ทำไมสังฆทานเป็นบุญใหญ่

 

บทความโดย 

พระมหาทศพร ปุญฺญงฺกุโร

 

ทำไมสังฆทานจึงเป็นบุญใหญ่

ทำไมสังฆทานจึงเป็นบุญใหญ่

 

สิ่งที่เป็นเบื้องหลังของชีวิตก็คือ บุญ และ บาป เมื่อเราประสบปัญหาในชีวิต นั่นคือ ช่วงเวลานั้น บุญในตัวเราหย่อน บาปที่เคยผิดพลาดทำมาได้ช่องส่งผล ทำให้ชีวิตตกต่ำ ลำบาก ทั้งหน้าที่การงาน สุขภาพ หรือแม้แต่จิตใจของเราก็ว้าวุ่น สิ่งหนึ่งที่ชาวพุทธนิยมทำ เพื่อเพิ่มบุญให้กับชีวิต ต้องเป็นบุญใหญ่ๆ นั่นคือ บุญสังฆทาน เรามักจะเห็นว่ามีการจัดทัวร์ สังฆทาน 7 วัด 9 วัด 11 วัด บ้าง ซึ่งก็นั่งรถทำบุญทั้งวัน เพื่อทำบุญใหญ่ให้ชีวิตเจริญก้าวหน้าขึ้น

“เมื่อชีวิตประสบปัญหา ต้องเร่งสั่งสมบุญ”

 

สังฆทาน เป็นบุญใหญ่ วันนี้จะได้ขยายความ ว่า เหตุใดสังฆทานจึงเป็นบุญใหญ่ (* โดยปรารภเหตุคือการ ถวายมหาสังฆทาน 40,000 กว่าวัดทั่วไทย ที่วัดพระธรรมกายจัดขึ้น)

เหตุที่สังฆทานเป็นบุญใหญ่ พอจะสรุปออกมาได้ดังนี้

 

ทำไมสังฆทานเป็นบุญใหญ่

ทำไมสังฆทานเป็นบุญใหญ่

สังฆทานเป็นบุญใหญ่เพราะเหตุ 5 ประการดังนี้ :

  1. พระพุทธเจ้า ทรงรับรองไว้ด้วยพระองค์เอง ว่า สังฆทานเป็นประมุขของผู้หวังบุญ
  2. สังฆทาน คือ การทำบุญถูกเนื้อนาบุญ
  3. สังฆทาน เกิดขึ้นได้ยาก
  4. สังฆทาน ทำสงฆ์ให้สามัคคีกัน การทำสงฆ์ให้สามัคคีกัน เป็นบุญใหญ่
  5. ถวายเป็นพุทธบูชา


จะได้ขยายความทีละข้อดังรายละเอียดต่อไปนี้

 

1. พระพุทธเจ้า ทรงรับรองไว้

“ดูก่อนอานนท์ เราไม่กล่าวว่า 

ปาฏิบุคลิกทานมีผลมากกว่าสังฆทานด้วยปริยายอะไร ๆ เลย 
สังฆทานเป็นประมุขของผู้หวังบุญ
สงฆ์นั่นแลเป็นประมุขของผู้บูชา
และเป็นเนื้อนาบุญของชาวโลก
ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า”

 

สังฆทานประมุขผู้หวังบุญ

เรื่องนี้พระองค์ปรารภเหตุมาจาก พระนางมหาปชาบดี ซึ่งก็คือพระน้างนางของพระพุทธองค์ คือแม่นมของที่คอยเลี้ยงดูให้น้ำนมแด่พระองค์หลังจากพุทธมารดาสวรรคตได้ 7 วัน พระน้านางมีความปรารถนาจะทำผ้าจีวรสีทองอันปราณีตถวายเจาะจงแด่พระพุทธเจ้า

 

พระน้านางถวายผ้าจีวรอันประณีตแด่พระพุทธเจ้า

พระน้านางถวายผ้าจีวรอันประณีตแด่พระพุทธเจ้า

 

โดยได้สั่งให้บริวารนำถาดทองคำ 7 ถาด มาเป็นกระถางปลูกต้นฝ้าย นำทองมาขูดเป็นผงแล้วผสมลงไปในดิน ใช้เป็นดินสำหรับปลูกต้นฝ้าย รดน้ำด้วยน้ำนมผสมทอง ใส่ปุ๋ยด้วยธัญญพืชผสมผงทองเช่นกัน ทำด้วยความตั้งใจและประณีตเช่นนี้ทุกวัน จนต้นฝ้ายเริ่มเจริญงอกงามขึ้น ผลิดอกออกบานสะพรั่ง  พระน้านางได้นำดอกฝ้ายเหล่านั้นไปทำเป็นเส้น และให้ช่างฝีมือดีที่สุดมาทอผ้าเป็นผ้าจีวรอย่างพิถีพิถัน โดยได้ดูแลช่างเป็นอย่างดี ให้ช่างอารมณ์ดีที่สุด เพื่อให้ผ้าจีวรถักทอออกมาอย่างประณีตที่สุด

