เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ดร.อาร์มันโด เปรูโก
ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างศักยภาพการรณรงค์ลดสูบบุหรี่
องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า องค์การอนามัยโลกได้ทำอนุสัญญาเกี่ยวกับการควบคุมยาสูบ (The WHO Framework Convention on Tobacco Control : WHO FCTC)
โดยมีสมาชิก 159 ประเทศได้ลงนามเพื่อทำข้อตกลงควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกด้าน
ทั้งการห้ามการโฆษณา การลดการสูบบุหรี่
การคุ้มครองผู้ไม่สูบบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะ และมาตรการเพิ่มภาษี เป็นต้น
แต่ปัญหาคือ
สมาชิกส่วนใหญ่กลับไม่สามารถดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาขาดพื้นฐานการปฏิบัติงานด้านนี้อย่างดีพอ
ล่าสุดองค์การอนามัยโลกจึงสำรวจศักยภาพของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการบริโภคยาสูบ เพื่อเป็นต้นแบบให้กับประเทศอื่นๆ เบื้องต้นพบว่า
มีประเทศไทยและบราซิลมีศักยภาพในการดำเนินการดังกล่าว
ดร. อาร์มันโดกล่าวว่า สำหรับประเทศไทยได้มีการหารือผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เพื่อสำรวจแนวทางการดำเนินการควบคุมการบริโภคยาสูบตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยจะพิจารณาว่าใช้แนวทางใดจนประสบความสำเร็จ และที่ผ่านมายังขาดแนวทางใด เพื่อปรับปรุงให้การควบคุมการบริโภคยาสูบภายในประเทศเป็นไปอย่างสมบูรณ์ โดยกรอบแนวทางการสำรวจจะมุ่งเน้น 3 ด้าน คือ
ดร. อาร์มันโดกล่าวว่า สำหรับประเทศไทยได้มีการหารือผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เพื่อสำรวจแนวทางการดำเนินการควบคุมการบริโภคยาสูบตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยจะพิจารณาว่าใช้แนวทางใดจนประสบความสำเร็จ และที่ผ่านมายังขาดแนวทางใด เพื่อปรับปรุงให้การควบคุมการบริโภคยาสูบภายในประเทศเป็นไปอย่างสมบูรณ์ โดยกรอบแนวทางการสำรวจจะมุ่งเน้น 3 ด้าน คือ
1.สถานการณ์การควบคุมยาสูบทั้งในอดีตและปัจจุบัน
2.บทบาทการดำเนินงานของภาคส่วนต่างๆ ทั้งของภาครัฐ ภาคประชาสังคม
3.การดำเนินงานที่ยังไม่ครบถ้วน ยังขาดแนวทางใด
เพื่อหาทางแก้ปัญหาและเติมเต็มการดำเนินงานการควบคุมการบริโภคยาสูบให้สมบูรณ์ โดยจะดำเนินการสำรวจให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
จากนั้นภาครัฐจะนำข้อสรุปดังกล่าวออกเผยแพร่สู่สาธารณะต่อไป
" องค์การอนามัยโลกมองว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการควบคุมการบริโภคยาสูบมาโดยตลอดทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนการดำเนินการ เช่น การเพิ่มมาตรการทางภาษีที่มีผลต่อราคาขาย ทำให้นักสูบหน้าใหม่ลดการบริโภคลง การสร้างสภาพแวดล้อมให้ปลอดบุหรี่ การเปลี่ยนแปลงค่านิยมในสังคมจากการสูบบุหรี่ดูดี ดูเท่ห์ ให้เปลี่ยนเป็นการสูบบุหรี่เป็นสิ่งไม่ดี การห้ามการโฆษณา ซึ่งเป็นมาตรการที่ดีมาก รวมทั้งมาตรการภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ ซึ่งประเทศไทยมีการดำเนินการเหล่านี้มาโดยตลอด" ดร.อาร์มันโดกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า โครงการการสำรวจดังกล่าวจะมีการขัดขวางของบริษัทบุหรี่ข้ามชาติหรือไม่
" องค์การอนามัยโลกมองว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการควบคุมการบริโภคยาสูบมาโดยตลอดทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนการดำเนินการ เช่น การเพิ่มมาตรการทางภาษีที่มีผลต่อราคาขาย ทำให้นักสูบหน้าใหม่ลดการบริโภคลง การสร้างสภาพแวดล้อมให้ปลอดบุหรี่ การเปลี่ยนแปลงค่านิยมในสังคมจากการสูบบุหรี่ดูดี ดูเท่ห์ ให้เปลี่ยนเป็นการสูบบุหรี่เป็นสิ่งไม่ดี การห้ามการโฆษณา ซึ่งเป็นมาตรการที่ดีมาก รวมทั้งมาตรการภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ ซึ่งประเทศไทยมีการดำเนินการเหล่านี้มาโดยตลอด" ดร.อาร์มันโดกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า โครงการการสำรวจดังกล่าวจะมีการขัดขวางของบริษัทบุหรี่ข้ามชาติหรือไม่
ดร.อาร์มันโด กล่าวว่า
ในเรื่องการควบคุมการบริโภคยาสูบย่อมส่งผลเสียต่อบริษัทบุหรี่ข้ามชาติ
แต่เรื่องสุขภาพของประชาชนเป็นสำคัญ
องค์การอนามัยโลกจึงยืนหยัดจะต่อสู้เพื่อสุขภาพของทุกคนต่อไป
ส่วนบริษัทบุหรี่ไม่น่ามีปัญหา
เพราะการควบคุมยาสูบต้องต่อสู้กับบริษัทบุหรี่อยู่แล้ว
ซึ่งที่ผ่านมาแต่ละประเทศก็สามารถผ่านพ้นมาได้
ที่มา-
