พุทธพจน์
 
ยาทิสํ  วปเต  พีชํ     ตาทิสํ  ลภเต  ผลํ
กลฺยาณการี  กลฺยาณํ    ปาปการี  จ  ปาปกํ
 
(สํ. ส. ๑๕/๓๓๓)
 
 
บุคคลหว่านพืชเช่นใด  ย่อมได้รับผลเช่นนั้น
ผู้ทำกรรมดี  ย่อมได้รับผลดี
ผู้ทำกรรมชั่ว  ย่อมได้รับผลชั่ว.
 

 
นรกสวรรค์เรื่องเกี่ยวกับตัว พิสูจน์ได้
 
 
อย่าเพิ่งไปสรุปว่า นรกสวรรค์เป็นเรื่องไกลตัว ไม่มีจริง
มันไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเลย
เพราะทุกการกระทำนั้น จะมีผลโยงไปถึงภพภูมิหลังความตาย
กฎหมายบางครั้งเรายังหลีกเลี่ยงได้
 
แต่กฎแห่งกรรมหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ในน้ำ บนบก กลางอวกาศ
หรือดวงจันทร์ ดวงดาวต่างๆ
ตราบใดที่เรายังมีกายและใจ มันจะติดตามตัวเรา
ไปเหมือนเงาตามตัว

ซึ่งจำต้องศึกษาเรียนรู้เอาไว้ อย่าไปสรุปว่า นรกสวรรค์ไม่มี
เพราะเราไม่เคยเห็น และไม่เคยเห็นใครเห็นด้วย
เพราะบางอย่างที่เราไม่เห็นก็ไม่ได้แปลว่าไม่มี เพราะคนที่เขาเห็น...มีอยู่

เหมือนคนตาบอดกับคนตาดีไปยืนกลางแจ้ง
คนตาดีบอก ดูนั่นสิ ดวงตะวัน
คนตาบอดบอก ไม่มีดวงตะวัน เพราะตัวเองไม่เห็น
และอย่าเพิ่งพูดว่า พิสูจน์ไม่ได้ แต่เพราะยังไม่ได้พิสูจน์ต่างหาก

วิธีพิสูจน์ ก็ให้ทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือง่ายที่สุดก็ทำตามที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ
(พระมงคลเทพมุนี วัดปากน้ำภาษีเจริญ)
ท่านสรุปมาให้“หยุดเป็นตัวสำเร็จ” นั่นแหละ แล้วเราก็จะได้รู้
เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งรีบตายถ้ายังไม่ได้พิสูจน์
และต้องเผื่อเหนียวเอาไว้
ด้วยการละชั่ว ทำความดี ทำใจให้ผ่องใส
พึงทำไว้เถิดประเสริฐนัก

3  มิ.ย. 2551

พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
วัดพระธรรมกาย



อานิสงส์การบวช กับ สามัญญผล
 
        สาเหตุสำคัญที่มี “โครงการอุปสมบทหมู่เข้าพรรษา 100,000รูป ทั่วไทย ปี พ.ศ. 2553” เพราะปัญหาวิกฤตของพระพุทธศาสนา อย่างน้อย 2 ประการ คือ
 
1. จำนวนพระภิกษุลดน้อยลงและมีผู้สนใจเข้ามาบวชใหม่ก็น้อยลงจนบางวัดไม่มีเลย 
2.ส่งผลให้จำนวนวัดร้างมากขึ้นเรื่อยๆ กว่า 6,000 วัด

        เมื่อข่าวโครงการอุปสมบทหมู่ฯออกไปในวงกว้าง จึงมีบางคำถามสะท้อนกลับมาว่า ทำไมต้องบวช? บวชแล้วได้อะไร? บวชแล้วดีอย่างไร? ซึ่งคำถามนี้ แม้ในสมัยพุทธกาลก็มีผู้ถามเช่นกัน ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ใน “สามัญญผลสูตร”
 (พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค)

        สามัญญผล  คือ ผลของความเป็นสมณะ หรือ ผลที่จะได้จากการบวช เป็นเรื่องราวที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสตอบ พระเจ้าอชาตศัตรูที่เสด็จมาทูลถามว่า บุคคลต่างๆ ประกอบอาชีพ ก็เพื่อหวังผลตอบแทนไปดำรงชีพ แล้วการมาบวชเป็นพระหรือเป็นสมณะในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ได้รับผลเป็นอย่างไร?