 

เมื่อจีวรสำเร็จ สีของจีวร สีทองสุกปลั่ง เป็นจีวรเส้นใยทองคำ ตีมูลค่าไม่ได้ เหมาะสมอย่างยิ่งแก่การถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระน้านางจึงได้นำจีวรไปถวายแด่พระพุทธเจ้า “ขอพระผู้มีพระภาคทรงโปรดรับผ้าใหม่นี้ของหม่อมฉันด้วยเถิด” แต่พระพุทธองค์กลับตอบว่า “ดูกรพระนาง ขอพระนางถวายสงฆ์เถิด เมื่อถวายสงฆ์แล้ว ก็คือการได้ถวายทั้งอาตมภาพและคณะสงฆ์” พระนางได้อ้อนวอนแบบนี้ ถึง 3 ครั้ง แต่พระพุทธองค์ก็ตอบปฏิเสธเช่นเดิม ที่เป็นเช่นนี้เพราะ พระองค์ต้องการตอบแทนคุณของพระน้านางให้พระน้านางได้บุญใหญ่แบบสุดๆ

 

พระน้านางถวายผ้าจีวรอันประณีตแด่พระพุทธเจ้า

พระน้านางถวายผ้าจีวรอันประณีตแด่พระพุทธเจ้า

 

พระอานนท์เห็นดังนั้น จึงได้กราบทูล ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ โปรดรับ ผ้าใหม่ ของพระนางมหาปชาบดีเถิด พระนางมีอุปการะมาก เป็นแม่นมบำรุงเลี้ยงพระองค์มาตั้งแต่แรกเกิด ได้ให้น้ำนมมาแทนพระราชมารดาตั้งแต่เกิดเลย ขอพระองค์ ได้โปรด รับผ้าที่พระนางตั้งใจทำอย่างประณีตมาถวายเจาะจงพระองค์ด้วยเถิด”

 

พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า ถูกแล้วๆ อานนท์ การใครจะตอบแทนบุคคลผู้มีพระคุณด้วยดี เพียงกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลี ทำสามีจิกรรม หรือว่าให้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ ยารักษาโรค ยังไม่ชื่อว่าการตอบแทนหรอก

 

ทำทานแด่ปุถุชนพึงหวังผลต่างๆ

ทำทานแด่ปุถุชนพึงหวังผลมากมาย

 

  • เมื่อบุคคลใดให้ทานแก่ สัตว์เดียรัจฉาน ผลแห่งทาน 100 อัตภาพ (หรือ 100 เท่า คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ และ ปฏิภาณ ไปถึง 100 ชาติ)
  • เมื่อบุคคลใดให้ทานแก่ ปุถุชนผู้ทุศีล ผลแห่งทาน นั้นจะย้อนกลับมาส่งผลแก่ผู้ให้ 1,000 เท่า
  • เมื่อบุคคลใดให้ทานแก่ ปุถุชนผู้มีศีล เป็นปกติ ผล 100,000 เท่า
  • เมื่อบุคคลใดให้ทานแก่ นักบวชนอกพระพุทธ ศาสนาผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม ได้ผล แสนโกฏิเท่า
  • บุคคลใดให้ทานแด่ ผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้เกิดขึ้น (แม้ผู้ปฏิบัติจะเป็นพระภิกษุสามเณรที่พึ่งบวชในวัน นั้นก็ตาม แต่พระภิกษุสามเณรผู้นั้นก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติ เพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง) ผู้ให้ทานนั้นจะได้รับอานิสงส์ แห่งบุญอย่างจะนับจะประมาณมิได้

 

 

ทำทานกับพระอริยเจ้า พึงหวังผลนับประมาณไม่ได้

ทำทานกับพระอริยเจ้า พึงหวังผลนับประมาณไม่ได้

 

จึงไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงผลแห่งทานที่ทำ - ในพระโสดาบัน ในพระสกทาคามี ในพระอนาคามี ในพระอรหันต์ ในพระปัจเจกพุทธเจ้า ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าจะมีผลมากมายเพียงใด แต่การให้ทานทั้งหมดนี้  ยังเป็นเพียง “ปาฏิปุคคลิกทาน”  คือ ทานที่ให้โดยจำเพาะบุคคล  ยังได้อานิสงส์เทียบ ไม่ได้กับการถวายสังฆทานเลย

