้น 14 โกฏิ ในการถวายทานครั้งนั้น มีมหาอำมาตย์ 2 คน คือ
"กาฬอำมาตย์" กับ "ชุณหอำมาตย์"
กาฬอำมาตย์ ไม่อนุโมทนาบุญ กลับคิดว่า ทรัพย์ใน ท้องพระคลัง 14 โกฏิ หมดไปในพริบตาเดียว พระภิกษุ เหล่านี้ฉันภัตตาหารแล้ว เมื่อกลับไปวัดก็ไม่ได้ทำ ประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้นแก่บ้านเมือง
ส่วนชุณหอำมาตย์เป็นผู้มีจิตเลื่อมใส ได้อนุโมทนา ว่า "มหาทานของพระราชาช่างยิ่งใหญ่นัก ขอให้เรามีส่วน แห่งบุญในมหาทานครั้งนี้ด้วยเถิด"
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำภัตกิจแล้ว ดำริ ว่า "พระราชาได้ถวายอสทิสทานครั้งยิ่งใหญ่ คือ การให้ ทานที่ไม่มีใครเสมอเหมือน ซึ่งมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นใน โลก"
ทรงตรวจตราดูว่ามหาชนจะพากันทำจิตให้เลื่อมใส ในอสทิสทานบ้างหรือไม่
พระองค์ทรงรู้วาระจิตของอำมาตย์ทั้งสอง ทรงรู้ว่า ถ้า ตรัสอนุโมทนาสมควรแก่ทานของพระราชา ศีรษะของกาฬ อำมาตย์จะแตกเป็น ๗ เสี่ยง ทันที ทรงอาศัยความ อนุเคราะห์ในอำมาตย์ จึงตรัสอนุโมทนาเพียง คาถาเพียง เล็กน้อยเท่านั้น แล้วเสด็จกลับ
ฝ่ายพระราชาทรงเกิดความสงสัยว่า เราคงจะถวาย ทานไม่สมควรแด่พระบรมศาสดา จึงทูลถามสาเหตุ ว่า ทำไมพระองค์ไม่สรรเสริญมหาทานให้มากกว่านี้
พระบรมศาสดาตรัสว่า "มหาบพิตร พระองค์ได้ถวาย ทานสมควรแล้ว มหาทานครั้งนี้ เรียกว่า อสทิสทาน แต่ ตถาคตจึงไม่อาจทำอนุโมทนาให้ยิ่งไปกว่านั้นได้ เนื่องจาก พุทธบริษัทไม่บริสุทธิ์"
ต่อมา พระราชาทรงสืบทราบว่า กาฬอำมาตย์ไม่ อนุโมทนา แถมยังติเตียนทาน จึงเนรเทศออกไปจากแว่น แคว้น ส่วนชุณหอำมาตย์มีจิตอนุโมทนา จึงทรงมอบพระ ราชสมบัติให้ครอบครอง ๗ วัน (เพียงด้วยบุญอนุโมทนา)
เมื่ออำมาตย์ได้ครองราชย์แล้วก็ไม่ประมาทได้ถวาย ทานตลอด ๗ วัน เมื่อพระราชาทรงกราบทูลเรื่องนี้แด่พระบรมศาสดา พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
"พวกคนตระหนี่ จะไปสู่เทวโลกไม่ได้เลย พวกคนพาลย่อมไม่สรรเสริญการให้ทาน ส่วนนักปราชญ์ตั้งจิตอนุโมทนาในทาน ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นผู้มีความสุขในโลกหน้า"
เราจะเห็นได้ว่า การมีจิตชื่นชมอนุโมทนายินดีในบุญกุศลที่ผู้อื่นทำ เป็นการยั้งกิเลสในใจตน กำจัดความอิจฉาริษยา ความไม่น่าพอใจทั้งหลายโดยแท้ ดังนั้น บัณฑิตทั้งหลายพึง เจริญ มุทิตาจิต และหมั่นอนุโมทนาบุญอยู่เป็นนิตย์
เรียบเรียงโดย
พระมหาทศพร ปุญฺญงฺกุโร