
ศรีสะอาด หนูใจคง ที่ใครรู้จักกันเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะคณะอาจารย์และนิสิตคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
สาวใหญ่ใจบุญผู้นี้ปิดทองหลังพระมาเป็นเวลาหลาย 10 ปี
ด้วยการแจกทุนรับประทานอาหารกลางวันกับนิสิตภายในคณะวนศาสตร์
ที่ตนเองผูกพันมาตั้งแต่สาวๆ
ป้าเล็ก เริ่มเล่าความภูมิใจที่ไม่ต้องการบอกใครให้ฟังว่า “อยากเก็บความภูมิใจของเราเงียบๆ ฉันไม่เปิดเผยให้ใครรู้ว่ากำลังทำอะไร และไม่ได้ยึดติดหลักการดำเนินชีวิตเหมือนกับใคร เพียงแต่เรารู้จักทำบุญ อยากช่วยเหลือลูกๆ หลานๆของเรา”
ด้วยเวลาเกือบ40 ปี ของการประกอบอาชีพขายข้าวแกงในรั้วมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งแต่อายุ 20 ปี
“ฉันผูกพันกับที่นี้ ตั้งแต่สาวๆ รู้จักท่านคณบดี และอาจารย์ตั้งแต่รุ่นแรก ตอนนี้ก็ได้ปลดเกษียณอายุไปหมดแล้ว มีบางท่านกลับมาเยี่ยมมาหาบ้างเหมือนกัน”
ด้วยความผูกพันบวกกับความมีน้ำใจของป้าเล็ก ป้ามองนิสิตรั้วนนทรีแห่งนี้เป็นเสมือนลูกๆหลานๆ
ป้าเล็ก เริ่มเล่าความภูมิใจที่ไม่ต้องการบอกใครให้ฟังว่า “อยากเก็บความภูมิใจของเราเงียบๆ ฉันไม่เปิดเผยให้ใครรู้ว่ากำลังทำอะไร และไม่ได้ยึดติดหลักการดำเนินชีวิตเหมือนกับใคร เพียงแต่เรารู้จักทำบุญ อยากช่วยเหลือลูกๆ หลานๆของเรา”
ด้วยเวลาเกือบ40 ปี ของการประกอบอาชีพขายข้าวแกงในรั้วมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งแต่อายุ 20 ปี
“ฉันผูกพันกับที่นี้ ตั้งแต่สาวๆ รู้จักท่านคณบดี และอาจารย์ตั้งแต่รุ่นแรก ตอนนี้ก็ได้ปลดเกษียณอายุไปหมดแล้ว มีบางท่านกลับมาเยี่ยมมาหาบ้างเหมือนกัน”
ด้วยความผูกพันบวกกับความมีน้ำใจของป้าเล็ก ป้ามองนิสิตรั้วนนทรีแห่งนี้เป็นเสมือนลูกๆหลานๆ
หลังจากนั้น
ป้าเล็กมีความตั้งใจที่จะแจกทุนรับประทานกลางวันให้กับเด็กๆ
ในรั้วบ้านที่เจ้าตัวผูกพันมาเป็นเวลานาน
จึงเข้าปรึกษากับท่านคณบดีของคณะวนศาสตร์
“ท่านถามฉันว่าจะทำได้หรือเปล่า ฉันก็บอกไปได้ว่า เต็มใจอยู่แล้ว อยากเห็นเด็กๆ
อิ่มท้อง ไม่อยากให้มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ฉันเห็นเด็กๆ
ที่มาจากต่างจังหวัดเข้ามาเรียนที่กรุงเทพ บางคนเรื่องการเงินยังไม่พร้อม
ด้วยสภาวะแวดล้อมทำให้มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย
และเรื่องปากท้องจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกเขา
ถ้าท้องไม่อิ่มการเรียนก็จะมีผลกระทบ ลูกคนรวยเค้ามีเงินจะทานอะไรก็ได้
แต่ลูกคนจนไม่มีสิทธิจะได้ทานอะไรดีๆ”
“ฉันอยากให้หลายคนคิดถึงสมัยที่ลูกๆของเราเข้าเรียนมหาวิทยาลัย บางคนสอบติดมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ต้องไกลพ่อ ไกลแม่ เรื่องค่าใช้จ่ายเป็นตัวแปรสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินจะลำบากแค่ไหน”