 

ดูกรอานนท์ ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าภิกษุ มีผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล มีธรรมลามก คนทั้งหลายจักถวายสังฆทานในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น  สังฆทานนั้น เราก็กล่าวว่า มีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ถึงกระนั้น เราก็ยังไม่กล่าว ปาฏิปุคคลิกทาน ว่ามีผลมากกว่าสังฆทาน โดยปริยายไรๆ เลย

 

พระน้านางจึงถวายผ้าจีวรผืนนั้นเป็นสังฆทาน ซึ่งเป็นบุญที่ใหญ่มากๆ และพระพุทธองค์มาเฉลยตอนหลัง ว่า พระที่เป็นตัวแทน มารับจีวร ก็คือ พระอชิตะ จะได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารูปหนึ่งในอนาคตพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรย์ นั่นเอง

 

จากเรื่องทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะถวายปาฏิปุคคลิกาน คือทานแด่บุคคลใดเจาะจง ผลแห่งการให้นั้น ยังเทียบไม่ได้เลยกับการถวายสังฆทาน ดังนั้นการถวายสังฆทานจึงเป็นบุญใหญ่อย่างยิ่ง เพราะพระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรับรองและชี้แจงไว้ด้วยพระองค์เอง และหากเรามาพิจารณาดู จะเห็นว่า การถวายสังฆทานนี้ เข้าองค์ประกอบ องค์แห่งการให้ทาน 3 ประการ คือ
 

  1. วัตถุบริสุทธิ์
  2. เจตนาบริสุทธิ์
  3. บุคคลบริสุทธิ์

 

องค์แห่งการทำบุญให้ได้บุญมาก

องค์แห่งการทำบุญให้ได้บุญมาก
 

การถวายสังฆทาน ทั้ง เจตนาบริสุทธิ์ และ เนื้อนาบุญอันเลิศ  เพราะไม่เจาะจงเฉพาะพระบางรูป หรือติดว่า พระรูปนั้นเป็นพระอริยสงฆ์ หรือเป็นเกจิจารย์ หรือเทศน์เก่ง หรือเราชื่นชอบเป็นพิเศษ ฯลฯ ถ้าถวายเจาะจง คณะสงฆ์รูปอื่นๆก็ไม่มีส่วนในไทยธรรมนั้นเลย แต่หากถวายแด่สงฆ์ คณะสงฆ์จะได้ดำเนินการต่อว่าจะทำอย่างไรต่อไทยธรรมที่เราถวายไป

 

เรามีเจตนาถวายแด่คณะสงฆ์ แล้วไทยธรรมที่ถวายไป ขาดจากใจจริงๆ ไร้ความผูกพัน คือไทยธรรมนั้นแล้วแต่สงฆ์ดำเนินการ เราไม่ได้ไปผูกพันต่อว่า เอาไทยธรรมเราไปทำอย่างนั้นสิอย่างนี้สิ ถ้าถวายขาดไปแล้ว ก็แล้วแต่คณะสงฆ์ คือทั้งไม่ยึดติดในไทยธรรม และ ไม่ยึดติดในตัวบุคคลด้วย การถวายแด่สงฆ์นี้ ซึ่งคือเนื้อนาบุญ คือประมุขของผู้หวังบุญ จึงเป็นบุญใหญ่มาก


2. การถวายสังฆทาน ถวายถูกเนื้อนาบุญ

 

“บุคคลให้ทานในนาใดแล้วมีผลมาก
พึงเลือกให้ทานในนานั้น การเลือกให้พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ ทานที่บุคคลให้ดีแล้ว
ในทักขิไณยบุคคลย่อมมีผลมาก เหมือนพืชที่หว่านลงในนาดีฉะนั้น”

 

ทรัพย์เป็นของหายาก กว่าจะหามาได้ต้องลำบากตรากตรำ นักธุรกิจยังต้องลงทุนในธุรกิจที่ลงทุนน้อย ได้ผลมาก ได้ผลเร็ว มั่นคง เราเป็นนักสร้างบารมีก็เช่นกันต้องสั่งสมบุญในเนื้อนาบุญที่ ทำน้อย ได้มาก หากทำมากยิ่งได้มากขึ้นไปอีก ทำแล้วได้บุญมาก บุญส่งผลเร็ว นั่นคือต้องเป็นเนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์ ประดุจนาดีจึงจะได้ผลผลิตที่ดีงาม 