 
สามัญญผล 3 หมวด
 
 
        พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสตอบว่า "ผู้ที่บวชเข้ามาในศาสนานี้ย่อมได้อานิสงส์ ถึง 14 ประการ" ซึ่งจัดได้เป็นสามัญญผล 3หมวด คือ

หมวดที่ 1
 
ทำให้พ้นจากฐานะเดิม คือ พ้นจากความเป็นทาส เป็นกรรมกร เป็นชาวนา ได้รับการปฏิบัติ ดีแม้จากพระมหากษัตริย์ นี้ คือ ผลข้อที่ 1-2

หมวดที่ 2
 
เมื่ออบรมจิตใจเป็นสมาธิ เป็นเหตุให้ได้ฌานที่ 1 ถึงที่ 4 ทำให้กิเลสอย่างกลางสงบลงได้ คือ ผลข้อที่ 3-6

หมวดที่ 3
 
ทำให้ได้วิชชา 8 เริ่มตั้งแต่ข้อที่ 7 คือ ได้วิปัสสนาญาน จนถึงข้อที่ 14 คือ อาสวักขยญาณ

อานิสงส์การบวช 14 ประการ
 สามัญญผล 3 หมวดนี้ สามารถอธิบายขยายความได้เป็น14ประการ ดังนี้

1. การยกสถานภาพของผู้บวชให้สูงขึ้นจากฐานะเดิม
 
2.ได้รับความเคารพ ยกย่อง บูชา กราบไหว้ บำรุงด้วยปัจจัย 4 ไม่ต้องเสียภาษีอากร 
 
3. ละนิวรณ์ 5 ได้และบรรลุฌานที่ 1  เมื่อบุคคลพิจารณาได้ว่า การครองเรือนเต็มไปด้วยความทุกข์ เป็นที่คับแคบ ส่วนบรรพชาเป็นช่องว่าง การที่อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์สะอาดดุจดั่งสังข์ขัด นั้นทำได้ยาก เพราะฉะนั้นจึงออกบวช ประพฤติพรหมจรรย์ สมบูรณ์ไปด้วยศีล คือ จุลศีล มัชฌิมศีล และมหาศีล (ศีลขนาดเล็ก ขนาดกลาง และศีลอย่างยิ่ง), ต่อจากนั้น ภิกษุนั้นสำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, มีสติสัมปชัญญะ ละบาปอกุศล, มีสันโดษ ยินดีด้วยปัจจัย 4, ออกป่าบำเพ็ญสมาธิ จนละนิวรณ์ 5 ได้
(กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา) ในที่สุดย่อมบรรลุฌานที่ 1 ได้ประสบความสุขอันเกิดจากฌาน
 
4. เมื่อผู้บวชบรรลุฌานที่ 1 แล้วได้บำเพ็ญสมาธิต่อไป ย่อมบรรลุฌานที่ 2

5. เมื่อผู้บวชบรรลุฌานที่ 2 แล้วได้บำเพ็ญสมาธิต่อไป ย่อมบรรลุฌานที่ 3

6. เมื่อผู้บวชบรรลุฌานที่ 3 แล้วได้บำเพ็ญสมาธิต่อไป ย่อมบรรลุฌานที่ 4

7. เมื่อผู้บวชบรรลุฌานที่ 4 แล้วน้อมจิตไปเพื่อเจริญวิปัสสนา โดยพิจารณาไตรลักษณ์ของกาย จนจิตของตนเข้าถึงวิปัสสนาญาน แยกรูปแยกนาม พิจารณานามรูป เห็นตามความเป็นจริง ก็เป็นเหตุให้ผู้นั้นสามารถบรรลุญาณทัสสนะ อันเป็นวิปัสสนาญานได้

8. เมื่อปฏิบัติต่อไปก็สามารถบรรลุ มโนมยิทธิ คือ ฤทธิ์ทางใจ นิรมิตเป็นหลายกายได้

9. เมื่อปฏิบัติต่อไปก็สามารถได้ อิทธิวิธี คือ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น น้อยคนทำให้เป็นมากคน ดำไปในดิน ดำไปในน้ำ

10. เมื่อปฏิบัติต่อไปก็สามารถได้ ทิพโสต คือ หูทิพย์ ได้ยินเสียงจากที่ไกลเกินวิสัยของหูมนุษย์ธรรมดา

11. เมื่อปฏิบัติต่อไปก็สามารถได้ เจโตปริยญาน คือ รู้ใจคนอื่น คือ สามารถทายใจคนอื่นได้

12. เมื่อปฏิบัติต่อไปบางท่านก็ระลึกชาติ ได้ที่เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาน คือ ระลึกชาติหนหลังในอดีตได้ โดยจำนวนชาติที่ระลึกได้ ขึ้นกับความละเอียดของจิตของแต่ละท่าน

13. เมื่อปฏิบัติต่อไปบางท่านก็ได้ทิพจักษุ หรือ จุตูปปาตญาณ คือ ญาณรู้จุติกำเนิดของสัตว์ทั้งหลาย คือ สามารถรู้เห็น สัตว์ทั้งหลายที่เกิดและที่ตายด้วยตาทิพย์

14. เมื่อปฏิบัติต่อไปบางท่านก็สามารถ บรรลุอาสวักขยญาณ คือ ทำอาสวะหรือกิเลสให้สิ้นไปได้

วัตถุประสงค์การบวช คือ
ทำพระนิพพานให้แจ้ง

        พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสรุปว่า สามัญญผลข้อสุดท้าย คือ บรรลุอาสวักขยญาณ เป็นผลที่ประณีตที่สุด ดีที่สุด กว่าผลข้ออื่นๆ และเป็นเป้าหมายสำคัญของการบวช คือ ทำพระนิพพานให้แจ้งนั่นเอง 

        สำหรับผู้บวช ในระยะสั้นๆ เช่น บวชเข้าพรรษา ๓ เดือน ก็มีโอกาสได้รับอานิสงส์ผลบุญจากการบวชได้ ถ้าฝึกฝนอบรมตนเองตามพุทธวิธีอย่างจริงจัง เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ย่อมได้อานิสงส์
ดังนี้

1. เป็นผู้รู้จักบริหารเวลา คือรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เรียกว่า ความเป็นผู้รู้กาล ซึ่งเป็นคุณธรรมข้อหนึ่งที่ทำให้เป็นสัปบุรุษ

2. แม้ช่วงเวลาจะสั้น แต่ถ้าลงปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็จะได้รับความสุขสงบจากการบำเพ็ญสมณะธรรม 

3. มีโอกาสได้ศึกษาหลักธรรม ซึ่งนำไปใช้ควบคู่กับความรู้ทางโลก ให้ได้ใช้ความรู้ ในทางที่ถูกที่ควร

4. ได้ฝึกวินัยและเข้าใจวัฒนธรรมในการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ ถ้าตั้งใจฝึกฝนอบรมตนเองอย่างจริงจัง ต่อไปจะเป็นคนรักระเบียบวินัย

5. ได้ฝึกสมาธิ ทำจิตให้สงบ ซึ่งเป็นผลดีต่อการเรียนและการทำงานต่างๆ

6. เกิดความปลื้มปีติยินดีที่ได้ทำความดี ซึ่งความปีตินี้เองที่จะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจอยู่เสมอ

7. ทำให้มีความอดทน ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆ

8. ทำให้รู้จักตนเอง คือรู้ว่าตนเองมีความรู้ความสามารถคุณธรรมแค่ไหน เพียงใด เพื่อที่จะได้พัฒนาปรับปรุง ตนเองให้ดียิ่งขึ้น

9.ได้ชื่อว่าเป็นผู้ เริ่มถากถางหนทางไปพระนิพพาน

        ดังนั้น การบวชจึงมีอานิสงส์หรือผลดีมากมาย เป็นประโยชน์ปัจจุบัน เพราะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เป็นประโยชน์ในภพชาติเบื้องหน้า เพราะรักษาศีลบริสุทธิ์ จิตผ่องใสย่อมมีสุคติเป็นที่ไป และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คือ ทำหนทางมรรคผลนิพพานให้เกิดขึ้นกับตัว ดังนั้น เข้าพรรษาปีหน้า พ.ศ. 2554 ก็มาบวชกันเยอะๆ เพื่อให้เกิดสามัญญผลตามอัตภาพของตนได้
 
                                                  พระสนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ วัดพระธรรมกาย
 
ปิดการแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง