
เหตุใด "เกาหลีใต้" จึงใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี จนสามารถผงาดขึ้นมาเป็นชาติที่มีความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีอันดับต้นๆ ของโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ทั้งแบบมีสายและไร้สาย
ผลการสำรวจข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย บริษัทเทคโนโลยี หน่วยราชการต่างๆ ทำให้สื่อมะกัน ทราบว่า
หลังจากผจญกับวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 (เช่นเดียวกับประเทศไทย) รัฐบาลเกาหลีใต้มองไปข้างหน้าว่า ทางรอดทางเดียวคือพัฒนาตนเองให้กลายเป็น "ชาติไฮเทค"
หน่วยงานที่รับผิดชอบเดินหน้านโยบายนี้ ได้แก่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ซึ่งเป็นกำลังหลักรวบรวมนักวิทยาศาสตร์นับพันคนจากสถาบันต่างๆ รวมถึงบริษัทเอกชนอีกกว่า 30 แห่ง ให้เข้ามาทำงานวิจัยเทคโนโลยีใหม่ๆ ร่วมกัน
โดยกระทรวงไอซีทีรับเป็นเจ้าภาพ จ่ายเงินสนับสนุนการทดลองทั้งหมด
ทุกวันนี้ เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีอัตราการใช้งาน "อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง" (บรอดแบนด์) สูงที่สุดในโลก
แต่ภาครัฐก็ยังไม่พอใจแค่นั้น เดินหน้าสนับสนุนการวางเครือข่าย "ซุปเปอร์อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง" (ไวโบร) ซึ่งมีความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดถึง 10 เมกะบิตต่อวินาที
นอกจากนี้ ไอซีทีโสมก็ยังมีนโยบายเปิดชั้นเรียนวิชาไอทีให้กับภาคเอกชนที่สนใจ รวมทั้งแจกจ่ายคอมพิวเตอร์ให้ครอบครัวฐานะยากจน และติดตั้งอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ในโรงเรียนประถมและมัธยมทั่วประเทศ เพื่อให้เยาวชนคุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ๆ
ด้วยเหตุที่เกาหลีใต้วางโครงสร้างไอทีไว้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทไอที-สื่อสารใหญ่ๆ เช่น "ไมโครซอฟท์" และ "โมโตโรลา" เลือกเกาหลีใต้เป็นสนามทดสอบเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ก่อนที่จะนำสินค้าเข้าสู่ตลาดสหรัฐ
อานิสงส์ที่เกิดขึ้นตามมาทำให้คนเกาหลีใต้มีโอกาส "เห็น" เทคโนโลยีใหม่เอี่ยมก่อนใครเพื่อน และจับจุดเด่นไปประยุกต์ใช้พัฒนาสินค้าไฮเทคของตนเอง
นโยบายสำคัญที่ไอซีทีโสมตั้งเป้าต้องเดินไปถึงให้ได้ภายในปี 2553 ก็คือ ผลิต "หุ่นยนต์บริการ" คุณภาพสูงและวางจำหน่ายจนประชาชนซื้อไปใช้กันทุกครัวเรือน เช่น หุ่นยนต์ทำความสะอาด หุ่นพี่เลี้ยงเด็ก หุ่นสอนหนังสือ
รัฐบาลเกาหลีใต้มองว่า ถ้าประชาชนในประเทศยอมรับสินค้าไฮเทคพันธุ์โสม โอกาสบุกตลาดโลกก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันอีกต่อไป
