ก็ตามหัวข้อเลยครับ คือผมมีเพื่อนที่ติดกาแฟต้องดื่มทุกเช้า ไม่งั้นจะรู้สึกไม่สดชื่น
ก็เลยอยากรู้ว่ามันผิดศีลข้อ 5 รึเปล่า

ติดกาแฟนีุ่ถือว่าผิดศีลข้อ 5 ป่าวครับ
เริ่มโดย usr22944, Jun 20 2008 02:44 PM
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 02:44 PM
#2
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 02:53 PM
ครับ มันยังไม่ผิดศีลครับ แต่ก็เพาะนิสัยต้่องคอยแสวงหาความสุขจากสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวน่ะครับ อาจทำให้เมื่อถึงคราวจะแสวงหาความสุขภายในตัว ก็จะตัดใจยากนิดนึง เทียบกับคนที่ไม่ได้ติดสุขนอกตัว
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#3
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 03:34 PM
ไม่ผิดครับ แต่ดื่มมากไปก็ไม่ดีครับ
#4
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 04:40 PM
ไม่ผิดครับ
#5
โพสต์เมื่อ 20 June 2008 - 05:59 PM
มีกระทู้เก่าให้ศึกษาเพิ่มเติมจากทัศนะของเพื่อนสมาชิก ครับ
กินกาแฟผิดหรือไม่
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=3181
กาแฟกับหมาก
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=7347
กินกาแฟผิดหรือไม่
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=3181
กาแฟกับหมาก
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=7347
#6
โพสต์เมื่อ 21 June 2008 - 12:12 AM
ขอพระคุณทุกท่านที่ช่วยให้ความกระจ่างครับ แล้วก็ขอโทษด้วยครับที่ตั้งกระทู้ซ้ำ
คราวหลังผมจะลองหาดูกระทู้เก่าๆก่อนครับ
คราวหลังผมจะลองหาดูกระทู้เก่าๆก่อนครับ
#7
โพสต์เมื่อ 21 June 2008 - 01:09 PM
ตามไปอ่านดูแล้ว รู้สึกทึ่งในความคิดเห็นของเพื่อนกัลยาณมิตร
กาแฟ มี คาเฟอีน เป็นสารกระตุ้นสมองและกล้ามเนื้อ ให้ตื่นตัว เหมือนเปิดสวิทช์ใช้งาน
เมื่อดื่มบ่อยเข้าร่างกายก็ชินกับการถูกกระตุ้น หากไม่ดื่ม ก็จะรู้สึกเพลียอยู่ตลอดเวลา
หากจะเลิก ต้องทนรู้สึกเพลียไปทุกวัน จนกว่าร่างกายของบอกว่า ฉันไม่เอาก็ได้
กาแฟออกฤทธิ์แค่สั้นเท่านั้น ประมาณ 6 ชม.
กาแฟ มี คาเฟอีน เป็นสารกระตุ้นสมองและกล้ามเนื้อ ให้ตื่นตัว เหมือนเปิดสวิทช์ใช้งาน
เมื่อดื่มบ่อยเข้าร่างกายก็ชินกับการถูกกระตุ้น หากไม่ดื่ม ก็จะรู้สึกเพลียอยู่ตลอดเวลา
หากจะเลิก ต้องทนรู้สึกเพลียไปทุกวัน จนกว่าร่างกายของบอกว่า ฉันไม่เอาก็ได้
กาแฟออกฤทธิ์แค่สั้นเท่านั้น ประมาณ 6 ชม.