หลังจากปี 2538 ป้าเล็กเริ่มแจกทุนรับประทานอาหารกลางวันให้กับนิสิตตั้งแต่ ชั้นปี 1 – 4 จำนวน 10ทุน ด้วยวิธีการเกณฑ์การคัดเลือกจากประวัติ และความประพฤติ “ฉันขออาจารย์ว่า อย่าคัดเด็กที่เกรดเลย ลูกคนรวยเรียนดี เกรดสวยทั้งนั้น ทำไมไม่คัดที่ประวัติเด็ก มันสนิทใจกว่าที่จะแจกทุนให้ลูกคนรวยที่มีเงินซื้ออาหารทานได้อย่างสบาย แต่ลูกหลานคนจนกลับต้องอดมื้อกินมื้อ"
และทุกครั้งที่ป้าเล็ก บริการนิสิตที่รับทุนรับประทานอาหารกลางวันเวลาที่อาหารไม่พอ ป้าก็จะทำขึ้นมาใหม่ ทอดไข่ ต้มไข่ให้เด็กเอากลับไปทานที่หอ
“เราไม่อยากให้เขาต้องลำบาก”
สำหรับกิจวัตรของป้าตื่นตั้งแต่ ตี 4 จ่ายตลาดคนเดียว แล้วค่อยเดินออกกำลังกายไปเรื่อยๆจากนั้นค่อยไปเปิดร้าน
“เคยมีคนขอตามไปช่วยหิ้วของ แต่ป้าไม่ให้ไป เกรงใจเขา เห็นว่า มันยังอยู่ในช่วงที่เขาควรพักผ่อน เราชินเวลาทำงานแบบนี้แล้ว เวลาขายของก็ต้องยืนทั้งวัน โชคดีที่ตอนนี้มีลูกสาวมาช่วยแบ่งเบาภาระได้บ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมดกว่าจะนอนก็ 3-4 ทุ่ม มีเวลานอนไม่ถึง 5 ชั่วโมง พอใกล้สว่างก็ต้องตื่นทำงานต่อ เมื่อก่อนป้าเคยเข้าผ่าตัดหัวเข่า เพราะลื่นล้มเวลาจ่ายตลาด หยุดพักไป 3- 4 เดือน ลูกๆก็บอกให้พักผ่อนได้แล้ว ป้าก็บอกว่า ถ้าฉันจะหยุด ฉันจะหยุดเอง จะทำไปจนกว่าจะทำไม่ได้ ทำไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้เราอยู่แบบสบาย จะพักผ่อนเมื่อไรก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่อยากพักก็เท่านั้นเอง”
ด้วยความใจบุญจึงเป็นธรรมดาที่ป้าเล็กจะใช้เวลาว่างช่วงวันหยุด รับทำอาหารบุพเฟ่ ให้กับนิสิตปริญญาโทตามคณะต่างๆ และใช้เวลาในช่วงเช้าตรู่ของวันเสาร์ เข้าวัดทำบุญตักบาตร และถวายสังฆทานเฉกเช่นการใจดีต่อนิสิตแบบไม่หวังผลตอบแทน และแน่นอนว่าศิษย์เก่ารั้วนนทรีหลายคนล้วนเติบโตมาจากอาหารมื้ออิ่มของป้าเล็กทั้งนั้น
ปิยวัตน์ ดิลกสัมพันธ์ รองคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ทำหน้าที่ดูแลโครงการให้ทุนอาหารกลางวัน ร้านป้าเล็ก เล่าถึงโครงการอาหารกลางวันของป้าเล็กว่าเริ่มต้นมาตั้งปี 2538 โดยมีคณะกรรมการกิจการนิสิต ดูแลเรื่องการมอบรับทุน
“สมัยก่อนเราตั้งกฎเกณฑ์ให้สำหรับนิสิตที่ได้รับทุน ต้องกรอกใบสมัครและทำการสัมภาษณ์ หรือไม่ก็คัดเลือกนิสิตที่มีผลการเรียนดี ความประพฤติดี แต่ป้าเล็กบอกว่า ควรตรวจสอบที่ประวัติจะดีกว่า เพราะบางคนไม่กล้าบอกถึงพูดถึงฐานะตัวเอง หรือเกรงใจจนไม่กล้าเข้าไปรับอาหารที่ร้าน”
“จริงๆ ผมเรียนจบและเป็นศิษย์เก่าที่นี่ และรู้จักกับป้าเล็กมาตั้งแต่เรียน บางครั้งก็เห็นรุ่นพี่บางคนกลับมาหาป้าเล็ก เพราะแกเป็นคนใจดีและผูกพันกับนิสิตคณะวนศาสตร์เกือบทุกรุ่น ใครมีปัญหาเรื่องอาหารการกิน แค่เอ่ยปากพูด ป้าเล็กก็รีบทำให้ทันที บางครั้งยังตักใส่ถุงให้นิสิตเอาไปกินที่หอ”
ด้าน “แชมป์” พีรวัฒน์ ขาวบริสุทธิ์ นิสิตชั้นปี 3 คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในนิสิตผู้รับทุนรับประทานอาหารกลางวันเช่นกัน แชมป์ เล่าว่า 4 ปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยต้องมีค่าใช้จ่ายมากมาย ด้วยสภาวะเศรษฐกิจและฐานะทางบ้าน ทำให้ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายบางส่วนไว้
“ได้โอกาสรับทุนจากป้าเล็กตั้งแต่ปี 1 ท่านเอ็นดูเด็กๆทุกคนเหมือนลูกหลาน วันไหนอยากทานอะไรก็เข้าไปหา ป้าเล็กจะรีบทำอาหารให้ บางวันก็หิ้วกับข้าวกลับไปทานที่ห้อง ศิษย์เก่าที่นี้หลายคนเติบโตมาจากข้าวแกงของป้าเล็ก ทำให้ผมได้ทั้งประหยัด และรู้จักอดออมมากขึ้น”
ผ่านไปหลายรุ่นหลายสมัยที่ต่างแวะเวียนมาฝากท้องกับอาหารของป้าเล็ก ทั้งในรูปแบบอุดหนุนหรือนิสิตทุนอาหารกลางวันก็ตาม แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักศึกษาแล้ว ป้าเล็กท่านก็มีความเอ็นดูเช่นเดียวกันกับทุกคน
“จำได้ทุกคน ทุกๆวันแม่ พวกเด็กจะเอาพวงมาลัยมาให้ เข้ามากอด บางคนเรียนจบอยู่กรมป่าไม้ต่างจังหวัดก็กลับมาหา หิ้วขนมมาฝาก เราก็บอกว่าไม่ต้องซื้ออะไรมา แค่เขาไม่ลืมเราก็พอแล้ว ไม่เคยคิดที่จะหวังผลกับเด็กๆพวกนี้ แค่เห็นเขาสำเร็จการศึกษาได้เกียรตินิยมมากอดก็พอแล้ว” ป้าเล็กกล่าวทิ้งท้าย
“ฉันอยากให้หลายคนคิดถึงสมัยที่ลูกๆของเราเข้าเรียนมหาวิทยาลัย บางคนสอบติดมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ต้องไกลพ่อ ไกลแม่ เรื่องค่าใช้จ่ายเป็นตัวแปรสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินจะลำบากแค่ไหน”
หลังจากปี 2538 ป้าเล็กเริ่มแจกทุนรับประทานอาหารกลางวันให้กับนิสิตตั้งแต่ ชั้นปี 1 – 4 จำนวน 10ทุน ด้วยวิธีการเกณฑ์การคัดเลือกจากประวัติ และความประพฤติ “ฉันขออาจารย์ว่า อย่าคัดเด็กที่เกรดเลย ลูกคนรวยเรียนดี เกรดสวยทั้งนั้น ทำไมไม่คัดที่ประวัติเด็ก มันสนิทใจกว่าที่จะแจกทุนให้ลูกคนรวยที่มีเงินซื้ออาหารทานได้อย่างสบาย แต่ลูกหลานคนจนกลับต้องอดมื้อกินมื้อ"
และทุกครั้งที่ป้าเล็ก บริการนิสิตที่รับทุนรับประทานอาหารกลางวันเวลาที่อาหารไม่พอ ป้าก็จะทำขึ้นมาใหม่ ทอดไข่ ต้มไข่ให้เด็กเอากลับไปทานที่หอ
“เราไม่อยากให้เขาต้องลำบาก”
สำหรับกิจวัตรของป้าตื่นตั้งแต่ ตี 4 จ่ายตลาดคนเดียว แล้วค่อยเดินออกกำลังกายไปเรื่อยๆจากนั้นค่อยไปเปิดร้าน
“เคยมีคนขอตามไปช่วยหิ้วของ แต่ป้าไม่ให้ไป เกรงใจเขา เห็นว่า มันยังอยู่ในช่วงที่เขาควรพักผ่อน เราชินเวลาทำงานแบบนี้แล้ว เวลาขายของก็ต้องยืนทั้งวัน โชคดีที่ตอนนี้มีลูกสาวมาช่วยแบ่งเบาภาระได้บ้าง แต่ก็ไม่ทั้งหมดกว่าจะนอนก็ 3-4 ทุ่ม มีเวลานอนไม่ถึง 5 ชั่วโมง พอใกล้สว่างก็ต้องตื่นทำงานต่อ เมื่อก่อนป้าเคยเข้าผ่าตัดหัวเข่า เพราะลื่นล้มเวลาจ่ายตลาด หยุดพักไป 3- 4 เดือน ลูกๆก็บอกให้พักผ่อนได้แล้ว ป้าก็บอกว่า ถ้าฉันจะหยุด ฉันจะหยุดเอง จะทำไปจนกว่าจะทำไม่ได้ ทำไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้เราอยู่แบบสบาย จะพักผ่อนเมื่อไรก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่อยากพักก็เท่านั้นเอง”
ด้วยความใจบุญจึงเป็นธรรมดาที่ป้าเล็กจะใช้เวลาว่างช่วงวันหยุด รับทำอาหารบุพเฟ่ ให้กับนิสิตปริญญาโทตามคณะต่างๆ และใช้เวลาในช่วงเช้าตรู่ของวันเสาร์ เข้าวัดทำบุญตักบาตร และถวายสังฆทานเฉกเช่นการใจดีต่อนิสิตแบบไม่หวังผลตอบแทน และแน่นอนว่าศิษย์เก่ารั้วนนทรีหลายคนล้วนเติบโตมาจากอาหารมื้ออิ่มของป้าเล็กทั้งนั้น
ปิยวัตน์ ดิลกสัมพันธ์ รองคณบดีฝ่ายกิจการนิสิต คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ทำหน้าที่ดูแลโครงการให้ทุนอาหารกลางวัน ร้านป้าเล็ก เล่าถึงโครงการอาหารกลางวันของป้าเล็กว่าเริ่มต้นมาตั้งปี 2538 โดยมีคณะกรรมการกิจการนิสิต ดูแลเรื่องการมอบรับทุน
“สมัยก่อนเราตั้งกฎเกณฑ์ให้สำหรับนิสิตที่ได้รับทุน ต้องกรอกใบสมัครและทำการสัมภาษณ์ หรือไม่ก็คัดเลือกนิสิตที่มีผลการเรียนดี ความประพฤติดี แต่ป้าเล็กบอกว่า ควรตรวจสอบที่ประวัติจะดีกว่า เพราะบางคนไม่กล้าบอกถึงพูดถึงฐานะตัวเอง หรือเกรงใจจนไม่กล้าเข้าไปรับอาหารที่ร้าน”
“จริงๆ ผมเรียนจบและเป็นศิษย์เก่าที่นี่ และรู้จักกับป้าเล็กมาตั้งแต่เรียน บางครั้งก็เห็นรุ่นพี่บางคนกลับมาหาป้าเล็ก เพราะแกเป็นคนใจดีและผูกพันกับนิสิตคณะวนศาสตร์เกือบทุกรุ่น ใครมีปัญหาเรื่องอาหารการกิน แค่เอ่ยปากพูด ป้าเล็กก็รีบทำให้ทันที บางครั้งยังตักใส่ถุงให้นิสิตเอาไปกินที่หอ”
ด้าน “แชมป์” พีรวัฒน์ ขาวบริสุทธิ์ นิสิตชั้นปี 3 คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในนิสิตผู้รับทุนรับประทานอาหารกลางวันเช่นกัน แชมป์ เล่าว่า 4 ปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยต้องมีค่าใช้จ่ายมากมาย ด้วยสภาวะเศรษฐกิจและฐานะทางบ้าน ทำให้ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายบางส่วนไว้
“ได้โอกาสรับทุนจากป้าเล็กตั้งแต่ปี 1 ท่านเอ็นดูเด็กๆทุกคนเหมือนลูกหลาน วันไหนอยากทานอะไรก็เข้าไปหา ป้าเล็กจะรีบทำอาหารให้ บางวันก็หิ้วกับข้าวกลับไปทานที่ห้อง ศิษย์เก่าที่นี้หลายคนเติบโตมาจากข้าวแกงของป้าเล็ก ทำให้ผมได้ทั้งประหยัด และรู้จักอดออมมากขึ้น”
ผ่านไปหลายรุ่นหลายสมัยที่ต่างแวะเวียนมาฝากท้องกับอาหารของป้าเล็ก ทั้งในรูปแบบอุดหนุนหรือนิสิตทุนอาหารกลางวันก็ตาม แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักศึกษาแล้ว ป้าเล็กท่านก็มีความเอ็นดูเช่นเดียวกันกับทุกคน
“จำได้ทุกคน ทุกๆวันแม่ พวกเด็กจะเอาพวงมาลัยมาให้ เข้ามากอด บางคนเรียนจบอยู่กรมป่าไม้ต่างจังหวัดก็กลับมาหา หิ้วขนมมาฝาก เราก็บอกว่าไม่ต้องซื้ออะไรมา แค่เขาไม่ลืมเราก็พอแล้ว ไม่เคยคิดที่จะหวังผลกับเด็กๆพวกนี้ แค่เห็นเขาสำเร็จการศึกษาได้เกียรตินิยมมากอดก็พอแล้ว” ป้าเล็กกล่าวทิ้งท้าย
ที่มา-