 

หากเราให้ข้าวแด่น้องหมา เมื่อน้องหมามีแรง น้องหมาก็ทำได้เพียงเห่าหอน อย่างดีก็ดูแลเจ้านายเตือนภัยบ้างบางครั้ง แต่ก็ทำได้เท่านั้น หากเราให้ข้าวโจร เมื่อโจรมีแรงก็นำเรี่ยวแรงนั้นไปปล้นฆ่าชิงทรัพย์ บุญกุศลก็เกิดกับเราน้อย เพราะคุณประโยชน์เกิดน้อย

 

สังฆทานทำบุญถูกเนื้อนาบุญ

เรื่องเนื้อนาบุญนี้ขอยกเรื่องของ พ่อค้าชื่อว่าอังกุระ

 

พ่อค้าอังกุระสั่งสมบุญ เปิดโรงทานทุกวัน

พ่อค้าอังกุระสั่งสมบุญ เปิดโรงทานทุกวัน

 

พ่อค้าอังกุร เดินทางกลับจากการค้าขาย ต้องผ่านกลางทะเลทราย กองเกวียนเกิดหลงทาง คนและม้าทั้งหลายอดอาหารและนำ้มาหลายวัน เทวดาที่มีวิมานอยู่ที่ต้นไทรใกล้ๆ เห็นเข้า จึงปรากฎตัว และชี้ให้พ่อค้าอังกุระไปพักที่ต้นไทรของตน เทวดาได้เหยียดมือขวาออก ปรากฎว่า ของชอบใจทั้งหลาย ข้าว น้ำ อาหารต่างๆ ไหลออกจากฝ่ามือที่เป็นทองคำของเทวดานั้น พ่อค้าอังกุระอัศจรรย์ใจ จึงถามว่า ท่านทำกรรมอะไรมา

 

เทวดาตอบว่า เราเป็นช่างทอหูกเป็นฐานะยากจน อาศัยอยู่ที่ใกล้ๆ เรือนของอสัยหเศรษฐี  ท่านเศรษฐีให้ทานกับยาจก คนยากจนทุกวัน พอยาจกจะมารับทาน ก็มาถามเราว่า เรือนของท่านเศรษฐีไปทางไหน เราไม่ได้มีศรัทธา ไม่ได้อนุโมทนาเลย แต่ได้ยกมือขวา ชี้บอกเรือนของท่านเศรษฐีแก่ยาจกเหล่านั้น ด้วยผลบุญนี้ฝ่ามือของเราจึงเป็นทองและให้สิ่งที่น่าปรารถนาไหลออกมาจากฝ่ามือของเรา

 

พ่อค้าอังกุระ จึงถามต่อว่า ท่านมีมือเป็นทองก็จริง แต่นิ้วของท่านหงิกงอ ปากเบี้ยว ตาทะเล้นดูน่าเกลียด แบบนั้นหล่ะ

 

เทวดา จึงตอบว่า เวลามียาจกมารับทาน เรามักจะรังเกียจคนจนทั้งที่เราก็ลืมไปว่าเราก็จนเช่นกัน เลยเลยทำปากบุ้ย เบ้ปาก ค้อนตา มองบน ทำให้เรามีมือหงิกงอ ตาทะเล้น ปากเบี้ยวแบบนี้แหล่ะ

 

พ่อค้าอังกุระจึงคิดได้กว่า ขนาดเทวดานี้ไม่เคยแม้แต่อนุโมทนา ได้เพียงชี้นิ้วบอกทาง ยังได้ผลน่าอัศจรรย์ขนาดนี้ แล้วคนที่ให้ทานเอง จะได้ผลขนาดไหน คิดได้ดังนั้นจึงตั้งใจว่า ต่อจากนี้ไป เราจะให้ทาน

 

เมื่อพ่อค้าอังกุระกลับไปถึงเรือนก็ได้เปิดโรงทาน ได้เลี้ยงอาหารแก่ชาวเมือง วันละ 60,000 เล่มเกวียน เป็นประจำทุกวัน โดยมีพ่อครัว 3,000 คน  เด็กหนุ่มเป็นผู้ช่วยพ่อครัว 60,000 คน ประดับด้วยเครื่องประดับอันวิจิตร ช่วยกันผ่าฟืนตั้งเตา แถวเตาไฟยาว 12 โยชน์ หญิงสาวเป็นช่วยเตรียมเครื่องปรุง 16,000 มีหญิงสาวอีกเป็นเด็กเสริฟ 16,000 คน แต่งตัวสวยงามราวกับนางฟ้า ยืนถือทัพพีคอยตักอาหารให้คนที่มาขอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทำบุญเช่นนี้ตลอด 10,000 ปี

