นายศรีศักดิ์ วัลลิโภดม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี
และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.)
ให้สัมภาษณ์กรณีที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีแนวคิดจะให้กรมการศาสนา (ศน.)
เป็นเจ้าภาพในการแปลบทสวดมนต์ และเรียบเรียงให้สละสลวย มีพลัง
รวมทั้งแต่งเป็นเพลงเพื่อให้เข้าถึงเด็ก เยาวชน
และประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใจเนื้อหาอย่างถ่องแท้มากขึ้น
เพื่อสนองนโยบายของนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการ วธ.ว่า
ช่วงที่ผ่านมาเวลาที่ใครเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการ
วธ.ก็มักจะมองปัญหาในมุมแคบๆ
โดยไม่ได้ศึกษาปัญหาให้ละเอียดและทำความเข้าใจปัญหาในภาพรวม
ใครเสนออะไรก็เอามาทำ โดยไม่ไตร่ตรอง
เช่นเดียวกับเรื่องดังกล่าวโดยส่วนตัวไม่เห็นด้วย
เพราะถ้ายังมองปัญหาในภาพกว้างอยู่เช่นนี้ จะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
การที่จะทำให้เด็กและเยาวชนหันมาสนใจเรื่องหลักธรรม
จะต้องเริ่มปลูกฝังตั้งแต่เด็ก
ต้องมีการปรับเปลี่ยนหลักสูตรการเรียนการสอน
และสร้างแรงจูงใจให้เด็กและเยาวชนหันมาสนใจพระพุทธศาสนา ดังนั้น หาก
วธ.คิดที่จะทำโครงการนี้ต่อควรจะศึกษาและวางแผนให้ดีกว่านี้
ไม่ใช่ทำแต่โครงการที่ดูตื่นเต้นอือฮากันแค่ 1-2 เดือน แล้วก็จางหายไป
พระโสภณคณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ กล่าวว่า การจะนำบทสวดมนต์มาแปลหรือแต่งเป็นเพลงให้สละสวย เพื่อดึงดูดเด็กและเยาวชนหันมาสนใจและเข้าถึงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนานั้น ต้องถามว่าคนที่คิดมีจุดประสงค์อะไร ถ้าทำเพื่อให้คนเข้าถึงธรรมะถือเป็นสิ่งที่ผิด เพราะควรปล่อยให้คนน้อมจิตใจและกายเข้ามาสู่ธรรมะเอง ไม่ใช่น้อมเอาธรรมะเข้าไปสู่จิตใจ เพราะถ้าทำอย่างนี้ทำอีกกี่ชาติคนก็ยังไม่เข้าถึงธรรมะ ดังนั้น ถ้าผู้บริหารยังคิดที่จะแก้ปัญหาแบบแปลกๆ คงเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง การจะแก้ปัญหานี้ ผู้ใหญ่ควรทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับเด็กและเยาวชน รวมทั้งจะต้องศึกษาแนวทางแก้ปัญหาให้ดี และทุกฝ่ายต้องร่วมมือด้วย
พระครูสังฆพินัย ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) กล่าวว่า ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ยังมีคนที่พยายามจะแก้ปัญหา แต่อย่างไรก็ตาม การแปลบทสวดมนต์ดังกล่าวจะต้องเน้นในเรื่องสาระมากกว่าความบันเทิง อีกทั้งที่ผ่านมาการแก้ปัญหาเด็กไม่สนใจธรรมะที่ไม่สำเร็จเพราะทำไม่ต่อเนื่อง ทำแค่ครั้งเดียวก็หายไป ถ้าจะแก้ปัญหาให้สำเร็จก็ต้องทำทั้งระบบ โดยเฉพาะรัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญด้วย
พระโสภณคณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ กล่าวว่า การจะนำบทสวดมนต์มาแปลหรือแต่งเป็นเพลงให้สละสวย เพื่อดึงดูดเด็กและเยาวชนหันมาสนใจและเข้าถึงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนานั้น ต้องถามว่าคนที่คิดมีจุดประสงค์อะไร ถ้าทำเพื่อให้คนเข้าถึงธรรมะถือเป็นสิ่งที่ผิด เพราะควรปล่อยให้คนน้อมจิตใจและกายเข้ามาสู่ธรรมะเอง ไม่ใช่น้อมเอาธรรมะเข้าไปสู่จิตใจ เพราะถ้าทำอย่างนี้ทำอีกกี่ชาติคนก็ยังไม่เข้าถึงธรรมะ ดังนั้น ถ้าผู้บริหารยังคิดที่จะแก้ปัญหาแบบแปลกๆ คงเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง การจะแก้ปัญหานี้ ผู้ใหญ่ควรทำตัวเป็นแบบอย่างให้กับเด็กและเยาวชน รวมทั้งจะต้องศึกษาแนวทางแก้ปัญหาให้ดี และทุกฝ่ายต้องร่วมมือด้วย
พระครูสังฆพินัย ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) กล่าวว่า ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ยังมีคนที่พยายามจะแก้ปัญหา แต่อย่างไรก็ตาม การแปลบทสวดมนต์ดังกล่าวจะต้องเน้นในเรื่องสาระมากกว่าความบันเทิง อีกทั้งที่ผ่านมาการแก้ปัญหาเด็กไม่สนใจธรรมะที่ไม่สำเร็จเพราะทำไม่ต่อเนื่อง ทำแค่ครั้งเดียวก็หายไป ถ้าจะแก้ปัญหาให้สำเร็จก็ต้องทำทั้งระบบ โดยเฉพาะรัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญด้วย
ที่มา- 
