ศ.ดร.อมเรศ
ภูมิรัตน คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล (มม.) เปิดเผยว่า
จากการที่คณะวิทยาศาสตร์ ม.ม. ได้จัดงาน Open House
ปรากฏว่ามีนักเรียนให้ความสนใจเข้าชมงานจำนวนมาก
ทำให้เชื่อว่าจำนวนผู้เข้าชมคงไม่ต่างจากปีที่แล้วที่มีนักเรียนเข้าร่วมงานประมาณ
12,000 คน
โดยทางคณะต้องการให้นักเรียนเข้าใจและสนใจมาเรียนวิทยาศาสตร์มากขึ้น
ทั้งนี้ ตั้งแต่มีการรับตรงมากขึ้นทำให้ทางคณะฯ
ได้เด็กที่สนใจและอยากมาเรียนวิทยาศาสตร์จริง ๆ
เห็นได้จากจำนวนนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ที่ผ่านเอนทรานซ์จะออกกลางคันถึง
15% แต่ถ้าเป็นเด็กที่ผ่านระบบรับตรง จะออกกลางคันเพียง 2% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าสังคมไทยยังมองว่าอาชีพนักวิทยาศาสตร์เงินเดือนน้อย
และยังไม่ให้ความสำคัญเท่าที่ควร
ทั้งที่ในต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับอาชีพนักวิทยาศาสตร์มาก
ดังนั้นสังคมไทยน่าจะปรับเปลี่ยนค่านิยม เพราะจริง ๆ
แล้ววิทยาศาสตร์จะนำไปสู่การสร้างผลผลิตและเทคโนโลยีต่าง ๆ
โดยไม่ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ
“ที่ผ่านมารัฐบาลให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์ประยุกต์มาก ขณะที่วิทยาศาสตร์พื้นฐาน เช่น เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา กลับให้ความสนใจน้อย ทั้งที่วิทยาศาสตร์พื้นฐานจะเป็นพื้นฐานสำคัญนำไป สู่เทคโนโลยีต่าง ๆ และสามารถแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะถ้าจะให้งานวิจัยก้าวหน้า ผมคิดว่ารัฐต้องส่งเสริมและกระตุ้นให้ภาคเอกชนเข้ามาช่วยให้มากขึ้น เหมือนประเทศที่เจริญแล้วจะดึงเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานวิจัยอย่างมาก เช่น ญี่ปุ่นจะมีสัดส่วนร่วมทำวิจัยระหว่างเอกชนต่อรัฐ คือ 60 ต่อ 40 สหรัฐอเมริกา 50 ต่อ 50 ขณะที่ประเทศไทย 10 ต่อ 90 ทั้งนี้เท่าที่ผมได้คุยกับภาคเอกชนก็พบว่าให้ความสนใจงานวิจัย แต่ติดที่ว่า ไม่มีคนทำ และภาคเอกชนยังคิดว่าสามารถซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้ง่ายกว่า ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้เราก็จะอยู่อย่างนี้และจะไม่มีวันเป็นเหมือนญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกาได้เลย” ศ.ดร.อมเรศ กล่าว.
“ที่ผ่านมารัฐบาลให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์ประยุกต์มาก ขณะที่วิทยาศาสตร์พื้นฐาน เช่น เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา กลับให้ความสนใจน้อย ทั้งที่วิทยาศาสตร์พื้นฐานจะเป็นพื้นฐานสำคัญนำไป สู่เทคโนโลยีต่าง ๆ และสามารถแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะถ้าจะให้งานวิจัยก้าวหน้า ผมคิดว่ารัฐต้องส่งเสริมและกระตุ้นให้ภาคเอกชนเข้ามาช่วยให้มากขึ้น เหมือนประเทศที่เจริญแล้วจะดึงเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานวิจัยอย่างมาก เช่น ญี่ปุ่นจะมีสัดส่วนร่วมทำวิจัยระหว่างเอกชนต่อรัฐ คือ 60 ต่อ 40 สหรัฐอเมริกา 50 ต่อ 50 ขณะที่ประเทศไทย 10 ต่อ 90 ทั้งนี้เท่าที่ผมได้คุยกับภาคเอกชนก็พบว่าให้ความสนใจงานวิจัย แต่ติดที่ว่า ไม่มีคนทำ และภาคเอกชนยังคิดว่าสามารถซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้ง่ายกว่า ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้เราก็จะอยู่อย่างนี้และจะไม่มีวันเป็นเหมือนญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกาได้เลย” ศ.ดร.อมเรศ กล่าว.
ที่มา-