 

เมื่ออังกุระเศรษฐีละโลกไปแล้ว ท่านได้ไปบังเกิดใน สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เสวยทิพยสมบัติเป็นเวลายาวนาน

 

มาถึงในยุคสมัยพุทธกาลของเรา พราหมณ์ผู้ยากไร้ ชื่อ “อินทกะ” เป็นคนมีศรัทธาแต่ไม่มีทรัพย์ เห็นพระอนุรุทธะบิณฑบาตผ่านหน้าบ้าน
 

พราหมณ์อินทกะ ทำบุญเพียงข้าวทัพพีเดียวกับพระอนุรุทธะ

พราหมณ์อินทกะ ทำบุญเพียงข้าวทัพพีเดียวกับพระอนุรุทธะ

 

จึงได้ถวายข้าวทัพพีหนึ่ง ด้วยบุญนี้เอง เมื่อละสังขาร ได้ไปบังเกิดเป็นอินทกเทพบุตรผู้มีรัศมี กายที่รุ่งเรืองสว่างไสวยิ่งกว่าอังกุรเทพบุตรทั้งหลาย

 

เมื่อพระพุทธเจ้าไปโปรดพุทธมารดา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทวดาในหมื่นโลกธาตุพากันมานั่งประชุมเพื่อฟังธรรม เทวดาที่มีศักดิ์ใหญ่ มีบุญมาก จะได้นั่งอยู่แถวหน้า ส่วนผู้ที่บุญน้อยกว่าก็จะถอยร่นออกไปเรื่อยๆ (เพราะบนสวรรค์เค้าวัดที่กำลังบุญ) สมัยนั้น อังกุรเทพบุตร มาถึงก่อน นั่งอยู่ด้านหน้า แต่เมื่อเทพบุตรองค์อื่นๆ มาถึง อังกุรเทพบุตรต้องถอยร่น ไปตามกำลังบุญ จนนั่งอยู่ไกลถึง ๑๒ โยชน์ ส่วนอินทกเทพบุตร ที่ได้ทำทานกับพระอนุรุทธะ นั่งอยู่ที่เดิมด้านหน้าใกล้พุทธเจ้าดังเดิม

 

อังกุรเพทบุตรถูกเทวดาที่มีรัศมีมากกว่า ดันร่นไปด้านหลั่งเทวสภา

อังกุรเพทบุตรถูกเทวดาที่มีรัศมีมากกว่า ดันร่นไปด้านหลั่งเทวสภา

 

พระพุทธเจ้าได้ตรัสถาม ว่า "อังกุระเธอทำทาน มีเตาไฟยาว ๑๒ โยชน์ ได้ให้ทานเป็นอันมากตลอด 10,000 ปี บัดนี้เธอนั่งอยู่ไกลถึง 12 โยชน์ ทำไมเธอจึงไปนั่งอยู่ไกลนักหล่ะ"

 

อังกุรเทพบุตร กราบทูลว่า “ข้าพระองค์ทำทานมีเตาไฟยาว 12 โยชน์ก็จริง แต่ทานของกระผมนั้นว่างเปล่า คือ ว่างเปล่าจากทักขิไณยบุคคล เพราะคนที่มารับทานเป็นคนทุศีล คนยากจน ทำให้ได้ผลแห่งทานน้อยเหลือเกิน พระเจ้าข้า"

 

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ทานที่บุคคลให้แล้วในบุญเขตใด มีผลมาก บุคคลพึงเลือกให้ทานในบุญเขตนั้น เพราะการเลือกเนื้อนาบุญก่อน แล้วจึงให้ทาน เป็นสิ่ง ที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญแล้ว ในกาลจบเทศนา อังกุรเทพบุตรและอินทกเทพบุตร ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล

 

 

พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องเนื้อนาบุญ

พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องเนื้อนาบุญ

 

 

เราจะเห็นได้ว่า เพียงเนื้อนาบุญต่างกัน ผลแห่งบุญนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง  ดังนั้นผู้ฉลาดต้องฉลาดในการใช้ทรัพย์ต้องใช้ทรัพย์ลงทุกให้คุ้มค่า นักลงทุน ยังต้องลงทุนใน บริษัท หรือใน หุ้นที่คิดว่าจะได้ผลตอบแทนกลับมาสูงๆ ความเสี่ยงต่ำ เช่นเดียวกัน นักสร้างบารมี จะนำทรัพย์ไปทำบุญ ก็ต้องเลือกเนื้อนาบุญ ที่ทำแล้วได้บุญเยอะ ส่งผลเร็ว แรง คุ้ม เพราะทรัพย์ช่วงนี้ หายาก ภัยพิบัติต่างๆ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ต่างอยากทำประกันชีวิต แต่ประกันชีวิตที่ดีที่สุด คือ การสั่งสมบุญนั่นเอง