#8
โพสต์เมื่อ 22 June 2008 - 07:47 PM
นี่ อิฉันติดมาก ต้องดื่มทุกเช้า แต่พอนั่งสมาธิมากมาก ดื่มแล้วจะอ้วกเองละไม่น่าเชื่อ เลยต้องเลยไปเอง
#9
โพสต์เมื่อ 23 June 2008 - 01:01 AM
ไม่ติด ๆกินทุกวันยังไม่เห็นติด
#10
โพสต์เมื่อ 24 June 2008 - 05:35 AM
กาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดกาแฟคั่วซึ่งได้จากต้นกาแฟ นิยมดื่มร้อนๆ แต่สามารถดื่มแบบเย็นได้ด้วย บางครั้งนิยมใส่นมหรือครีมลงในกาแฟด้วย ในกาแฟหนึ่งถ้วยมีคาเฟอีนอยู่ประมาณ 80-140 มิลลิกรัม กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกชนิดหนึ่งเช่นเดียวกับชาและน้ำ นอกจากนี้ กาแฟยังเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่มีการส่งออกมากเป็นอันดับที่หกของโลก [1]
เชื่อกันว่ากาแฟถูกค้นพบครั้งแรกโดยเด็กเลี้ยงแพะชาวอาบิสซีเนีย (ประเทศเอธิโอเปียในปัจจุบัน) ชื่อคาลดี จากการสังเกตพบว่า แพะดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นเมื่อกินผลไม้สีแดงของต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งก็คือต้นกาแฟนั่นเอง ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 16 กาแฟถูกปลูกโดยชาวอาหรับเท่านั้น คำว่ากาแฟ เป็นคำที่มาจากคำว่า "เกาะหฺวะหฺ" ในภาษาอาหรับ แล้วเพี้ยนเป็น กาห์เวห์ ในภาษาตุรกี ก่อนที่จะกลายเป็น คอฟฟี ในภาษาอังกฤษ และกาแฟ ในภาษาไทย ชาวอาหรับหวงแหนพันธุ์กาแฟมาก จึงส่งออกเฉพาะเมล็ดกาแฟที่คั่วสุกแล้วเท่านั้น แต่ในที่สุดเมล็ดกาแฟก็ออกมาสู่โลกกว้าง โดยการลักลอบนำออกมาโดยชาวอินเดียที่ไปแสวงบุญที่เมกกะ และก็ได้แพร่ขยายไปยังชวา เนเธอร์แลนด์ และทั่วยุโรปในที่สุด สำหรับทวีปอเมริกานั้น ต้นกาแฟถูกนำไปอย่างยากลำบาก โดยทหารเรือฝรั่งเศสในต้นศตวรรษที่ 18 ในครั้งแรกนั้น มีต้นกาแฟที่เหลือรอดชีวิตบนเรือมาขึ้นฝั่งอเมริกาได้เพียง 1 ต้น และก็ได้แพร่ขยายเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันดินแดนแห่งนี้ ได้กลายเป็นดินแดนที่ปลูกกาแฟมากที่สุดในโลก
ในกาแฟนั้นมีสารคาเฟอีนซึ่งเป็นสารกระตุ้นอยู่ ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนจึงนิยมดื่มในช่วงเช้าและเวลาทำงาน นักเรียนนักศึกษาก็นิยมดื่มเมื่อต้องเตรียมสอบจนดึก เพื่อไม่ให้ความง่วงมารบกวนสมาธิ พนักงานสำนักงานมักมีช่วงเวลา "คอฟฟี่เบรก" สำหรับเติมพลังการทำงาน
งานวิจัยปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์กระตุ้นของกาแฟที่นอกเหนือไปจากฤทธิ์ของคาเฟอีน ในกาแฟยังมีสารเคมีที่เราไม่รู้จักช่วยเร่งให้ร่างกายสร้างคอร์ติโซน และอะดรีนาลีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กระตุ้น
สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มด่ำรสชาติของกาแฟโดยไม่ต้องการการกระตุ้น สามารถดื่มกาแฟพร่องคาเฟอีน (decaffeinated coffee) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ดีแคฟ (decaf) กาแฟชนิดนี้ถูกเอาคาเฟอีนส่วนใหญ่ออกไปโดยการใช้น้ำหรือสารละลายทางเคมี เช่น ไตรคลอโรทีลีน (trichloroethylene) นอกจากนี้ยังมี ทิซาน (tisane) ซึ่งมีรสชาติเหมือนกาแฟจริงๆ แต่ไม่มีคาเฟอีน
