ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 10 กัยนายน พ.ศ.2553
ตอน กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์
กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์
พระธรรมเทศนา โดย พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
 
 
 
 
 
 
 
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา

        วันนี้ ขณะที่พระสงฆ์สวดชยันโตให้พวกเราที่เป็นเจ้าภาพมาวางแผ่นทองกันอยู่นั้น หลวงพ่อได้เห็นภาพของคุณยายอาจารย์ที่ติดเอาไว้ที่ศูนย์กลางพิธี...งามเหลือเกิน ทำให้หลวงพ่ออดที่จะนึกถึงความหลังไม่ได้ รวมทั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา (วันที่ 9-กันยายน พ.ศ.2553)_ได้ฟังคุณจ้อ (กัลยาณมิตรสุกัญญา ศุทธวัตไชยพงศ์)_ได้เล่าว่า “หนีคุณยาย เพราะกลัวคุณยายจะชวนทำบุญ”_หลวงพ่อเสียดายจริงๆ ไม่อยากให้เรื่องของคุณจ้อผ่านเลยไปโดยที่ยังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไม่เต็มที่ หลวงพ่อจึงอยากจะถือโอกาสให้ภาพรวมในความเป็นกัลยาณมิตรของคุณยายอาจารย์ เพื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่พวกเราจะต้องไปบำเพ็ญตนเป็นกัลยาณมิตรให้กับชาวโลก ตามที่คุณยายอาจารย์ได้ทำเป็นต้นแบบแล้ว จะได้ไม่ตกไม่หล่น 
        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า สัมมาทิฐิจะเกิดได้ต้องมีกัลยาณมิตรมาชี้แนะให้ มาถึงตรงนี้เริ่มยากแล้ว ขอยกตัวอย่างกรณีของคุณจ้อ คุณยายอุตส่าห์มาเป็นกัลยาณมิตรให้ ท่านมองเข้าไปในศูนย์กลางกายของคุณจ้อ ท่านเห็นว่า คนนี้บุญเก่ามีไม่น้อยแต่ไม่รู้ตัว เมื่อไม่รู้ตัวจึงเอาบุญเก่ามาใช้ไม่ได้ ถ้าทำบุญใหม่สักหน่อย ทำบุญใหม่ให้บรรจบบุญเก่า เมื่อบุญเก่าบุญใหม่บรรจบกัน ก็เหมือนกับกาลักน้ำ จะรวยเท่าไหร่ก็ได้ดังใจ เพราะฉะนั้นคุณยายจึงมาเป็นกัลยาณมิตรให้ เจอหน้าทีไรก็รู้อยู่ว่าถึงอย่างไรคุณจ้อก็อยากรวย เมื่อคุณจ้อไม่รู้อย่างที่คุณยายรู้ ท่านก็ต้องหาทางบอก แต่อยู่ดีๆจะให้บอกว่า “คุณรีบทำบุญใหม่นะ ให้บุญเก่าบุญใหม่บรรจบกันแล้วรวยแน่”_คุณจ้อก็คงจะไม่เข้าใจ เพราะความรู้ยังไม่ถึง หรือมารยังบังใจอยู่ 
ปฐมยาม (ยามต้น) กำหนดเวลาตั้งแต่ย่ำค่ำ หรือ หกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม
มัชฌิมยาม (ยามกลาง) กำหนดเวลาตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีสอง
ปัจฉิมยาม (ยามหลัง, ยามสุดท้าย) กำหนดเวลาตั้งแต่ตีสองถึงย่ำรุ่ง หรือ หกโมงเช้า

        เมื่อจบปกิณกธรรมแล้ว คุณยายจะมีประโยคสุดท้าย ท่านก็พูดยิ้มๆของท่านไปว่า “พวกคุณจำไว้นะ ถ้าเราอยู่คนเดียว มีเงินร้อยบาทก็ทำบุญได้ถึงห้าสิบบาท แต่ว่าถ้าแต่งงานไป มีเงินร้อยบาท ทำบุญได้อย่างมากก็ห้าบาทเท่านั้น แล้วถ้ามีลูกสักคนหนึ่ง มีเงินร้อยบาท ทำบุญได้สักบาท มันก็จะยาก”_คุณยายก็พูดแค่นี้ หลวงพ่อเพิ่งไปใหม่ๆ ฟังแล้วก็คิดว่า คุณยายคงพูดให้พี่ๆเหล่านั้นฟัง เรานั้นไม่เกี่ยว เพราะเราเป็นคนใหม่ และมีพี่ๆที่เขายังไม่ได้แต่งงานกันอยู่หลายคนด้วย จึงได้ทึกทักเอาเองว่า คุณยายคงได้ให้โอวาททำนองนี้เป็นประจำนี้มาก่อนแล้ว จึงไม่ได้ผ่านเข้ามาในใจ กอปรกับหลวงพ่อก็ลืมไป ไม่ได้ไปถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่ว่า คุณยายให้โอวาทอย่างนี้เป็นประจำมาก่อนหรือเปล่า ก็คงทำนองเดียวกับคุณจ้อที่ได้ยินคุณยายชวนให้มาทำบุญ คุณจ้อก็คงจะมีความรู้สึกว่า คงจะเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ลืมไปว่าก็มาด้วยกัน คุณยายไม่ได้ชวนใครมาก ชวนแต่คุณจ้อ ถึงจะฉลาดแต่บางครั้งก็ไม่เฉลียว หลวงพ่อเองก็ทำนองเดียวกัน ไม่ได้เฉลียวใจ แม้ทุกครั้งที่ไปนั่งสมาธิกับคุณยาย ถ้าอยู่เป็นกลุ่มสุดท้ายเมื่อไหร่ ก็จะได้ยินคุณยายให้โอวาทอย่างนี้เสมอ 
******************



 