 

ดังนั้นเราจึงต้องเลือกผู้รับ คือ เนื้อนาบุญ แล้วจึงให้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงสรรเสริญ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงยกย่องว่า คณะสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลกหล้า เป็นประมุขของผู้หวังบุญ ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนั้นการถวายทานแด่สงฆ์หรือสังฆทานจึงเป็นบุญใหญ่ เพราะถูกเนื้อนาบุญ

 

เพราะฉะนั้นสังฆทานครั้งนี้ 40,000 วัดทั่วสังฆมณฑล จึงเป็นบุญใหญ่ เพราะ ทำบุญถูกเนื้อนาบุญคือพระสงฆ์ จะหาเนื้อนาบุญเช่นนี้ได้อีกที่ไหนอีกเล่า

 

 

3. สังฆทานเกิดได้ยาก โดยเฉพาะ 40,000 วัด

การได้ความเป็นมนุษย์ เป็นของยาก การมีชีวิตอยู่ต่อ เป็นของยาก (รักษาลมหายใจ) การยินจะได้ฟังธรรม เป็นของยาก แต่สิ่งที่ยากอีกอย่าง คือ ผู้แสดงธรรม เกิดยาก นั่นคือ การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า เป็นของยากมาก

หากเรามาพิจารณาในเรื่องความยากของการจัดงานมหาสังฆทาน 40,000 วัดเราจะพบว่า เป็นของยากทีเดียว ดังนี้

 

  1. ต้องมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ซึ่งยากมาก
  2. ต้องมีพระสงฆ์สืบทอดพระศาสนา 2500 ปี (ต้องมีพระรุ่นต่อรุ่น แต่ละยุคแต่ละสมัยก็มีภัยที่จ้องทำลายพระทั้งนั้น สงคราม ฯ) ซึ่งยากขึ้นไปอีก
  3. เราเอง ต้องเกิดในดินแดนที่รุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนา      ต้องอยู่ในดินแดนที่มีวัดมาก 40,000 วัด
  4. ต้องมีผู้มีบารมีมาก จัดงานสังฆทาน 40,000 วัด เจ้าภาพจัดงานต้องมีสถานที่สิ่งอำนวยความสะดวกรองรับ ทั้งสถานที่ อาหาร บุคคล KnowHow ปัจจัย อื่นๆ ซึ่งวัดพระธรรมกายได้สถาปนาศาสนสถานขึ้นมาจำนวนมากเพื่อรองรับงานนี้แล้ว ตั้งแต่ พระมหาธรรมกายเจดีย์ ลานธรรม วิหารคด สภาธรรมกายสากล โรงครัว ที่จอดรถ ฯลฯ เพื่อการณ์นี้ ทั้งต้องมียานพาหนะและการเดินทางที่เพียงพอ รวมทั้งมีผู้มีบุญมากมาร่วมกันจัดงานนี้ให้เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ยากมากๆๆๆ ในการหาผู้จัดงานที่ความพร้อมในทุกๆ ด้าน
  5. ยากยิ่งกว่า คือ ทุกๆ วัด พร้อมใจสละเวลามาเป็นเนื้อนาบุญ ทุกวัดล้วนมีภาระกิจมากมาย แต่ทุกวัดพร้อมใจมา และต้องมาพร้อมๆ กันในช่วงเวลาบุญพิธีด้วย
  6. จังหวะนั้น เราเอง, ผู้จัดงาน, เนื้อนาบุญ ต้องมีศรัทธา และไทยธรรม ต้องมีเวลา เงินตรา และอารมณ์ พร้อมๆกันทุกๆ องคาพยพจึงจะเกิดงานนี้ได้

     สังฆทานทั่วไปก็เกิดยากแล้ว แต่สังฆทาน 40,000 วัดเกิดยากยิ่งกว่า

 

สิ่งที่เกิดยาก 4 ประการ

สิ่งที่เกิดยาก 4 ประการ

 

 

4. สังฆทาน ทำให้คณะสงฆ์สามัคคีกัน 

 

อานิสงส์การทำสงฆ์ให้สามัคคีกัน

อานิสงส์การทำสงฆ์ให้สามัคคีกัน


พระอานนท์ทูลถามว่า “บุคคลผู้สมานสงฆ์ซึ่งแตกกันแล้วให้สามัคคีกันจะประสพผลอะไร พระพุทธเจ้าข้า”

 

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อานนท์ บุคคลผู้สมานสงฆ์ให้ สามัคคีกัน จะบันเทิงในสวรรค์ตลอดกัป”

 

ความพร้อมเพรียงแห่งสงฆ์เป็นเหตุให้เกิดสุข บุคคลผู้สงเคราะห์สงฆ์ผู้สามัคคีกันแล้ว ยินดีแล้วในความพร้อมเพรียงกัน  ย่อมไม่เสื่อมจากธรรมอันเกษม ย่อมบันเทิงในสวรรค์ตลอดกัป เพราะสมานสงฆ์ให้สามัคคีกัน

 

อานิสงส์การละคำส่อเสียดและพูดให้สามัคคีกัน

ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด สมานคนที่แตกร้าวกัน ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันยินดีเพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน

จะทำให้ได้ลักษณะมหาบุรุษ คือ มีพระทนต์ไม่ห่าง เรียงชิดติดกันสวยงาม  มีฟันขาว เรียบเสมอกัน ทำให้เคี้ยวอาหารได้ละเอียด  ฟันไม่โยก ไม่คลอน  แม้จะมีอายุมาก ฟันก็ไม่หลุดจากปาก

การจัดสังฆทานคือการส่งเสริมให้คณะสงฆ์สามัคคีกัน โดยเฉพาะสังฆทานในคณะสงฆ์จำนวน 40,000 กว่าวัดหรือทั่วสังฆมณฑล

 

 

อานิสงส์การทำสงฆ์ให้สามัคคีกัน

อานิสงส์การทำสงฆ์ให้สามัคคีกัน

 

ดังนั้นสังฆทาน ไม่ใช่แค่ฝ่ายสงฆ์สามัคคีกันเท่านั้น แต่คือ ความสามัคคีทั้งพุทธบริษัท 4 ดังวาทะธรรมที่ว่า 

 

“ พุทธบริษัท 4 ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนดวงตะวัน ที่มีดวงเดียว ”

 

ถวายพร้อมกันทั้ง 4 หมื่นวัด ทานบดี 4 หมื่นคณะ เริ่มพร้อมกัน เลิกพร้อมกัน บุญเกิดพร้อมกัน

 

 

5. สังฆทานเป็นบุญใหญ่ เพราะ ถวายเป็นพุทธบูชา

ในการถวายสังฆทานนั้นเราจะตั้ง “นะโม” 3 จบเป็นการระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ดั่งพุทธพจน์ที่ว่า

 

“พระตถาคตยังทรงพระชนม์อยู่ก็ดี 

หรือเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วก็ดี

เมื่อมีจิตเลื่อมใสเสมอกัน

ผลแห่งการบูชานั้นย่อมเท่ากัน”

 

    หาเราตั้งจิตในการถวายสังฆทานในครั้งนี้แด่พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าด้วย ประดุจพระพุทธองค์เป็นประมุขในการถวายสังฆทานครั้งนี้ ผลแห่งการทำสังฆทานนั้นย่อมยิ่งใหญ่ไพศาลมากมายจักประมาณมิได้
    นึ้จึงเป็นเหตุผลว่าการทำสังฆทานเป็นบุญใหญ่เพราะผู้ถวายน้อมจิตถวายเป็นพุทธบูชานั่นเอง

    จากที่ได้ชี้แจงมานี้ จะเห็นได้ว่าการทำบุญสังฆทานนั้นเป็นบุญใหญ่มาก ยังมีเรื่องราวอานิสงส์ของการถวายสังฆทานดังนี้  

 

อานิสงส์การถวายสังฆทาน

 

อานิสงส์การถวายสังฆทาน

อานิสงส์การถวายสังฆทาน
 

มีพี่สาวน้องสาวสองคน พี่สาวชื่อ “ภัททา” คนน้องชื่อ “สุภัททา” ทั้งสองพี่น้องต่างเป็นผู้มีศรัทธา เลื่อมใสพระรัตนตรัย เฉลียวฉลาด  พี่สาวชอบถวายทานเจาะจงบุคคล น้องสาวได้ฟังพระเรวตเถระแนะให้ถวายเป็นสังฆทาน ฝ่ายพี่สาว สอนน้องสาว เป็นประจำ ว่า “สิ่งต้องทำเป็นนิตย์ก็คือ ยินดีให้ทาน ไม่ประมาทในการประพฤติธรรม” และนางสุภัททาก็ประพฤติตามโอวาทของพี่เรื่อยมา แต่ว่าฝ่ายพี่สาวชอบให้ถวายทานแก่ภิกษุที่ตนเลื่อมใสเท่านั้น