กาแฟช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตัวระงับความเจ็บปวด โดยเฉพาะในการรักษาไมเกรน และยังสามารถกำจัดโรคหืดในผู้ป่วยบางคนได้ด้วย คุณประโยชน์บางอย่างอาจส่งผลต่อเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างเช่น มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดการฆ่าตัวตายในผู้หญิง และช่วยป้องกันนิ่วและโรคถุงน้ำดีในผู้ชาย นอกจากนี้มันยังช่วยลดโอกาสเกิดโรคเบาหวานในทั้งสองเพศ และลดเพียงประมาณ 30% ในผู้หญิง แต่ลดมากกว่า 50% ในผู้ชาย กาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับแข็งและป้องกันมะเร็งในปลายลำไส้ใหญ่และกระเพาะปัสสาวะ กาแฟสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในเซลล์ตับ ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของมะเร็งตับ (Inoue, 2005) และสุดท้ายกาแฟช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจ ถึงแม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เป็นเพราะมันกำจัดไขมันในเส้นเลือด หรือเพราะว่ามันเป็นมีผลกระตุ้นกันแน่[ต้องการแหล่งอ้างอิง]
ยังมีข้อดีอื่นๆ ที่เป็นเหตุผลให้คนส่วนใหญ่นิยมดื่มกาแฟ เช่น มันช่วยเพิ่มความจำระยะสั้น และเพิ่มไอคิว นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนระบบเมตาบอลิซึมให้มีสัดส่วนของลิพิดต่อคาร์โบไฮเดรตที่ถูกเผาผลาญสูงขึ้น ซึ่งช่วยลดอาการล้ากล้ามเนื้อของนักกีฬา
คุณประโยชน์เหล่านี้บางอย่างจะได้ผลเมื่อดื่มเพียงประมาณ 4 ถ้วยต่อวัน (24 ออนซ์) แต่บางอย่างก็ต้องดื่มถึง 6 ถ้วยหรือมากกว่านั้น (32 ออนซ์หรือมากกว่า)
ทีมวิจัยของ University of Bari ประเทศอิตาลี พบว่าการดื่มกาแฟ 1-2 แก้วต่อวัน ช่วยป้องกันโรคหนังตากระตุกได้ และยังช่วยลดอัตราการกระตุกให้ช้าลงได้สำหรับผู้ป่วย[
เชื่อกันว่ากาแฟถูกค้นพบครั้งแรกโดยเด็กเลี้ยงแพะชาวอาบิสซีเนีย (ประเทศเอธิโอเปียในปัจจุบัน) ชื่อคาลดี จากการสังเกตพบว่า แพะดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นเมื่อกินผลไม้สีแดงของต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งก็คือต้นกาแฟนั่นเอง ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 16 กาแฟถูกปลูกโดยชาวอาหรับเท่านั้น คำว่ากาแฟ เป็นคำที่มาจากคำว่า "เกาะหฺวะหฺ" ในภาษาอาหรับ แล้วเพี้ยนเป็น กาห์เวห์ ในภาษาตุรกี ก่อนที่จะกลายเป็น คอฟฟี ในภาษาอังกฤษ และกาแฟ ในภาษาไทย ชาวอาหรับหวงแหนพันธุ์กาแฟมาก จึงส่งออกเฉพาะเมล็ดกาแฟที่คั่วสุกแล้วเท่านั้น แต่ในที่สุดเมล็ดกาแฟก็ออกมาสู่โลกกว้าง โดยการลักลอบนำออกมาโดยชาวอินเดียที่ไปแสวงบุญที่เมกกะ และก็ได้แพร่ขยายไปยังชวา เนเธอร์แลนด์ และทั่วยุโรปในที่สุด สำหรับทวีปอเมริกานั้น ต้นกาแฟถูกนำไปอย่างยากลำบาก โดยทหารเรือฝรั่งเศสในต้นศตวรรษที่ 18 ในครั้งแรกนั้น มีต้นกาแฟที่เหลือรอดชีวิตบนเรือมาขึ้นฝั่งอเมริกาได้เพียง 1 ต้น และก็ได้แพร่ขยายเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันดินแดนแห่งนี้ ได้กลายเป็นดินแดนที่ปลูกกาแฟมากที่สุดในโลก
ในกาแฟนั้นมีสารคาเฟอีนซึ่งเป็นสารกระตุ้นอยู่ ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนจึงนิยมดื่มในช่วงเช้าและเวลาทำงาน นักเรียนนักศึกษาก็นิยมดื่มเมื่อต้องเตรียมสอบจนดึก เพื่อไม่ให้ความง่วงมารบกวนสมาธิ พนักงานสำนักงานมักมีช่วงเวลา "คอฟฟี่เบรก" สำหรับเติมพลังการทำงาน
งานวิจัยปัจจุบันแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์กระตุ้นของกาแฟที่นอกเหนือไปจากฤทธิ์ของคาเฟอีน ในกาแฟยังมีสารเคมีที่เราไม่รู้จักช่วยเร่งให้ร่างกายสร้างคอร์ติโซน และอะดรีนาลีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กระตุ้น
สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มด่ำรสชาติของกาแฟโดยไม่ต้องการการกระตุ้น สามารถดื่มกาแฟพร่องคาเฟอีน (decaffeinated coffee) หรือเรียกสั้นๆ ว่า ดีแคฟ (decaf) กาแฟชนิดนี้ถูกเอาคาเฟอีนส่วนใหญ่ออกไปโดยการใช้น้ำหรือสารละลายทางเคมี เช่น ไตรคลอโรทีลีน (trichloroethylene) นอกจากนี้ยังมี ทิซาน (tisane) ซึ่งมีรสชาติเหมือนกาแฟจริงๆ แต่ไม่มีคาเฟอีน
กาแฟช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตัวระงับความเจ็บปวด โดยเฉพาะในการรักษาไมเกรน และยังสามารถกำจัดโรคหืดในผู้ป่วยบางคนได้ด้วย คุณประโยชน์บางอย่างอาจส่งผลต่อเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างเช่น มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดการฆ่าตัวตายในผู้หญิง และช่วยป้องกันนิ่วและโรคถุงน้ำดีในผู้ชาย นอกจากนี้มันยังช่วยลดโอกาสเกิดโรคเบาหวานในทั้งสองเพศ และลดเพียงประมาณ 30% ในผู้หญิง แต่ลดมากกว่า 50% ในผู้ชาย กาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคตับแข็งและป้องกันมะเร็งในปลายลำไส้ใหญ่และกระเพาะปัสสาวะ กาแฟสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในเซลล์ตับ ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของมะเร็งตับ (Inoue, 2005) และสุดท้ายกาแฟช่วยลดโอกาสเกิดโรคหัวใจ ถึงแม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เป็นเพราะมันกำจัดไขมันในเส้นเลือด หรือเพราะว่ามันเป็นมีผลกระตุ้นกันแน่[ต้องการแหล่งอ้างอิง]
ยังมีข้อดีอื่นๆ ที่เป็นเหตุผลให้คนส่วนใหญ่นิยมดื่มกาแฟ เช่น มันช่วยเพิ่มความจำระยะสั้น และเพิ่มไอคิว นอกจากนี้ยังช่วยเปลี่ยนระบบเมตาบอลิซึมให้มีสัดส่วนของลิพิดต่อคาร์โบไฮเดรตที่ถูกเผาผลาญสูงขึ้น ซึ่งช่วยลดอาการล้ากล้ามเนื้อของนักกีฬา
คุณประโยชน์เหล่านี้บางอย่างจะได้ผลเมื่อดื่มเพียงประมาณ 4 ถ้วยต่อวัน (24 ออนซ์) แต่บางอย่างก็ต้องดื่มถึง 6 ถ้วยหรือมากกว่านั้น (32 ออนซ์หรือมากกว่า)
ทีมวิจัยของ University of Bari ประเทศอิตาลี พบว่าการดื่มกาแฟ 1-2 แก้วต่อวัน ช่วยป้องกันโรคหนังตากระตุกได้ และยังช่วยลดอัตราการกระตุกให้ช้าลงได้สำหรับผู้ป่วย[
#11
โพสต์เมื่อ 03 July 2008 - 06:38 PM
ดื่มแล้ว คนอื่นเดือดร้อน ป่าวล่ะครับ
ถ้าเดือดร้อน ก็ผิด
ถ้าเดือดร้อน ก็ผิด