
อย่างไรก็ตามชมรมรักษ์เต่าร่วมกับกลุ่มนิสิตคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดโครงการคืนชีวิตเต่าเเละตะพาบน้ำสู่ธรรมชาติ ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2546
นายขจร เจียรวนนท์ ประธานชมรมรักษ์เต่ากล่าวถึงวัตถุประสงค์ที่จัดโครงการนี้อย่างต่อเนื่องก็เพื่อที่จะช่วยเหลือเต่า ตะพาบน้ำที่ถูกมนุษย์ซึ่งไม่เข้าใจธรรมชาติของเต่าว่า เต่ามีความเป็นอยู่อย่างไรในธรรมชาติและเต่าก็ไม่ใช่ว่าจะกินผักบุ้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“เราอยากให้คนเข้าใจว่าเต่าเขามีชีวิตอย่างไรและหากจะปล่อยเต่าก็ไม่ควรไปปล่อยในวัด เราก็ได้ประสานไปยัง คณะสัตว์แพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อให้ช่วยรักษาเต่าที่ยังมีชีวิตอยู่ให้เขาเเข็งแรงขึ้น เราได้รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ เเละกลุ่มนิสิตของคณะสัตวแพทย์ฯ ช่วยดูแลรักษาเต่าให้ หลังจากนั้นเราก็นำไปปล่อยในแหล่งธรรมชาติที่เต่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเขาเอง เราทำอย่างนี้มาตั้งแต่ครั้งแรก”
ประธานชมรมรักษ์เต่ายังเล่าอีกด้วยว่า
ครั้งแรกที่ทางชมรมรักษ์เต่า
ไปช่วยก็คือเต่าที่วัดบวรนิเวศวิหาร วันนั้นเขาและสมาชิกชมรมฯ
รวมถึงกลุ่มนิสิตสัตวแพทย์ที่อาสาเข้าช่วยเหลือเต่าได้เห็นภาพที่น่าอนาถใจมาก คือถ้าดำน้ำลงไปในบ่อน้ำของวัดจะเห็นภาพของซากเต่าอยู่ใต้น้ำนั้นเป็นจำนวนมาก เรียกว่าตัวที่ยังมีชีวิตจะต้องดำรงชีวิตอยู่กับซากศพเต่า
“หลังจากเราช่วยเขาขึ้นมาแล้วเราก็พบว่าเต่าอยู่ในบ่อน้ำนั้นหนาแน่นมากๆ เรียกว่าซ้อนทับกันอยู่เลยทีเดียว ลองคิดดูแล้วกันถ้าเราเป็นเต่าและเราต้องมีชีวิตอยู่อย่างนั้นเป็นสิบๆ ปีเราจะเป็นอย่างไร” นายขจรกล่าว
ด้านรศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ อาจารย์จากภาควิชาสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าสถานที่หลักที่เป็นที่รักษาเต่าก็คือที่ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทยศาสตร์จุฬาฯ
หลังจากที่นำเต่าขึ้นมาจากบ่อน้ำของวัดแล้วการรักษาเบื้องต้นก็คือ การทำความสะอาดตัวเต่าด้วยการกำจัดปลิงออกจากร่างกายเต่า ตรวจเช็คเลือด และถ่ายพยาธิ ซึ่งการรักษาเบื้องต้นนี้จะทำการคัดแยกเต่าออกเป็น 3 ประเภทคือ
1.เต่าที่ค่อนข้างแข็งแรง 2.เต่าป่วยที่ต้องการการอนุบาลเบื้องต้น 3.เต่าที่ป่วยหนักซึ่งต้องนำไปรักษาต่อที่ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำฯ อีกทั้งยังคัดแยกพันธุ์เต่าที่บางตัวไม่ใช่เต่าที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ด้วย อาทิ เต่าที่คนทั่วไปเรียกว่า*เต่าญี่ปุ่น*นั้น ห้ามปล่อยลงแหล่งธรรมชาติ เพราะไม่ใช่เต่าที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย หากปล่อยเข้าสู่ธรรมชาติจะทำให้สมดุลย์ธรรมชาติเสีย
“มักจะมีคนถามเสมอว่าอะไรคือขั้นตอนยากที่สุดในการช่วยเหลือเต่า ต้องบอกว่าก็คือตอนที่เราไปเรียนท่านเจ้าอาวาสของวัดว่า เราจะขอนำเต่าออกจากวัดไปปล่อยในแหล่งธรรมชาติ เพราะท่านเองก็ห่วงว่าเราจะเอาชีวิตเต่าไปทำอะไร
“หลังจากเราช่วยเขาขึ้นมาแล้วเราก็พบว่าเต่าอยู่ในบ่อน้ำนั้นหนาแน่นมากๆ เรียกว่าซ้อนทับกันอยู่เลยทีเดียว ลองคิดดูแล้วกันถ้าเราเป็นเต่าและเราต้องมีชีวิตอยู่อย่างนั้นเป็นสิบๆ ปีเราจะเป็นอย่างไร” นายขจรกล่าว
ด้านรศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ อาจารย์จากภาควิชาสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าสถานที่หลักที่เป็นที่รักษาเต่าก็คือที่ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทยศาสตร์จุฬาฯ
หลังจากที่นำเต่าขึ้นมาจากบ่อน้ำของวัดแล้วการรักษาเบื้องต้นก็คือ การทำความสะอาดตัวเต่าด้วยการกำจัดปลิงออกจากร่างกายเต่า ตรวจเช็คเลือด และถ่ายพยาธิ ซึ่งการรักษาเบื้องต้นนี้จะทำการคัดแยกเต่าออกเป็น 3 ประเภทคือ
1.เต่าที่ค่อนข้างแข็งแรง 2.เต่าป่วยที่ต้องการการอนุบาลเบื้องต้น 3.เต่าที่ป่วยหนักซึ่งต้องนำไปรักษาต่อที่ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำฯ อีกทั้งยังคัดแยกพันธุ์เต่าที่บางตัวไม่ใช่เต่าที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ด้วย อาทิ เต่าที่คนทั่วไปเรียกว่า*เต่าญี่ปุ่น*นั้น ห้ามปล่อยลงแหล่งธรรมชาติ เพราะไม่ใช่เต่าที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย หากปล่อยเข้าสู่ธรรมชาติจะทำให้สมดุลย์ธรรมชาติเสีย
“มักจะมีคนถามเสมอว่าอะไรคือขั้นตอนยากที่สุดในการช่วยเหลือเต่า ต้องบอกว่าก็คือตอนที่เราไปเรียนท่านเจ้าอาวาสของวัดว่า เราจะขอนำเต่าออกจากวัดไปปล่อยในแหล่งธรรมชาติ เพราะท่านเองก็ห่วงว่าเราจะเอาชีวิตเต่าไปทำอะไร
เราอธิบายให้ท่านฟังว่าเราทำอะไร
เพื่ออะไรและที่สำคัญคือเต่าเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่อย่างไรต่อไป
ซึ่งหลังจากที่เราอธิบายให้ท่านเข้าใจเเล้ว
ท่านก็เมตตาให้เราได้นำเต่าเหล่านี้ออกจากวัดมาทำการรักษาและนำไปปล่อยในแหล่งธรรมชาติ”
นอกจากนี้รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกายังบอกอีกด้วยว่าเต่าตามธรรมชาติมีอยู่หลายชนิดหลากหลายสายพันธุ์ทั้งเต่าบก เต่าน้ำจืด เต่าทะเล
แต่ผู้ที่นำเต่าไปปล่อยก็ไม่มีความรู้ว่าเต่านั้นเป็นเต่าอะไร
การนำไปปล่อยลงน้ำจืดอย่างเดียว
หากเป็นเต่าบกหรือเต่าทะเลซึ่งไม่สามารถลงน้ำจืดได้ก็จะจมน้ำตาย
เท่ากับว่าผู้ปล่อยแทนที่จะได้บุญอาจจะได้บาปแทน
“เต่าที่มีอยู่ในประเทศไทยนั้นมีชื่อทางวิทยาศาสตร์จริง แต่นอกนั้นไม่มีเลย อย่างค่าของเลือด ขนาดของเต่า ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เราไม่มี เราพยายามสร้างองค์ความรู้เรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยให้เต่ามีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะเต่าบางพันธุ์กำลังจะสูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว”
ด้านนิสิตที่ได้ร่วมรักษาและช่วยเหลือเต่าอย่าง “ธนรัตน์ นวลเนตร” นิสิตชั้นปีที่ 5 คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่าโครงการนี้ส่วนหนึ่งช่วยให้ได้รู้ว่าการปล่อยเต่าตามความเชื่อนั้น เป็นผลร้ายกับเต่ามากกว่าผลดี อีกทั้งยังได้เรียนรู้วิธีการรักษาเต่าจากธรรมชาติจริงๆ
“เต่าที่เราได้มามีหลายพันธุ์มาก วิธีการรักษาแต่ละพันธุ์ไม่เหมือนกัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ในไทยเรายังไม่มี ซึ่งวิธีการรักษาก็เรียกว่าเราได้เรียนรู้กันจริงๆ ว่าอาการเเบบนี้รักษาอย่างไร เต่าพันธุ์นี้จะต้องใช้ยาอะไรในการรักษาถึงจะให้ผลดีที่สุด”
//////////////////
สถานที่ที่เหมาะสมกับการปล่อยเต่า
- ควรเป็นที่หลวง ซึ่งชาวบ้านไม่สามารถมาจับได้
- ควรเป็นที่ที่มีเเหล่งน้ำสะอาด เหมาะกับการอยู่อาศัย
- ควรเป็นที่ที่มีทางลาดขึ้นจากน้ำ เพื่อให้เต่าสามารถขึ้นมาบนบกเพื่อรับแสงแดดได้
- ควรเป็นที่ที่มีพืชใบเขียว เพื่อให้เต่าได้อาศัยหากินตามธรรมชาติ
////////////////////
*เต่าญี่ปุ่น*
เต่าญี่ปุ่นมีคุณสมบัติตัวเล็กคล้ายกับเม็ดกระดุม จนมีชื่อที่สองว่า 'เต่ากระดุม' และแท้จริงแล้ว เต่าญี่ปุ่นมีถิ่นกำเนิดแถบอเมริกาเหนือ ต่อมาถูกนำไปขยายพันธุ์ต่อแถบอังกฤษ และญี่ปุ่น จึงเรียกกันว่าเต่าอังกฤษและเต่าญี่ปุ่น และเมื่อเต่าญี่ปุ่นอายุได้ 6-7 เดือน ตรงคิ้วจะมีสีแดงพาดลงมาเกือบถึงโคนคอ จึงตั้งชื่อว่า “เต่าแก้มแดง"
เมื่อเต่าชนิดนี้โตขึ้นกระดองจะเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาล ความสวยงามและความน่ารักจะลดลง ส่งผลให้ผู้เลี้ยงนำไปปล่อยลงแหล่งน้ำ ธรรมชาติ และส่งผลกระทบกับวงจรชีวิตของเต่านา เต่าพื้นบ้านของไทยอย่างรุนแรง เพราะเต่าญี่ปุ่นจะแย่งแหล่งอาศัย แหล่งอาหารของเต่านาไทย จนส่งผลให้จำนวนเต่านาไทยลดลง
คุณสมบัติพิเศษแต่น่ากลัวของเต่าชนิดนี้ก็คือทนอยู่ได้ในน้ำเน่า หรือสิ่งแวดล้อมที่เลวได้ดีกว่าเต่าไทย และ กินได้ทั้งพืชสด และพืชเน่า ทั้งสัตว์เป็น และสัตว์ตาย อาทิ กุ้งฝอย เนื้อปลา หนอนนก หนอนแดง ไส้เดือน ฯลฯ ทำให้เต่าญี่ปุ่นถือเป็นตัวแย่งอาหาร และมีส่วนให้เต่าไทยตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์
“เต่าที่มีอยู่ในประเทศไทยนั้นมีชื่อทางวิทยาศาสตร์จริง แต่นอกนั้นไม่มีเลย อย่างค่าของเลือด ขนาดของเต่า ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เราไม่มี เราพยายามสร้างองค์ความรู้เรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยให้เต่ามีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะเต่าบางพันธุ์กำลังจะสูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว”
ด้านนิสิตที่ได้ร่วมรักษาและช่วยเหลือเต่าอย่าง “ธนรัตน์ นวลเนตร” นิสิตชั้นปีที่ 5 คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่าโครงการนี้ส่วนหนึ่งช่วยให้ได้รู้ว่าการปล่อยเต่าตามความเชื่อนั้น เป็นผลร้ายกับเต่ามากกว่าผลดี อีกทั้งยังได้เรียนรู้วิธีการรักษาเต่าจากธรรมชาติจริงๆ
“เต่าที่เราได้มามีหลายพันธุ์มาก วิธีการรักษาแต่ละพันธุ์ไม่เหมือนกัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ในไทยเรายังไม่มี ซึ่งวิธีการรักษาก็เรียกว่าเราได้เรียนรู้กันจริงๆ ว่าอาการเเบบนี้รักษาอย่างไร เต่าพันธุ์นี้จะต้องใช้ยาอะไรในการรักษาถึงจะให้ผลดีที่สุด”
//////////////////
สถานที่ที่เหมาะสมกับการปล่อยเต่า
- ควรเป็นที่หลวง ซึ่งชาวบ้านไม่สามารถมาจับได้
- ควรเป็นที่ที่มีเเหล่งน้ำสะอาด เหมาะกับการอยู่อาศัย
- ควรเป็นที่ที่มีทางลาดขึ้นจากน้ำ เพื่อให้เต่าสามารถขึ้นมาบนบกเพื่อรับแสงแดดได้
- ควรเป็นที่ที่มีพืชใบเขียว เพื่อให้เต่าได้อาศัยหากินตามธรรมชาติ
////////////////////
*เต่าญี่ปุ่น*
เต่าญี่ปุ่นมีคุณสมบัติตัวเล็กคล้ายกับเม็ดกระดุม จนมีชื่อที่สองว่า 'เต่ากระดุม' และแท้จริงแล้ว เต่าญี่ปุ่นมีถิ่นกำเนิดแถบอเมริกาเหนือ ต่อมาถูกนำไปขยายพันธุ์ต่อแถบอังกฤษ และญี่ปุ่น จึงเรียกกันว่าเต่าอังกฤษและเต่าญี่ปุ่น และเมื่อเต่าญี่ปุ่นอายุได้ 6-7 เดือน ตรงคิ้วจะมีสีแดงพาดลงมาเกือบถึงโคนคอ จึงตั้งชื่อว่า “เต่าแก้มแดง"
เมื่อเต่าชนิดนี้โตขึ้นกระดองจะเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาล ความสวยงามและความน่ารักจะลดลง ส่งผลให้ผู้เลี้ยงนำไปปล่อยลงแหล่งน้ำ ธรรมชาติ และส่งผลกระทบกับวงจรชีวิตของเต่านา เต่าพื้นบ้านของไทยอย่างรุนแรง เพราะเต่าญี่ปุ่นจะแย่งแหล่งอาศัย แหล่งอาหารของเต่านาไทย จนส่งผลให้จำนวนเต่านาไทยลดลง
คุณสมบัติพิเศษแต่น่ากลัวของเต่าชนิดนี้ก็คือทนอยู่ได้ในน้ำเน่า หรือสิ่งแวดล้อมที่เลวได้ดีกว่าเต่าไทย และ กินได้ทั้งพืชสด และพืชเน่า ทั้งสัตว์เป็น และสัตว์ตาย อาทิ กุ้งฝอย เนื้อปลา หนอนนก หนอนแดง ไส้เดือน ฯลฯ ทำให้เต่าญี่ปุ่นถือเป็นตัวแย่งอาหาร และมีส่วนให้เต่าไทยตกอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์
ที่มา-