    

วันหนึ่ง นางสุภัททาพบกับพระเรวตเถระ นางเลื่อมใสมาก กล่าวนิมนต์ท่านให้ไปฉันที่เรือน พระเถระอยากให้นางบุญมากขึ้นอีก จึงแนะนำให้ไปนิมนต์พระภิกษุมา ๗ รูป โดยให้นิมนต์ผ่านพระเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่รับเรื่องนี้ ส่วนคณะสงฆ์จะจัดพระรูปใดมาก็ได้  ทั้งนี้เพื่อนางได้ถวายทานเป็นสังฆาน วันรุ่งขึ้น พระเรวตเถระและภิกษุอีก ๗ รูปจากสงฆ์ ก็มาฉันในเรือนของนางสุภัททา นางเกิดความศรัทธามาก ถวายทานด้วยมือของตนเอง จนกระทั่งภิกษุฉันเสร็จพระเถระกล่าวอนุโมทนาแล้วกลับไป

 

นางสุภัททาได้ถวายทานไม่กี่ครั้ง ก็หมดอายุขัย ละโลกไปบังเกิดเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี (ชั้น 5) ส่วนพี่สาว ที่แนะนำให้น้องทำทาน และถวายทานเจาะจงพระที่ตนชื่นชอบ ก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ขั้น 2)ไม่นานนัก เทพธิดาสุภัททาระลึกถึงพี่สาวจึงตรวจตราดูก็พบว่า พี่สาวไปเกิดเป็นเทพธิดาบริวารคอยรับใช้ท้าวสักกะ

    

อานิสงส์การถวายสังฆทาน

อานิสงส์การถวายสังฆทาน

 

ด้วยความคิดถึง เทพธิดาสุภัททาจึงไปหาภัททาเทพธิดายังวิมาน ในสวรรค์ดาวดึงส์ ฝ่ายพี่สาวเทพธิดา ได้เห็นรัศมีของน้องสาว จึงถามว่าา “ท่านมีรัศมีสว่างยิ่งนัก เราไม่เคยท่านมาก่อน ท่านเป็นใครหรือ? ท่านได้ทำบุญอะไรไว้?” 

 

ฝ่ายเทพธิดาน้องสาว ตอบว่า “เราคือ น้องสาวของท่าน ชื่อสุภัททา เราได้ถวายบิณฑบาตแด่พระสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญด้วยมือทั้งสอง  เพราะบุญนั้น จึงมีทิพยสมบัติเช่นนี้" 

 

ฝ่ายพี่สาว สงสัย ถามต่อว่า “เราเองก็ถวายทานมีถวายข้าวและน้ำแก่ภิกษุทั้งหลายเช่นกัน แถมให้มากกว่าที่น้องให้เสียอีก แต่กลับเกิดในสวรรค์ชั้นที่ต่ำกว่า เป็นเพราะเหตุไรหรือ ?" 

 

เทพธิดาสุภัททา กล่าวว่า "ชาติก่อน น้องได้พระเรวัตเถระแนะนำให้ถวายทานเป็นสังฆทาน การถวายสังฆทาน มีผลประมาณไม่ได้ ส่วนพี่ถวายทานเจาะจงบุคคล ทานจึงมีผลไม่มาก”

 

ดังนั้นผู้ฉลาดรู้เช่นนี้แล้ว ย่อมใช้เวลาในชีวิตให้คุ้มค่า ทำบุญน้อยได้มาก ทำบุญมากยิ่งได้มากขึ้นไปอีก เพราะองค์ประกอบในการทำบุญ คือวัตถุบริสุทธิ์  เจตนาบริสุทธิ์ บุคคลบริสุทธิ์ ผู้ฉลาดมักถวายสังฆทานเป็นประจำ เพราะสังฆทาน มีอานิสงส์มากดังได้อธิบายไว้ข้างต้น

 

ทำไมสังฆทานจึงเป็นบุญใหญ่ โดย พระมหาทศพร ปุญฺญงฺกุโร | พระธรรมเทศนาวันอาทิตย์ 

รับชมวิดีโอ ทำไมสังฆทานจึงเป็นบุญใหญ่ โดย พระมหาทศพร ปุญฺญงฺกุโร | พระธรรมเทศนาวันอาทิตย์
ในรายการ พระธรรมเทศนาวันอาทิตย์

 

ขอให้เจริญในธรรม

แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง