
ภายในงานจัดทำซุ้มเพื่อรณรงค์ให้ความรู้แก่เยาวชน เรื่องการบริหารจัดการกับความรักอย่างครบวงจร ตั้งแต่การแต่งกาย การโพสท่าถ่ายรูปที่เหมาะสมเพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อบนโลกไซเบอร์ เรียนรู้เรื่องการดื่ม รับปรึกษาปัญหาความรัก ผิวพรรณ และจัดทดสอบความสุข รวมถึงให้คำแนะนำพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ ในการดูแลวัยรุ่นที่กำลังมีความรัก ซึ่งโครงการนี้จะแวะเวียนไปยังโรงเรียนมัธยมนำร่อง 10 แห่ง
ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า วัยรุ่นมีรักอยู่ท่วมหัวใจ ในการปฏิบัติตนบางครั้งอาจแยกแยะไม่ถูก ทั้งในด้านความรักในวัยรุ่นและรักที่นำไปสู่เพศสัมพันธ์ ปัญหาเรื่องเพศของวัยรุ่นมักถูกพูดถึงบ่อย เช่น การทำแท้งต้นเหตุก็มาจากความรัก นอกจากนี้เรื่องเพศสังคมวัยรุ่นต้องเรียนรู้ หมดสมัยแล้วที่ไม่ให้วัยรุ่นรับรู้ ยิ่งไม่รู้ ปัญหาก็มีมากขึ้น ทั้งด้านสภาพจิตใจ ร่างกาย วิธีค้นหาสัมพันธภาพ การถูกชักจูงที่ไม่รู้จักปฏิเสธ ส่วนใหญ่เป็นทักษะการใช้ชีวิตที่โรงเรียนอาจสอนไม่มาก พ่อแม่ก็ไม่สอน ดังนั้น ควรเปลี่ยวแนวทางการคิด สอน บอก ร่วมกับนำกิจกรรมเข้าชักจูง เพื่อให้เยาวชนรู้จักแยกแยะความรักที่ถูกต้องว่าต้องรักแบบไหน และรู้จักเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ
![]() |
"หากเกิดปัญหา ผิดพลาด อย่าคิดว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องแย่ อย่าเก็บปัญหาไว้คนเดียว ให้หยุดคิดและหาเพื่อนคุย ขณะเดียวกันพ่อแม่ต้องเปิดใจยอมรับมากขึ้น ปัจจุบันวัยรุ่นเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดี เป็นสาเหตุการฆ่าตัวตายที่มาจากปัญหาส่วนตัว ความรัก ซึ่งอาจมีแต่ไม่มาก และความผิดหวังเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ" อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว
![]() |
ด้านพ.ญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กล่าวว่า ความรักเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของชีวิต ที่ผ่านมาใครๆ ก็สอนว่าอย่ามีความรักในวัยเรียน ความรักเกิดขึ้นได้แต่ความรักจะมาพร้อมกับความสุขก็ต่อเมื่อรู้จักดูแลพฤติกรรมและมีความรับผิดชอบ ส่วนเซ็กซ์ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบทางด้านร่ายกายเช่นกัน ฉะนั้นต้องเรียนรู้ที่จะรักอย่างฉลาด อย่ารักโง่ เพราะคนเดียวที่เดือดร้อนคือเรา
ขณะเดียวกัน เด็กวัยรุ่นมีปัญหาโรคซึมเศร้าร้อยละ 5-10 เพราะมีปัจจัยทางชีวภาพ การใช้ชีวิต และถูกเร้าด้วยความรัก เรียนตก อกหัก และด้วยวงจรความรักในเด็กสมัยนี้ต่างจากสมัยก่อนที่รู้จักกัน เห็นหน้าค่าตากัน ปัจจุบันเด็กหลายคนรู้จักกันโดยช่องทางไอที ซึ่งอารมณ์แช็ตกับอารมณ์จริงต่างกัน แช็ตเป็นการปรุงแต่งข้อความ ขณะที่เด็กโพสต์กันก็ไม่เห็นหน้ากัน การให้ข้อมูลกับฝ่ายตรงข้ามหมดเปลือกเท่ากับเสี่ยง แช็ตได้ไปไหนด้วยกันได้ แต่การไปไหนกับใครที่ไม่รู้จักให้กลัวไว้ก่อน อย่าแอบไป และอย่าไปในเวลาค่ำคืน
ด้านน.พ.สุกมล วิภาวีพลกุลจิต จิตแพทย์ประจำคลินิกครอบครัวและสุขภาพทางเพศ กล่าวว่า รักในวัยเรียนขอให้เป็นรักที่มีความสุข การเรียนต้องดีขึ้นด้วย ต้องชวนกันเรียน รักที่มีทุกข์เท่ากับผิดวัตถุประสงค์ ใครที่แอบรักกันก็พยายามหาโอกาสทำกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกัน จากความใกล้ชิด ค่อยๆ พัฒนาจากคนรู้จักเป็นคนรู้ใจ จากเพื่อนมาเป็นแฟน มากกว่าแช็ตแล้วเป็นแฟนกัน มันจาบจ้วงฉาบฉวย
ส่วนเรื่องเพศสัมพันธ์ใครยังไม่มีเซ็กซ์ ขอให้ยึดคติ "NO SEX" ส่วนใครที่เคยมีแล้วขอให้ยึดคติ "SAVE SEX" นอกจากนี้วัยรุ่นชายหญิงอย่าอยู่ในห้องที่ลับตา ห้ามแต่งโป๊ เพราะผู้หญิงไม่คิดมาก แต่ผู้ชายความรู้สึกเยอะ ผู้ชายมักจะดูแล้วลวนลามทางสายตา เปลื้องผ้าทางความคิด ข่มขืนทางจินตนาการ ดังนั้น ควรแต่งกายให้ดูดี สวยงามและเหมาะสม บางครั้งเด็กหญิงกลัวเสียแฟนไปจึงยอมเสียตัวเพราะไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ
ที่มา-
